happy on July 25, 2011, 02:02:17 PM
COWBOYS & ALIENS


ประเภท: แอ็กชั่น ทริลเลอร์  
นักแสดง:    แดเนียล เคร็ก, แฮร์ริสัน ฟอร์ด, โอลิเวีย ไวลด์, แซม ร็อคเวลล์
กำกับโดย:  จอน แฟฟโรว์
ผู้เขียนบท:  อเล็กซ์ เคิร์ตซ์แมน, โรเบอร์โต้ ออร์ซี่, เดม่อน ลินเดลอฟ
สร้างจากนิยายภาพ ผลงานของ:  สก็อตต์ มิทเชลล์ โรเซนเบิร์ก
ผู้อำนวยการสร้าง:  ไบรอัน เกรเซอร์, รอน ฮาวเวิร์ด, อเล็กซ์ เคิร์ตซ์แมน,โรเบอร์โต้ ออร์ซี่, สก็อตต์ มิทเชลล์ โรเซนเบิร์ก
ผู้อำนวยการสร้างบริหาร: สตีเว่น สปีลเบิร์ก, จอน แฟฟโรว์, บ็อบบี้ โคเฮน, เดนิส แอล สจ๊วร์ต


                ผู้กำกับระดับบล็อกบัสเตอร์ จอน แฟฟโรว์ ขอกำกับ แดเนียล เคร็ก และแฮร์ริสัน ฟอร์ด ในภาพยนตร์ที่กำลังจะกลายเป็นปรากฏการณ์ในโลกภาพยนตร์ประจำซัมเมอร์ ปี  2011 เป็นลูกผสมระหว่างภาพยนตร์คาวบอยคลาสสิก กับภาพยนตร์แนวมนุษย์ต่างดาวบุกโลกในการสรรค์สร้างแหวกแนวไม่เหมือนใคร เรื่อง Cowboys & Aliens บรรดาผู้อยู่เบื้องหลังภาพยนตร์เรื่องนี้ล้วนแต่เป็นกองทัพคนทำหนังแถวหน้าของวงการ อย่าง สตีเว่น สปีลเบิร์ก, รอน ฮาวเวิร์ด, ไบรอัน เกรเซอร์, อเล็กซ์ เคิร์ตซ์แมน และโรเบอร์โต้ ออร์ซี่ งานนี้ แฟฟโรว์นำเสนอภาพยนตร์แอ็กชั่น ทริลเลอร์แปลกแหวกแนวที่จะพาคนดูก้าวสู่โลกตะวันตกยุคคาวบอย ที่ซึ่งคาวบอยหนุ่มผู้โดดเดี่ยว เป็นผู้นำมนุษย์ลุกขึ้นต่อกรกับความสยองจากนอกโลก
          ปี 1873 เขตอริโซน่า ชายแปลกหน้า (เคร็ก) ที่เดินทางมาในสภาพที่ไร้ความทรงจำโดยสิ้นเชิง เดินทางเข้าไปในเมืองกันดารอันห่างไกล แอ็บโซลูชั่น สิ่งเดียวที่บ่งบอกถึงอดีตที่มาของชายผู้นี้ก็คือห่วงโลหะที่ติดอยู่บนข้อมือข้างหนึ่ง สิ่งที่เขาค้นพบก็คือ ชาวเมืองแอ็บโซลูชั่นไม่ต้อนรับคนแปลกหน้า และจะไม่มีใครกล้าทำอะไรบนท้องถนนโดยไม่ได้รับคำสั่งจากผู้พันโดลาร์ไฮด์ กำปั้นเหล็ก (ฟอร์ด) นี่คือเมืองที่ผู้คนใช้ชีวิตอยู่ด้วยความหวาดกลัว
          แต่แอ็บโซลูชั่นยังต้องเผชิญกับความน่าสะพรึงตัวในแบบที่คาดไม่ถึง เมื่อเมืองที่แทบจะร้างผู้คนแห่งนี้โดนวายร้ายที่มาจากท้องฟ้าโจมตี  เมื่อกลุ่มอสุรกายที่มาพร้อมความเร็วจนแทบลืมหายใจ และแสงสว่างจ้าจนทำให้ตาบอด ลักพาตัวชาวบ้านที่ไร้ทางสู้ไปทีละคน เหล่าอสุรกายเหล่านี้ท้าทายทุกอย่างที่ชาวเมืองเคยรู้จักมา
          บัดนี้ ชายแปลกหน้าที่ชาวเมืองเคยปฏิเสธ กลับเป็นความหวังเดียวของพวกเขาที่จะรอดชีวิต และเมื่อชายแปลกหน้าผู้นี้เริ่มจดจำได้อย่างช้าๆ ว่าตัวเขาเองเป็นใคร และเขาอยู่ที่ไหน เขารู้ตัวว่าเขากุมความลับซึ่งอาจเป็นโอกาสให้เมืองแห่งนี้ต่อสู้กับกองทัพต่างดาวได้ ด้วยความช่วยเหลือจากเอลล่า นักเดินทางสาว (โอลิเวีย ไวลด์) เขาได้รวบรวมกองกำลังผนึกกำลัง อันประกอบไปด้วยอดีตคู่ปรับของเขา ไม่ว่าจะเป็นชาวเมือง, โดลาร์ไฮด์ และลูกสมุน และนักรบอาปาเช่ ซึ่งต่างกำลังเผชิญกับการทำลายล้าง เมื่อต้องรวมกำลังเป็นหนึ่งเดียวกันเพื่อรับมือกับศัตรู พวกเขาต้องเตรียมตัวผจญศึกใหญ่หลวงเพื่อเอาชีวิตรอด
          บทภาพยนตร์เรื่อง Cowboys & Aliens เป็นฝีมือการเขียนบทของ อเล็กซ์ เคิร์ตซ์แมน และโรเบอร์โต้ ออร์ซี่ ผู้เขียนบทภาพยนตร์เรื่อง Star Trek และเดม่อน ลินเดลอฟ (ผู้เขียนบทซีรีส์เรื่อง Lost) โดยอิงจากนิยายภาพของแพล็ทตินั่ม สตูดิโอส์ ผลงานการสร้างสรรค์ของ สก็อตต์ มิทเชลล์ โรเซนเบิร์ก โดยมีเกรเซอร์, ฮาวเวิร์ด, โรเซนเบิร์ก, เคิร์ตซ์แมน และออร์ซี่ ทำหน้าที่ผู้อำนวยการสร้าง และสปีลเบิร์ก และเดนิส แอล สจ๊วร์ต ทำหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างบริหาร





« Last Edit: July 25, 2011, 03:23:31 PM by admin »

happy on July 25, 2011, 02:16:31 PM


แฮร์ริสัน ฟอร์ด รับบทผู้พันโดลาร์ไฮด์ใน COWBOYS AND ALIENS

                แฮร์ริสัน ฟอร์ดหลงใหลในเสน่ห์ภาพยนตร์เวสเทิร์นมาโดยตลอด เขาโตมากับการดูภาพยนตร์คาวบอยคลาสสิก ที่นำแสดงโดยดาราดังอย่างยีน ออทรีและรอย โรเจอร์ส และพวกเขาก็สร้างความประทับใจไม่รู้ลืมให้กับเด็กหนุ่มที่ชะตากำหนดมาให้เป็นหนึ่งในนักแสดงที่เป็นที่รักของผู้ชมมากที่สุดในรุ่นของเขา
   เขาเองก็เคยชิมลางงานแนวนี้ในช่วงแรกของอาชีพนักแสดง ด้วยการรับบทดารารับเชิญในซีรีส์โทรทัศน์อย่าง  The Virginian และ Gunsmoke และในปี 1979 เขาก็ได้แสดงประกบยีน ไวลเดอร์ใน The Frisco Kid
   และฟอร์ดก็คงจะตอบรับโอกาสที่จะได้แสดงภาพยนตร์แนวนี้อีกด้วยความยินดียิ่ง "ในตลอด 40 ปีที่ผมเป็นนักแสดงมา หนังเวสเทิร์นทำรายได้ไม่ค่อยดีซักเท่าไหร่ ดูเหมือนมันจะไม่ใช่หนังทำเงินเลย" เขากล่าว
   “แต่ในตอนที่ผมเป็นนักแสดงใหม่ๆ ผมได้แสดงซีรีส์โทรทัศน์หลายเรื่องเช่น The Virginian และ Gunsmoke หรืออะไรทำนองนั้น ผมสนุกกับมันนะ และผมก็อยากจะแสดงหนังเวสเทิร์นเต็มรูปแบบซักวันหนึ่ง"
   เขากล่าวว่า เวสเทิร์นเป็นภาพยนตร์อเมริกันที่คลาสสิก "ผมชอบความเรียบง่ายของการเล่าเรื่องและผมก็ชอบธรรมชาติที่ให้ความสำคัญกับภาพของหนังแนวนี้ ผมชอบประเภทของตัวละครและสถานการณ์ที่คุณจะได้เจอในหนังเวสเทิร์นครับ"
   ดังนั้น พอผู้กำกับจอน แฟฟโร (Iron Man) ถามเขาว่า เขาสนใจที่จะแสดงใน  Cowboys and Aliens รึเปล่า เขาก็สนใจในทันทีและเขาก็ตกปากรับคำที่จะมารับบทผู้พันโดลาร์ไฮด์ นายใหญ่แห่งเมืองทะเลทรายที่มีชื่อว่าแอ็บโซลูชัน
   โดลาร์ไฮด์เป็นคาวบอยขาโหดที่ไร้ปรานี ผู้เคยชินกับการได้ทุกสิ่งที่ต้องการไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม เป็นตัวร้ายผู้แข็งกร้าวตามแบบฉบับของภาพยนตร์เวสเทิร์นจากดินแดนตะวันตกแบบเก่าที่แร้นแค้น
   และฟอร์ด นักแสดงผู้เคยรับบทตัวละครที่โด่งดังที่สุดหลายตัวในภาพนยตร์ร่วมสมัย ไม่ว่าจะเป็นฮัน โซโลใน Star Wars หรืออินเดียนา โจนส์ ก็ชื่นชอบความท้าทายของการได้สร้างตัวละครที่แตกต่างโดยสิ้นเชิงกับบทบาทที่เขาเคยเล่นมาก่อน
   “สำหรับผมแล้ว ตัวละครตัวนี้เป็นโอกาสให้ผมได้เล่นในสิ่งที่แตกต่างจากสิ่งที่ผมเคยแสดงมาทั้งชีวิต" เขากล่าว "การได้เล่นเป็นตัวละครที่ไม่จำเป็นจะต้องเป็นที่รักหรือชื่นชมของผู้ชมหมายถึงผมมีหน้าที่ที่ต่างออกไปในหนังเรื่องนี้
   “จอนพูดถึงการไถ่บาป ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของหนังเวสเทิร์นทุกเรื่อง และนี่คือตัวละครที่ได้พบการไถ่บาประหว่างการเดินทางเพื่อแย่งชิงเหยื่อของเหล่าเอเลียนพวกนี้กลับคืนมาครับ"
   “เขากลายเป็นคนที่อ่อนโยน มีเมตตามากขึ้นก็จริง แต่เขาเริ่มต้นจากการเป็นคนที่หยาบกระด้างมากๆ และผมคิดว่ามันคงจะเป็นเรื่องผิดพลาดที่จะพยายามเรียกร้องความเห็นใจจากผู้ชม พยายามทำให้เขาน่าสงสารมากขึ้น และพยายามทำให้เขาเป็นที่ยอมรับมากขึ้นน่ะครับ"
   “มันเป็นหน้าที่ที่คุณมักจะต้องแบกรับในตอนที่คุณเป็นพระเอกของเรื่องเพราะคุณจะต้องพาผู้ชมไปกับคุณด้วย แต่ (กับ Cowboys and Aliens) ผมไม่รู้สึกอย่างนั้น มันก็เลยทำให้ผมมีอิสระที่จะตีแผ่ความขี้โกงของตัวละครตัวนี้ออกมาครับ"
   “รู้อะไรมั้ย มันสนุกกว่าเยอะเลย และผมก็ชอบทำงานกับคนพวกนี้ มันเป็นประสบการณ์ชั้นยอดอย่างแท้จริง"
   เขากล่าวว่า การเล่นกับความคาดหวังของผู้ชมเป็นประสบการณ์ที่ให้ความรู้สึกอิสรเสรีอย่างมาก "เขาเป็นตัวละครแบบที่ผมไม่เคยเล่นมาก่อน เขาเป็นผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้นจากสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง เขาไม่อธิบาย แก้ตัวหรือขอโทษอะไรทั้งนั้น เพราะเขาเป็นคนเลว และนั่นก็คือประโยชน์ของเขาในหนังเรื่องนี้ครับ"
   “แต่บทแบบนั้นก็อาจเป็นอิสระมากเกินไป และคุณก็จะต้องคอยระวังตัวไม่ให้ปล่อยตัวมากเกินไป เพราะอันตรายของเรื่องนี้ก็คือคุณจะเริ่มเสริมแต่งธีมเองและจะคิดเรื่องของคุณเองขึ้นมา ยิ่งคุณสามารถรีดเอาความสนุกของมันออกมาเพื่อหนังได้มากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งดีขึ้นเท่านั้นครับ"
   Cowboys and Aliens เป็นภาพยนตร์แอ็กชันทริลเลอร์แบบตรงตัว มันยกย่องธรรมเนียมของภาพยนตร์เวสเทิร์น ฟอร์ดบอก และเสริมเอาเรื่องหักมุมที่น่าตื่นตาตื่นใจ อย่างการรุกรานจากต่างดาว เข้าไปด้วย
   ฟอร์ดแสดงประกบแดเนียล เคร็ก ผู้รับบท ชายพเนจร ตัวละครที่บ่งบอกความเป็นเวสเทิร์นอย่างชัดเจน ผู้มาเยือนเมืองแอ็บโซลูชัน โดยที่จำไม่ได้เลยว่าตัวเองมาจากไหน ชื่ออะไร หรือทำไมเขาถึงมีกุญแจมือคล้องอยู่ที่ข้อมือ
   เขาค้นพบว่า แอ็บโซลูชัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวโดลาร์ไฮด์เอง ไม่ต้อนรับคนแปลกหน้า และก็ถูกจับกุมตัวทันที แต่แล้วความโกลาหลก็เกิดขึ้นเมื่อแสงสว่างจากฟากฟ้าได้ประกาศการมาถึงของศัตรูที่มีเป้าหมายจะขจัดประชากรทุกคนในเมืองแอ็บโซลูชัน ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นใคร จะเป็นมิตรหรือศัตรูก็ตาม
   โดลาร์ไฮด์และชายพเนจร ร่วมด้วยนักรบอาปาเช่ กลุ่มคนนอกกฎหมายและมนุษย์คนอื่นๆ จะต้องรวมกำลังกันเพื่อสู้ศัตรูเพียงหนึ่งเดียวเพื่อเอาชีวิตรอด ขณะที่ชายพเนจรเริ่มจดจำได้ว่าตัวเองเป็นใครและเขามาจากที่ไหน เขาก็ตระหนักได้ว่า เขาได้เก็บงำความลับที่อาจจะทำให้เมืองแห่งนี้มีโอกาสในการสู้กับกองกำลังเอเลียนผู้รุกรานก็เป็นได้
   การผสมผสานภาพยนตร์สองแนว ซึ่งก็คือไซไฟและเวสเทิร์น ให้เป็นหนึ่งเดียวกัน จำเป็นต้องอาศัยวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนและการคุมโทนของเรื่องที่หนักแน่น ฟอร์ดกล่าว และแฟฟโรก็ทำได้อย่างยอดเยี่ยม
   “กับหนังแบบนี้ โทนเป็นเรื่องสำคัญมากและมันก็ขึ้นอยู่กับตัวผู้กำกับ ในฐานะนักแสดง คุณจะใส่ความเข้าใจและความนึกคิดของคุณลงไป แต่ผู้กำกับจะต้องคุมโทนโดยรวมให้เหมาะสมผ่านทางนักแสดงหลากหลายประเภทที่มีความต้องการแตกต่างกันไปน่ะครับ"
   “แต่จุดเริ่มต้นของหนังเรื่องนี้คือเวสเทิร์น แล้วเอเลียนค่อยเข้ามา ทำให้เกิดเรื่องเลวร้ายตามมา ถ้าจู่ๆ มันจะกลายเป็นหนังอีกประเภทหนึ่ง ผมคิดว่ามันคงเป็นความผิดพลาดแล้วล่ะครับ"
   “ในหนังเรื่องนี้ ประสบการณ์แบบมนุษย์จะอยู่ภายในบริบทของหนังเวสเทิร์น แม้กระทั่งหลังจากเอเลียนเข้ามาและแสดงให้เห็นว่าพวกมันสามารถทำให้หนังสนุกมากขึ้นแค่ไหน มันก็ยังต้องเป็นเวสเทิร์นอยู่ดีครับ"
   ในการถ่ายทำตามโลเกชันในดินแดนทุรกันดารของนิวเม็กซิโก ฟอร์ดสนุกสนานกับการทำงานรว่มกับทีมนักแสดงระดับแนวหน้า ที่ประกอบไปด้วยโอลิเวีย ไวลด์ในบทเอลลา นักเดินทางผู้เร้นกายอยู่ในเมือง, แซม ร็อคเวล, คีธ คาร์ราดีนและพอล ดาโนและแน่นอนแดเนียล เคร็ก
   “แดเนียลเก่งมากและเขาก็เป็นนักแสดงที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงด้วย" เขาบอก "ผมไม่ใช่กูรูหนังก็จริง แต่ผมรู้จักผลงานของเขาและเขาก็เป็นคนมีความสามารถสูง เขาเป็นคนมีความรู้แต่ไม่โอ้อวด เขารู้จักธรรมชาติของการแสดงอย่างถ่องแท้ เขาเป็นคนเอื้อเฟื้อ ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ผมมีความสุขมากที่ได้ร่วมงานกับเขาครับ"
   นอกจากนี้ เขายังชื่นชอบประสบการณ์ของการถ่ายทำในภูมิประเทศชายขอบที่งดงามและหลายครั้งก็ทรหดด้วย "ผมชอบมันนะ" เขาบอก "ผมชอบงานกลางแจ้ง มันสนุกกว่าการอยู่ในร่มหรือในซาวน์สเตจ นั่งอยู่บนเก้าอี้ผู้กำกับ ในหนังเรื่องนี้ เราอยู่กลางแจ้งเกือบทั้งเรื่อง และอากาศก็เป็นแบบนั้น นั่นคือสิ่งที่คุณได้จากหนังเวสเทิร์น เป็นส่วนหนึ่งของมันครับ"
   ฟอร์ดเป็นนักขี่ม้าฝีมือเยี่ยม เขาได้เรียนขี่ม้าตั้งแต่ตอนที่เขาโตขึ้นมาในวิสคอนซิน "ในช่วงวันหยุดของครอบครัว เราจะไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ และการขี่ม้าก็เป็นสิ่งที่เด็กๆ สมัยนั้นทำกันน่ะครับ" เขาเล่า
   “มีอยู่ตอนหนึ่ง ผมซื้อที่ดินในแจ็คสัน, ไวโอมิง และเริ่มใช้ม้าในการเดินทางไปไหนมาไหน มันเป็นบ้านไร่ที่ใช้งานได้จริง แม้ว่าเราจะไม่ได้เลี้ยงวัวก็ตาม แต่การขี่ม้าไปที่ดินผืนนั้นสะดวกกว่ากันเยอะครับ"
   “ผมก็เลยเลี้ยงม้ามา 25 ปีและการขี่ม้าก็ทำให้ผมมีความสุขมาก จนถึงทุกวันนี้ สำหรับหนังเรื่องนี้ ผมได้ขี่ม้าสี่หรือห้าตัว และได้เจอกับม้าที่ผมคิดว่าเราสามารถเข้าใจกันและกันได้ด้วยครับ"
   “เขามีท่าเดินที่สบายๆ ตอบสนองดีและตัวใหญ่ แข็งแรงดี เขาเป็นคู่หูที่ดีครับ"
   ฟอร์ดต่อต้านการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ในรูปแบบ 3D ซึ่งเป็นแนวโน้มที่เกิดขึ้นกับภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์หลายๆ เรื่อง เขารู้สึกว่า ภาพยนตร์เวสเทิร์นจะไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยจากเทคโนโลยีนี้และจะทำให้ผู้ชมหลุดจากเรื่องราวด้วยซ้ำไป
   “ในตอนเราเริ่มถ่ายทำ มีการถกเถียงกันว่าจะถ่ายทำหนังเรื่องนี้แบบ 3D รึเปล่า ซึ่งผมก็ต่อต้านสุดตัวเลย" เขาอธิบาย "มันเป็นเหตุผลเดียวกันที่ทำให้ในที่สุดจอนก็ตัดสินใจคัดค้านมัน คุณอยากจะใส่บริบทที่มีเนื้อมีหนังเข้าไปในเวสเทิร์นครับ"
   “เราจะเป็นฝ่ายที่รอรับการกระทำของดินฟ้าอากาศในโลกเวสเทิร์น ในยุคประวัติศาสตร์นั้น ผมคิดว่าเราต้องได้เห็นเรื่องราวพวกนั้นในสถานที่แห่งนั้น และรู้ว่ามันเป็นที่ที่คุณยังชีพอยู่ได้ด้วยสติปัญญา นี่เป็นที่ที่ธรรมชาติสามารถกำหราบคุณได้ นี่เป็นที่ที่คุณไม่มีอะไรเลยนอกจากสิ่งที่คุณนำติดตัวมาด้วย ซึ่งรวมถึงสติปัญญาของคุณและอะไรก็ตามที่คุณแพ็คไว้บนหลังม้าได้น่ะครับ"
   “นั่นเป็นโทนและความเป็นจริงของดินแดนชายขอบครับ และคุณก็จะสัมผัสได้จากเลนส์อนามอร์ฟิค ภูมิประเทศจะกลายเป็นตัวละครตัวหนึ่งของเรื่องครับ"
   เขารู้สึกยินดีกับประสบการณ์ครั้งนี้และโอกาสในการได้เป็นส่วนหนึ่งของภาพยนตร์เวสเทิร์นเต็มรูปแบบเสียที "แต่จอน (แฟฟโร) บอกผมเมื่อวันก่อนว่า ตัวละครหลายตัวที่ผมเคยเล่นถูกหล่อหลอมด้วยแบบฉบับเวสเทิร์น เช่นฮัน โซโลก็เป็นมือปืน อินเดียนา โจนส์ก็มีความเป็นเวสเทิร์นอยู่ ดังนั้น มันก็เหมือนกับผมโตมากับการแสดงบทบาทพวกนี้ครับ"
   ฟอร์ดมีผลงานการแสดงที่น่าทึ่งมาโดยตลอด ผลงานภาพยนตร์ที่เหลือเชื่อของเขารวมถึง American Graffiti, The Conversation และ Star Wars: Episode IV – A New Hope ไปจนถึง Raiders of the Lost Arc, Blade Runner, Witness, The Mosquito Coast, Presumed Innocent, Patriot Games, The Fugitive, What Lies Beneath, Hollywood Homicide, Indiana Jones and the Kingdom of the Crystal Skull และ Morning Glory


บทสัมภาษณ์

Q:   คุณเป็นแฟนภาพยนตร์แนวเวสเทิร์นรึเปล่า
A:   ผมโตขึ้นมากับการดูซีรีส์วันเสาร์ที่นำแสดงโดยยีน ออทรีกับรอย โรเจอร์ส ผมก็เลยสนใจพวกหนังคาวบอยมาโดยตลอด แต่ผมก็ไม่เคยมีโอกาสได้เล่นหนังพวกนั้นเลย หนังเวสเทิร์นเรื่องเดียวที่ผมได้เล่นคือ The Frisco Kid ซึ่งก็ตั้งแต่เมื่อ 30 ปีที่แล้วโน่น ผมอยากจะเล่นหนังเวสเทิร์นมาโดยตลอดแต่ในระหว่างที่ผมแสดงหนัง ก็ไม่ค่อยมีคนสร้างหนังเวสเทิร์นขึ้นมาเลย ผมก็เลยตื่นเต้นมากที่มีโอกาสได้เล่นหนังเรื่องนี้ แต่จอน (แฟฟโร) บอกผมเมื่อวันก่อนว่า ตัวละครหลายตัวที่ผมเคยเล่นถูกหล่อหลอมด้วยแบบฉบับเวสเทิร์น เช่นฮัน โซโลก็เป็นมือปืน อินเดียนา โจนส์ก็มีความเป็นเวสเทิร์นอยู่ ดังนั้น มันก็เหมือนกับผมโตมากับการแสดงบทบาทพวกนี้ครับ
Q:   คุณรับบทเป็นตัวละครที่แข็งกร้าว ใจอำมหิตใน Cowboys and Aliens ทั้งๆ ที่เราคุ้นเคยกับการเห็นภาพคุณในบทวีรบุรุษ นั่นเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คุณสนใจบทนี้รึเปล่า
A:    สำหรับผมแล้ว ตัวละครตัวนี้เป็นโอกาสให้ผมได้เล่นในสิ่งที่แตกต่างจากสิ่งที่ผมเคยแสดงมาทั้งชีวิต" เขากล่าว "การได้เล่นเป็นตัวละครที่ไม่จำเป็นจะต้องเป็นที่รักหรือชื่นชมของผู้ชมหมายถึงผมมีหน้าที่ที่ต่างออกไปในหนังเรื่องนี้ จอนพูดถึงการไถ่บาป ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของหนังเวสเทิร์นทุกเรื่อง และนี่คือตัวละครที่ได้พบการไถ่บาประหว่างการเดินทางเพื่อแย่งชิงเหยื่อของเหล่าเอเลียนพวกนี้กลับคืนมาครับ เขากลายเป็นคนที่อ่อนโยน มีเมตตามากขึ้นก็จริง แต่เขาเริ่มต้นจากการเป็นคนที่หยาบกระด้างมากๆ และผมคิดว่ามันคงจะเป็นเรื่องผิดพลาดที่จะพยายามเรียกร้องความเห็นใจจากผู้ชม พยายามทำให้เขาน่าสงสารมากขึ้น และพยายามทำให้เขาเป็นที่ยอมรับมากขึ้นน่ะครับ มันเป็นหน้าที่ที่คุณมักจะต้องแบกรับในตอนที่คุณเป็นพระเอกของเรื่องเพราะคุณจะต้องพาผู้ชมไปกับคุณด้วย แต่ (กับ Cowboys and Aliens) ผมไม่รู้สึกอย่างนั้น มันก็เลยทำให้ผมมีอิสระที่จะตีแผ่ความขี้โกงของตัวละครตัวนี้ออกมาครับ  รู้อะไรมั้ย มันสนุกกว่าเยอะเลย และผมก็ชอบทำงานกับคนพวกนี้ มันเป็นประสบการณ์ชั้นยอดอย่างแท้จริง
Q:   การร่วมงานกับจอน แฟฟโรเป็นอย่างไรบ้าง
A:   จอนเป็นคนที่ยินดีให้ความร่วมมืออย่างยิ่ง ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าสนใจสำหรับผมตั้งแต่เริ่มต้นเลย ผมเข้ามาตั้งแต่ช่วงเริ่มแรก ในตอนที่ยังมีปัญหาให้ต้องแก้ไขอยู่ เช่นเรื่องเกี่ยวกับตัวละครหรือตัวหนังโดยรวม และเขาก็ให้ความร่วมมืออย่างดีครับ แต่ผมควรจะบอกไว้ก่อนว่า ผมกลัวการต้องร่วมงานกับผู้กำกับที่เป็นนักแสดงด้วยมาโดยตลอด (หัวเราะ) ผมเคยเห็นผลงานของเขาที่เป็นนักแสดงมาแล้วในหนังช่วงแรกๆ ที่ตลกกว่านี้ของเขา ซึ่งเขาเป็นนักแสดงที่เก่งมากเลยนะครับ แต่สิ่งที่ผมกลัวก็คือผู้กำกับที่เป็นนักแสดงด้วยจะมองหนังจากมุมมองด้านการแสดงแล้วจะมาบอกคุณว่าต้องแสดงยังไง ซึ่งไม่ใช่เรื่องดีเลย สิ่งที่คุณต้องการคือการเห็นพ้องต้องกันถึงความต้องการในแต่ละซีน และถ้าความต้องการนั้นชัดเจนพอ นักแสดงที่เก่งพอก็จะจดจำได้ถึงประสบการณ์ความเป็นมนุษย์และก็จะใส่มันลงไปในเรื่องได้ ผมพบว่าจอนเป็นผู้กำกับที่ใส่ใจและอ่อนไหวมากๆ ผมชื่นชอบโอกาสในการได้ร่วมงานกับเขาจริงๆ
Q:   ก่อนหน้านี้ คุณบอกว่านี่เป็นหนังที่ถ่ายทำแล้วสนุก องค์ประกอบอะไรที่ทำให้มันสนุก อะไรเป็นสิ่งจำเป็นในการสร้างเสริมประสบการณ์ที่ดีล่ะ
A:   ความต้องการที่ชัดเจน เรื่องราวที่ดี เพื่อนร่วมงานที่เข้ากันได้ สภาพอากาศเป็นใจ ม้าที่ดีและสิ่งทั้งหมดนี้ก็มีอยู่ครบ มันก็เลยเป็นงานที่ดีครับ คุณไม่มีทางรู้หรอกครับว่าคุณจะพึงพอใจระดับไหน คุณจะเปลี่ยนจากการพูดถึงมันไม่หยุดไปเป็นการแสดงในนั้นภายในระยะเวลาสั้นๆ และคุณก็ไม่รู้หรอกว่ามันจะออกมาดีแค่ไหน ผมคิดว่ามันไปได้สวยทีเดียวนะ จอนเป็นผู้จัดการจราจรและเวลาที่ดีมากๆ และเขาก็มีทั้งความอดทนและความเฉลียวฉลาดที่จะทดลองเพื่อให้ได้สิ่งที่ดีที่สุดออกมาจากแต่ละซีน ผมคิดว่าเขาทำได้ดีในห้องตัดต่อ และผมก็คิดว่าหนังแต่ละเรื่องต่างก็มีชะตากรรมของตัวเอง ผู้ชมของตัวเอง ซึ่งผมก็หวังว่าหนังเรื่องนี้จะไปได้สวยนะครับ
Q:   สำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ การคุมให้ได้โทนที่เหมาะสมเป็นเรื่องสำคัญขนาดไหน
A:    กับหนังแบบนี้ โทนเป็นเรื่องสำคัญมากและมันก็ขึ้นอยู่กับตัวผู้กำกับ ในฐานะนักแสดง คุณจะใส่ความเข้าใจและความนึกคิดของคุณลงไป แต่ผู้กำกับจะต้องคุมโทนโดยรวมให้เหมาะสมผ่านทางนักแสดงหลากหลายประเภทที่มีความต้องการแตกต่างกันไปน่ะครับ แต่จุดเริ่มต้นของหนังเรื่องนี้คือเวสเทิร์น แล้วเอเลียนค่อยเข้ามา ทำให้เกิดเรื่องเลวร้ายตามมา ถ้าจู่ๆ มันจะกลายเป็นหนังอีกประเภทหนึ่ง ผมคิดว่ามันคงเป็นความผิดพลาดแล้วล่ะครับ ในหนังเรื่องนี้ ประสบการณ์แบบมนุษย์จะอยู่ภายในบริบทของหนังเวสเทิร์น แม้กระทั่งหลังจากเอเลียนเข้ามาและแสดงให้เห็นว่าพวกมันสามารถทำให้หนังสนุกมากขึ้นแค่ไหน มันก็ยังต้องเป็นเวสเทิร์นอยู่ดีครับ
Q:   คุณบอกว่าในภาพยนตร์เรื่องนี้ คุณเล่นเป็นตัวละครอีกประเภทหนึ่ง มันให้ความรู้สึกอิสระรึเปล่า
A:   เขาเป็นตัวละครแบบที่ผมไม่เคยเล่นมาก่อน เขาเป็นผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้นจากสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง เขาไม่อธิบาย แก้ตัวหรือขอโทษอะไรทั้งนั้น เพราะเขาเป็นคนเลว และนั่นก็คือประโยชน์ของเขาในหนังเรื่องนี้ครับ แต่บทแบบนั้นก็อาจเป็นอิสระมากเกินไป และคุณก็จะต้องคอยระวังตัวไม่ให้ปล่อยตัวมากเกินไป เพราะอันตรายของเรื่องนี้ก็คือคุณจะเริ่มเสริมแต่งธีมเองและจะคิดเรื่องของคุณเองขึ้นมา ยิ่งคุณสามารถรีดเอาความสนุกของมันออกมาเพื่อหนังได้มากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งดีขึ้นเท่านั้นครับ
Q:   คุณต้องขี่ม้าในดินแดนทุรกันดาร คุณสนุกกับแง่มุมที่ต้องใช้พลกำลังของบทนี้รึเปล่า
A:   ผมรักมันเลยล่ะ ผมชอบงานกลางแจ้ง มันสนุกกว่าการอยู่ในร่มหรือในซาวน์สเตจ นั่งอยู่บนเก้าอี้ผู้กำกับ ในหนังเรื่องนี้ เราอยู่กลางแจ้งเกือบทั้งเรื่อง และอากาศก็เป็นแบบนั้น นั่นคือสิ่งที่คุณได้จากหนังเวสเทิร์น เป็นส่วนหนึ่งของมันครับ ในตอนเราเริ่มถ่ายทำ มีการถกเถียงกันว่าจะถ่ายทำหนังเรื่องนี้แบบ 3D รึเปล่า ซึ่งผมก็ต่อต้านสุดตัวเลย
Q:   ทำไมล่ะ
A:   มันเป็นเหตุผลเดียวกันที่ทำให้ในที่สุดจอนก็ตัดสินใจคัดค้านมัน คุณอยากจะใส่บริบทที่มีเนื้อมีหนังเข้าไปในเวสเทิร์นครับ เราจะเป็นฝ่ายที่รอรับการกระทำของดินฟ้าอากาศในโลกเวสเทิร์น ในยุคประวัติศาสตร์นั้น ผมคิดว่าเราต้องได้เห็นเรื่องราวพวกนั้นในสถานที่แห่งนั้น และรู้ว่ามันเป็นที่ที่คุณยังชีพอยู่ได้ด้วยสติปัญญา นี่เป็นที่ที่ธรรมชาติสามารถกำหราบคุณได้ นี่เป็นที่ที่คุณไม่มีอะไรเลยนอกจากสิ่งที่คุณนำติดตัวมาด้วย ซึ่งรวมถึงสติปัญญาของคุณและอะไรก็ตามที่คุณแพ็คไว้บนหลังม้าได้น่ะครับ นั่นเป็นโทนและความเป็นจริงของดินแดนชายขอบครับ และคุณก็จะสัมผัสได้จากเลนส์อนามอร์ฟิค ภูมิประเทศจะกลายเป็นตัวละครตัวหนึ่งของเรื่องครับ
Q:   แล้วการใช้ 3D จะนำคุณออกจากโลกใบนั้นงั้นหรือ
A:   ใช่ครับ มันจะบีบคุณให้อยู่ในกล่อง และหนึ่งในข้อจำกัดของเทคโนโลยีนี้คือคุณจะต้องจัดฉากแอ็กชันสำหรับกล้อง และท้ายที่สุดแล้ว คุณก็จะลงเอยด้วยการสร้างฉากที่คุณดันมันสู่โฟร์กราวน์ ซึ่งเป็นเรื่องจอมปลอมและห่วยแตกครับ
Q:   คุณเรียนขี่ม้าตั้งแต่ที่คุณเริ่มแสดงใหม่ๆ รึเปล่า
A:   เปล่าครับ มันเป็นสิ่งที่ผมเรียนนอกงาน เป็นส่วนหนึ่งของการเติบโตขึ้น  ในช่วงวันหยุดของครอบครัว เราจะไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ และการขี่ม้าก็เป็นสิ่งที่เด็กๆ สมัยนั้นทำกันน่ะครับ มีอยู่ตอนหนึ่ง ผมซื้อที่ดินในแจ็คสัน, ไวโอมิง และเริ่มใช้ม้าในการเดินทางไปไหนมาไหน มันเป็นบ้านไร่ที่ใช้งานได้จริง แม้ว่าเราจะไม่ได้เลี้ยงวัวก็ตาม แต่การขี่ม้าไปที่ดินผืนนั้นสะดวกกว่ากันเยอะครับ ผมก็เลยเลี้ยงม้ามา 25 ปีและการขี่ม้าก็ทำให้ผมมีความสุขมาก จนถึงทุกวันนี้ สำหรับหนังเรื่องนี้ ผมได้ขี่ม้าสี่หรือห้าตัว และได้เจอกับม้าที่ผมคิดว่าเราสามารถเข้าใจกันและกันได้ด้วยครับ เขามีท่าเดินที่สบายๆ ตอบสนองดีและตัวใหญ่ แข็งแรงดี เขาเป็นคู่หูที่ดีครับ
Q:   เล่าให้เราฟังถึงการร่วมงานกับแดเนียล เคร็กหน่อยสิ มันเป็นอย่างไรบ้าง
A:    แดเนียลเก่งมากและเขาก็เป็นนักแสดงที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงด้วย" เขาบอก "ผมไม่ใช่กูรูหนังก็จริง แต่ผมรู้จักผลงานของเขาและเขาก็เป็นคนมีความสามารถสูง เขาเป็นคนมีความรู้แต่ไม่โอ้อวด เขารู้จักธรรมชาติของการแสดงอย่างถ่องแท้ เขาเป็นคนเอื้อเฟื้อ ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ผมมีความสุขมากที่ได้ร่วมงานกับเขาครับ
Q:   คุณเคยบอกว่าคุณเคยแสดงภาพยนตร์เวสเทิร์นมาแค่เรื่องเดียว ซึ่งก็คือ The Frisco Kid ก่อนหน้าเรื่องนี้ แต่ก่อนหน้านี้ คุณก็เคยแสดงซีรีส์แนวนี้มาก่อนนี่...
A:   ตลอด 40 ปีที่ผมเป็นนักแสดงมา หนังเวสเทิร์นทำรายได้ไม่ค่อยดีซักเท่าไหร่ ดูเหมือนมันจะไม่ใช่หนังทำเงินเลย แต่ในตอนที่ผมเป็นนักแสดงใหม่ๆ ผมได้แสดงซีรีส์โทรทัศน์หลายเรื่องเช่น  The Virginian และ Gunsmoke หรืออะไรทำนองนั้น ผมสนุกกับมันนะ และผมก็อยากจะแสดงหนังเวสเทิร์นเต็มรูปแบบซักวันหนึ่ง
Q:   คุณชอบอะไรในภาพยนตร์เวสเทิร์น
A:   ผมชอบความเรียบง่ายของการเล่าเรื่องและผมก็ชอบธรรมชาติที่ให้ความสำคัญกับภาพของหนังแนวนี้ ผมชอบประเภทของตัวละครและสถานการณ์ที่คุณจะได้เจอในหนังเวสเทิร์นครับ แต่อย่างที่ผมบอก ตลอด 30 ปีที่ผ่านมา พวกมันมักจะไม่ใช่หนังทำเงินครับ
Q:   มันเป็นหนังอเมริกันคลาสสิก…
A:   ใช่ครับเพราะมันสะท้อนถึงช่วงเวลาที่เจิดจรัสในประวัติศาสตร์อเมริกัน และอเมริกาก็เป็นประเทศที่ไม่ค่อยจะเปิดเผยประวัติศาสตร์ของตัวเองซักเท่าไหร่ และมันก็มีท่าทีด้านศีลธรรมที่ซับซ้อนมากๆ และถึงแม้ว่าเวสเทิร์นจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการเผชิญหน้าดินแดนชายขอบของมนุษย์และโอกาสที่ดินแดนนั้นมอบให้ แต่มันก็เป็นเรื่องราวที่ซับซ้อนเกี่ยวกับการผลักดันพวกอินเดียนแดงให้พ้นจากแผ่นดินด้วย และมันก็ยังรวมถึงความคิดของ “ชะตากรรมลิขิต” ที่พระเจ้าประสงค์ให้อเมริกาโผล่จากทะเลมาสู่ทะเลที่สว่างไสวน่ะครับ ดังนั้น มันก็เลยมีการขยายขอบเขตทางด้านศีลธรรม ด้วยความที่มันมาจากพระเจ้าโดยตรง ก็เลยไม่มีใครตั้งคำถามกับมันครับ
Q:   แล้ว Cowboys and Aliens ยกย่องรูปแบบนั้นอย่างไร
A:   หนังเรื่องนี้ไม่ได้ข้องเกี่ยวกับองค์ประกอบที่ซับซ้อนพวกนั้นโดยตรงแต่ธรรมชาติของชีวิตที่นั่นเป็นส่วนสำคัญของเรื่องนี้ คนพวกนี้ไม่มีบริบทในการทำความเข้าใจกับพวกเอเลียน สมัยนั้นยังไม่มีคำว่า ‘เอเลียน’ เลย มันไม่ได้หมายถึงคนที่ข้ามพรมแดนเข้ามาโดยผิดกฎหมายด้วยซ้ำ พวกเขายังไม่เข้าใจเรื่องการเดินทางในอวกาศ จรวดหรืออะไรพวกนั้นเลย พวกเขาไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้ ดังนั้นบริบทเดียวที่พวกเขามีสำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเมืองเล็กๆ ของพวกเขาคือบริบทที่นักบวชมอบให้พวกเขา ว่าบางทีพวกมันอาจจะเป็นปีศาจก็ได้ มันเป็นเหตุการณ์ที่สามารถเข้าใจได้ในแง่ของคัมภีร์ไบเบิลเท่านั้น ดังนั้นมันก็เลยเป็นบริบทดรามาที่ค่อนข้างเป็นธรรมชาติทีเดียวครับ
Q:   ทั้งสตีเวน สปีลเบิร์กและรอน โฮเวิร์ดต่างก็เข้ามามีส่วนร่วมกับโปรเจ็กต์นี้ในฐานะผู้ควบคุมงานสร้าง นั่นเป็นปัจจัยที่ทำให้คุณตัดสินใจรับบทนี้รึเปล่า
A:   ในทุกครั้ง มันเป็นแค่คำถามที่ว่า ‘งานคืออะไร’ มันเป็นสิ่งที่ผมมีอารมณ์ตอบสนองด้วยรึเปล่า ผมชอบทีมงานที่เกี่ยวข้องรึเปล่า ผมชอบรอนและสตีเวนก็จริง แต่ไม่เคยร่วมงานกับพวกเขามาก่อน แต่ผมเคยร่วมงานกับอเล็กซ์ และบ็อบ ออร์ซีและจอนด้วย แล้วมันเป็นหนังอย่างที่ผมคิดว่ามันเป็นรึเปล่า มันใช้ประโยชน์จากงบประมาณอย่างคุ้มค่ารึเปล่า ผมไม่ชอบเห็นคนใช้เงินโดยสูญเปล่าน่ะครับ ปัจจุบันนี้ การสร้างอะไรต่อมิอะไรต้องใช้เงินมหาศาลและคุณก็อยากจะทุ่มเทพลังงานของคุณและเงินของพวกเขาไปกับสิ่งที่คุณคิดว่าน่าจะมีผลตอบแทนกลับมา มันไม่ใช่ทางเลือกที่ดีหรอกนะครับถ้าหนังที่คุณใช้เวลาสร้างระยะหนึ่งทำเงินไม่ได้ ผมเลยอยากให้หนังประสบความสำเร็จ อยากให้มันมีผู้ชมเพราะมันไม่สนุกเลยซักนิดที่ทำงานแล้วมาพบว่าคนไม่แคร์กับสิ่งที่คุณทำลงไปซักนิดน่ะครับ
Q:   เทคโนโลยีในการถ่ายทำได้พัฒนาขึ้นเยอะในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่หน้าที่ของนักแสดงยังคงเหมือนกับตอนที่คุณเริ่มต้นอาชีพนักแสดงรึเปล่า
A:   ใช่ครับ หน้าที่ของเราคือการถ่ายทอดอารมณ์ของเรื่องราวความเป็นมนุษย์ และไม่ว่าหนังเรื่องนั้นจะเป็นแนวไหนหรือผู้ชมจะมีรสนิยมอย่างไร ผมก็ยังคิดว่าภาษาหนังคืออารมณ์และผมก็ต้องมีอารมณ์ร่วมไปกับเหตุการณ์และในตัวละครที่ผมเล่น สำหรับตัวละครของผมใน Cowboys and Aliens เขามีพัฒนาการครับ แต่มันไม่ใช่อย่างที่คุณคิดและนั่นก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่น่าสนใจสำหรับผม
Q:   คุณคาดหวังให้ผู้กำกับของคุณเป็นผู้ที่ให้ความร่วมมืออย่างดีรึเปล่า
A:   มันคงไม่สนุกสำหรับผมถ้าพวกเขาไม่ได้เป็นแบบนั้น มันจะสนุกในตอนที่คุณได้มีส่วนร่วม แต่มันจะไม่สนุกเท่าไหร่ถ้ามันเป็นแบบ ‘ยืนตรงนี้นะ พูดแบบนี้ แล้วขยับไปตรงนั้น แล้วพูดแบบนั้น’ น่ะครับ ผมคิดว่าความสนุกใดๆ ก็ตามที่เกิดขึ้นในกระบวนการทำงาน ความยินดีที่คุณมีต่องานของคุณจะทำให้คุณเกิดความสนใจใหม่ๆ ในงานของคุณและความสามารถในการสื่อสารเกี่ยวกับงานของคุณ ดังนั้นความสนุกก็จะเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการนั้น และการร่วมงานกับคนอื่นก็เป็นเรื่องน่ายินดีเสมอครับ การทำงานต่อต้านคนอื่นนี่สิไม่ค่อยสนุกเท่าไหร่
Q:   หลังจากนี้ คุณมีงานอะไรรออยู่รึเปล่า
A:   ไม่เลยครับ ผมยังมีหลายงานที่อยู่ระหว่างการพัฒนา ซึ่งมันยังไม่พร้อม แต่ผมก็ยินดีที่จะรอครับ

happy on July 25, 2011, 02:46:44 PM

โอลิเวีย ไวลด์ รับบทเอลลา ใน COWBOYS AND ALIENS

               ในขณะที่นักแสดงหญิงคนอื่นๆ อาจจะกลัวกับการถูก “กระชาก” ลอยตัว 40 ฟุตจากหลังม้าที่กำลังควบปุเลงๆ แต่โอลิเวีย ไวลด์กลับยินดีที่จะลอง
   จริงๆ แล้ว ในกองถ่าย Cowboys and Aliens เธอเต็มใจยอมรับฉากทรหดทุกฉากเท่าที่ภาพยนตร์เรื่องนี้เตรียมไว้ให้เธอ ไม่ว่าจะเป็นการขี่ม้า ยิงปืน ต่อสู้ และที่เยี่ยมที่สุด คือฉากผาดโผนน่าตื่นตาตื่นใจบนหลังม้า
   “ฉันได้แสดงฉากผาดโผนที่ฉันชื่นชอบที่สุดในหนังเรื่องนี้ค่ะ” เธอกล่าวกลั้วหัวเราะ “ฉันจินตนาการไม่ออกเลยว่าฉันเคยแสดงฉากผาดโผนที่สนุกกว่านี้รึเปล่า ฉันอยู่บนม้าที่กำลังควบอยู่ ตัวฉันถูกมัดด้วยเชือกบันจี้ที่ผูกติดกับเครน แล้วฉันก็ถูกยกตัวขึ้นสูงเหนือพื้นดิน 40 ฟุต คุณจะได้เห็นมันในเทรลเลอร์ค่ะ ฉันแสดงฉากนั้นด้วยตัวเองเลยนะคะ!”
   ในซีนนั้น ไวลด์ ในบทของเอลลาคนงาม ได้ขี่ม้าเคียงข้างแดเนียล เคร็ก ในบทชายพเนจรลึกลับ ผู้ปรากฏตัวในเมืองทะเลทรายที่ทุรกันดาร แอ็บโซลูชัน ซึ่งถูกโจมตีจากฝูงเอเลียนผู้รุกราน
   ชายพเนจร ที่เรารู้ภายหลังว่าชื่อเจค มีกุญแจมือเหล็กห้อยอยู่ตรงข้อมือและในตอนแรก เขาก็ไม่รู้เลยว่ามันมาจากไหน จริงๆ แล้ว เอลลารู้อดีตของเขามากกว่าตัวเขาเองเสียอีก นอกจากนี้ เธอยังรู้ด้วยว่าเจค และกุญแจมือเหล็กนั้น เป็นกุญแจสำคัญสำหรับการต่อสู้ผู้รุกราน
   ขณะที่ทั้งคู่ขี่ม้าไปด้วยกัน พวกเอเลียนก็โฉบลงมาและกระชากเอลลาไปจากหลังม้า เพื่อจับเธอไปยังยานของพวกเขา ไวลด์ได้อธิบายถึงวิธีการทำงานในฉากนี้ว่า
   “ฉันอยู่บนหลังม้า แต่เท้าฉันอยู่พ้นจากโกลนเพราะคุณไม่อยากให้เท้าติดโกลนหรอกนะคะ ฉันขี่ม้าอยู่ข้างๆ แดเนียล และเราก็ควบม้ากันอยู่ระหว่างเครนสองตัว ฉันมีเชือกบันจี้มัดอยู่ตรงด้านหลังกับบังเหียน แล้วพอถึงจุดๆ หนึ่ง พวกเขาก็กระชากเชือกบันจี้กลับ จนดูเหมือนฉันถูกบ่วงบาศก์กระชากไปน่ะค่ะ”
   “พวกเขากระชากตัวบทสัมภาษณ์:

Q:   ถ้าคุณต้องเลือก คุณจะเลือกแนวไหน เวสเทิร์นหรือไซไฟ
A:   จริงๆ แล้ว ฉันเป็นแฟนของหนังทั้งสองแนวค่ะ แต่ฉันแทบไม่เจอตัวละครหญิงแกร่งในเวสเทิร์นที่ฉันเข้าถึงเลย ในขณะที่แนวไซไฟ ฉันเจอบทผู้หญิงที่ฉันรู้สึกเข้าถึงได้ ฉันนึกถึงซิเกอร์นีย์ (วีฟเวอร์) ใน Aliens ค่ะ แต่ถึงกระนั้น เวสเทิร์นก็มีผลกระทบต่อรสนิยมหนังของฉัน แนวที่ฉันโปรดปรานที่สุดคือหนังแก๊งสเตอร์ ซึ่งจริงๆ แล้วทุกเรื่องก็เป็นเวสเทิร์นหมดนั่นแหละ ดังนั้น พอฉันเริ่มเรียนรู้เกี่ยวกับหนังมากขึ้นเรื่อยๆ ฉันก็ได้รู้ว่าองค์ประกอบหลายๆ อย่างในหนังที่ฉันชื่นชอบมาจากแนวเวสเทิร์น แล้วฉันก็ได้เรียนขี่ม้า ซึ่งเป็นสิ่งที่สร้างความผูกพันระหว่างฉันกับพ่อของฉันค่ะ ท่านสอนฉันขี่ม้าและท่านก็อยากจะแสดงหนังเวสเทิร์นซักเรื่องมาตลอดชีวิต (หัวเราะ) หลังจากดูเทรลเลอร์ตัวแรกของหนังเรื่องนี้ พ่อฉันก็พูดว่า ‘มันเป็นทุกอย่างที่พ่อต้องการในหนังเลย!’ ฉันก็เลยคิดว่าเราน่าจะใส่คำพูดนั้นลงไปในโปสเตอร์ด้วยนะคะ (หัวเราะ)
Q:   นั่นเป็นคำชมที่ยิ่งใหญ่ทีเดียว…
A:    ใช่ค่ะ และนั่นก็เป็นความรู้สึกของฉันเพราะหนังเรื่องนี้ผสมผสานองค์ประกอบสองอย่างและแนวหนังสองแนวที่ฉันชื่นชอบมาก ส่วนหนึ่งของความสนุกในการค้นคว้าสำหรับบทนี้และการเป็นส่วนหนึ่งของหนังเรื่องนี้คือการได้ศึกษาหนังเวสเทิร์นจริงๆ ฉันได้คุยเรื่องนี้กับพวกผู้ชายในเรื่องเพราะพวกเขารู้มากเหลือเกิน และฉันก็หวังว่า ตัวละครเอลลาจะเป็นการที่เราได้สร้างตัวละครผู้หญิงที่เด็กสาวคนอื่นๆ สามารถเข้าถึงได้และได้รับแรงบันดาลใจขึ้นมานะคะ
Q:   คุณพอใจกับสิ่งที่คุณได้เห็นในหนังเรื่องนี้รึเปล่า
A:   ตอนฉันได้ดูหนังเรื่องนี้ ฉันเกาะจอน แฟฟโรทั้งเรื่องเลย และฉันก็พร่ำบอกเขาว่า ‘มันเป็นหนังจริงๆ…’ และมันก็เป็นหนังจริงๆ และมันก็ให้ความรู้สึกยิ่งใหญ่ในแบบที่หนังควรจะเป็น มันกว้างใหญ่เหมือนกับภูมิทัศน์ มันเติมเต็มหน้าจอ และเป็นเวสเทิร์นของแท้จริงๆ ฉันทึ่งมากที่พวกเขาสามารถทำได้เพราะแม้กระทั่งในตอนที่เราถ่ายทำหนังเรื่องนี้ ฉันก็ยังคิดเลยว่า ‘หนังเรื่องนี้ซับซ้อนสุดๆ พวกเขาจะผสมผสานหนังทั้งสองแนวนี้เข้าด้วยกันได้ยังไงนะ พวกเขาจะรักษาโทนอย่างที่มันควรจะเป็นได้ยังไง’ แต่ไม่มีใครควบคุมโทนได้เหมือนจอน แฟฟโร เขาสามารถใส่อารมณ์ขันเข้าไปในฉากที่เข้มข้นที่สุดและทำให้มันเพลิดเพลินสำหรับผู้ชมกลุ่มใหญ่ พร้อมๆ กับการทำให้มันน่าสนใจสำหรับคอหนังตัวจริง ฉันคิดว่าเขาเยี่ยมมากค่ะ
Q:   จอนเป็นคนแรกที่ทำให้คุณตกปากรับคำเล่นหนังเรื่องนี้รึเปล่า
A:   ใช่ค่ะ จอนทำให้ฉันตกลงใจได้ แต่ฉันก็ได้ยินเรื่องดีๆ มาหลายเรื่อง หนังเรื่องนี้มีชื่อเสียงที่ดีค่ะ มันมีคำร่ำลือทั่วทั้งเมืองและฉันก็ได้ยินมาว่าดรีมเวิร์คส์จะสร้าง Cowboys and Aliens โดยมีทั้งสตีเวน สปีลเบิร์กและรอน โฮเวิร์ดในนั้น ฉันก็คิดว่า ‘ว้าว มันเจ๋งจริงๆ…’ แล้พอฉันได้ยินว่าจอน แฟฟโรจะเป็นคนกำกับ ฉันก็คิดว่า ‘ฟังดูเป็นหนังที่น่าสนใจจริงๆ…’
Q:   ถึงตอนนั้น คุณได้รับโทรศัพท์รึยัง
A:   ถึงตอนนั้น คนก็พูดถึงหนังเรื่องนี้แล้วและพวกเขาก็พูดให้ฉันฟังเรื่อยๆ ว่า ‘คุณอ่านบทแล้วรึยัง เพราะฉันได้ยินมาว่าพวกเขาอยากให้คุณเล่นบทนี้นะ’ ฉันก็คิดว่า ‘ฟังดูน่าสนใจนะ’ แล้วบทก็ถูกส่งมาถึงบ้านของฉันตอนเที่ยงคืน และฉันก็อ่านจบตอนตีสองเพราะฉันวางมันไม่ลงเลย
Q:   คุณได้บทมาตอนเที่ยงคืนเนี่ยนะ
A:   บางครั้ง พวกเขาก็จะมาส่งบทให้ฉันตอนกลางดึกและคิดว่าฉันคงจะไม่เห็นมันจนกว่าจะเช้าวันรุ่งขึ้น แต่ฉันเห็นว่าพวกเขาส่งมันมา ฉันก็เลยแกะซองออกแล้วก็อ่านมันรวดเดียวจบ พร้อมกับความคิดว่า ‘ฉันจะต้องแสดงหนังเรื่องนี้ ฉันจะต้องแสดงหนังเรื่องนี้ให้ได้เพราะมันเจ๋งสุดๆ’ น่ะค่ะ ด้วยความที่มันน่าประหลาดใจมากๆ และกับแต่ละหน้า ฉันก็มีความคิดว่า ‘ฉันไม่รู้เลยว่ามันจะเป็นยังไงต่อไป’ และตัวละครตัวนี้ก็เป็นตัวละครแปลกประหลาดที่คาดเดาไม่ได้มากที่สุดเลยล่ะค่ะ ตอนที่ฉันได้พบจอน ฉันรู้สึกเหมือนฉันได้พบฝาแฝดที่หายตัวไปของฉัน ฉันกับจอนเหมือนกันหลายอย่าง เหมือนเรามีความสัมพันธ์ที่ไหลลื่นมากๆ ในแง่ของการสื่อสารไอเดียสร้างสรรค์และเราก็มีรสนิยมเรื่องหนังเหมือนๆ กัน และมีรูปแบบการสื่อสารที่ไหลลื่นมากๆ (ดีดนิ้ว) พอเรานั่งลงคุยกัน ฉันก็รู้ว่าเราจะต้องทำหนังด้วยกัน ฉันเป็นแฟนผลงานเขามานานแล้ว แต่ฉันก็ไม่รู้เลยว่าเขาฉลาดขนาดไหน ฉันหมายถึง จอนเป็นคนเก่งและเชี่ยวชาญด้านการกำกับนักแสดงเพราะเขาเองก็เคยผ่านการฝึกฝน (ในฐานะนักแสดง) มาเหมือนกัน เขาก็เลยรู้ว่าจะนำคุณไปสู่การแสดงที่น่าสนใจและตรงไปตรงมาที่สุดได้อย่างไร
Q:   การทำงานร่วมกับจอนเป็นอย่างไรบ้าง
A:   เยี่ยมไปเลยค่ะ ฉันคิดว่ามันเหลือเชื่อมากที่จอนสามารถจดจำหนังทั้งเรื่องไว้ในหัวและร้อยเรียงหนังทั้งสองแนวนี้เข้าด้วยกันได้อย่างงดงาม พร้อมๆ กับคอยอยู่ในกองถ่ายและดูแลตัวละครทุกตัว เขารับรู้ถึงสิ่งที่ทุกคนทำในแต่ละซีนอย่างถ่องแท้ ฉันชื่นชอบโอกาสที่ได้พักก่อนแสดงในแต่ละซีน เพื่อทำความเข้าใจว่าทำไมเราถึงอยู่ตรงนั้น เกิดอะไรขึ้น ก่อนหน้านี้เป็นยังไงบ้าง เขาเป็นคนที่นิ่งสงบและเป็นคลังข้อมูลอย่างดี ที่เต็มไปด้วยข้อมูลเกี่ยวกับหนังอย่างมหาศาล เขาสามารถอ้างถึงหนัง 12 เรื่องได้ภายในประโยคเดียวเลยนะคะ! (หัวเราะ) มันเหลือเชื่อจริงๆ และฉันก็ไม่คิดว่า จะมีใครสามารถกำกับหนังเรื่องนี้ได้อีก ฉันได้สังเกตจอนอย่างใกล้ชิดและฉันก็รู้ว่า ถ้าฉันจะกำกับหนังซักเรื่อง ซึ่งฉันก็หวังอย่างนั้น ฉันจะย้อนกลับไปดูบทเรียนทั้งหมดที่ฉันได้เรียนรู้จากเขา มันไม่ใช่แค่วิธีที่เขาทำให้เรื่องราวนี้เวิร์คอย่างงดงามเท่านั้น แต่ยังรวมถึงวิธีที่จอนปฏิบัติต่อคนอื่น และการที่ทีมงานเคารพในตัวเขายังได้ด้วย มันเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นจริงๆ ที่ได้อยู่ในกองถ่าย และทุกคนก็กระตือรือร้นกับมัน มันให้ความรู้สึกของการได้เป็นส่วนหนึ่งของอะไรบางอย่างที่พิเศษสุด และมันก็เริ่มต้นจากระดับบนสุดเลยค่ะ
Q:   คุณมองตัวละครตัวนี้ตั้งแต่เริ่มต้นยังไงบ้าง แล้วความรู้สึกนั้นเปลี่ยนแปลงไปบ้างรึเปล่า
A:   เปลี่ยนค่ะ ฉันมองตัวละครตัวนี้ว่าแปลกมากๆ ฉันชื่นชอบตัวละครแปลกๆ เสมอค่ะ
Q:   ในลักษณะไหน
A:   ฉันชอบคนที่แปลกนิดๆ และก็ลึกลับค่ะ ใช่ค่ะ พวกเราทุกคนต่างก็ชอบสิ่งที่ลึกลับ แต่แปลกนิดๆ และฉันก็ชอบที่เอลลาไม่ใช่แค่หญิงสาวที่เขารัก ไม่แค่หญิงสาวที่เย้ายวน ฉันชอบที่เธอทรงพลังอย่างเหลือเชื่อและเข้าสังคมไม่ค่อยเก่ง ฉันอยากจะสำรวจเรื่องตรงนั้น ฉันอยากจะสำรวจสิ่งที่ทำให้เราเป็นที่ยอมรับในสังคมและองค์ประกอบไหนในตัวเราที่ทำให้เราเข้ากับคนอื่นไม่ได้ ฉันคิดว่ามันเป็นวิธีการที่น่าสนใจในการสำรวจปฏิสัมพันธ์ระหว่ามนุษย์ ฉันชื่นชอบโอกาสที่ได้ค้นคว้าผู้หญิงในโลกตะวันตก ฉันหลงใหลผู้หญิงเหล่านี้ที่บุกดินแดนตะวันตกในศตวรรษที่ 19 ที่พาครอบครัวไปด้วย และเริ่มลงหลักปักฐาน สู้กับสภาพแวดล้อมและกันและกัน พวกเธอมีชีวิตที่แร้นแค้นอย่างเหลือเชื่อและฉันก็ชื่นชมพวกเธอเสมอ ฉันมีบรรพบุรุษที่เป็นแบบนั้นด้วยนะคะ และฉันก็อยากจะค้นคว้าให้ลึกลงไปอีก
Q:   คุณต้องทำการค้นคว้าแบบนั้นสำหรับทุกบทเลยรึเปล่า
A:   ใช่ค่ะ ฉันมักจะค้นคว้าอย่างมากสำหรับแต่ละบทและตอนนี้ ฉันก็รู้แล้วว่าเมื่อฉันรับบทซักบทหนึ่ง มันจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตฉันในระยะเวลาที่นานกว่าการถ่ายทำสองสามเดือน มันครอบงำทุกสิ่งที่ฉันทำตลอดสองสามเดือนก่อนหน้านั้นด้วยค่ะ
Q:   คุณชอบเรื่องแบบนั้นรึเปล่า
A:   ฉันชอบนะคะ ฉันชอบการที่ถูกบทครอบคำ แต่นั่นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ฉันต้องเลือกอย่างระมัดระวังเพราะถ้าฉันไม่เลือกอย่างรอบคอบแล้วล่ะก็ ฉันก็จะถูกครอบงำด้วยสิ่งที่ไม่ได้สนุกเอาซะเลย
Q:   ยกตัวอย่างเช่น Blackbird ที่คุณเพิ่งถ่ายทำไป ซึ่งฟังดูแล้วเป็นเรื่องราวที่สะเทือนใจกว่านี้เยอะ…
A:   สะเทือนใจกว่าเยอะเลยค่ะ และการค้นคว้าสำหรับเรื่องนั้นก็หดหู่อย่างเหลือเชื่อด้วย แต่มันก็มีเสน่ห์นะคะ (หัวเราะ)
Q:   แล้วคุณทำการค้นคว้าสำหรับบทเอลลาใน Cowboys and Aliens อย่างไร
A:   ฉันชอบไปพิพิธภัณฑ์ออทรีในแอลเอ เพื่อดูหนังเวสเทิร์นทุกเรื่องที่ถูกสร้างขึ้นมา และอ่านหนังสือเกี่ยวกับผู้หญิง เกี่ยวกับผู้บุกเบิกที่เป็นผู้หญิง เกี่ยวกับบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์เวสเทิร์น อีกอย่างหนึ่ง ฉันชื่นชอบการได้เรียนรู้เกี่ยวกับโครงสร้างของแนวหนังเวสเทิร์น มันเป็นเรื่องน่าทึ่งมากที่มันเป็นไปตามโครงสร้างเทพปกรณัมของโจเซฟ แคมป์เบล การได้แสดงหนังเวสเทิร์นให้ความรู้สึกเหมือนพิธีกรรมการเติบใหญ่จริงๆ ฉันตื่นเต้นกับมันและสนุกกับการทำงานในหนังเรื่องนี้มาก
Q:   คุณเคยพูดเอาไว้ว่าคุณขี่ม้าตั้งแต่ยังเด็ก แต่คุณจะต้องพัฒนาสไตล์ใดสไตล์หนึ่งขึ้นมาเป็นพิเศษสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้รึเปล่า
A:   ใช่ค่ะ ฉันเคยขี่ม้ามาก่อน แต่การขี่ม้าแบบเวสเทิร์นเป็นเรื่องใหม่สำหรับฉัน และฉันก็ได้เรียนรู้ค่อนข้างมากสำหรับหนังเรื่องนี้ ซึ่งฉันชอบมันนะ พอฉันได้บทนี้มา ฉันก็ถามเลยว่า ‘ฉันเริ่มฝึกตอนนี้เลยใช่มั้ย’ พวกเขาบอกว่า ‘แต่หนังจะเริ่มถ่ายทำอีกตั้งหกเดือนข้างหน้าแน่ะ’ ฉันก็บอกไปว่า ‘งั้นฉันจะเริ่มฝึกตั้งแต่ตอนนี้เลยแล้วกัน’ และฉันก็ทำตามนั้น ฉันเริ่มขี่ม้าทุกวัน วันละหลายชั่วโมงค่ะ
Q:   ในแอลเอน่ะหรือ
A:   ในแอลเอเนี่ยแหละค่ะ สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับแอลเอคือมันเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยม้า ฉันยังเป็นนักท่องเที่ยวสำหรับที่นี่ในหลายๆ ด้าน ฉันก็เลยได้เรียนรู้หลายเรื่องเกี่ยวกับแอลเอ มันเป็นสถานที่แปลกประหลาดที่คุณสามารถขับรถบนทางหลวงและขี่ม้าได้ภายในชั่วโมงเดียวกัน และมันก็ยังคงมีวัฒนธรรมแบบคาวบอยคลุกฝุ่นอยู่ คุณก็แค่ขับรถออกไปนอกเมืองนิดหน่อย คุณก็จะเจออีกโลกหนึ่ง ที่มีธรรมชาติเขียวขจี และมีสถานที่เกี่ยวกับม้ามากมาย ฉันคิดว่าการเตรียมตัวสำหรับหนังเรื่องนี้สนุกกว่าทุกเรื่องที่ฉันเคยผ่านมาอีกค่ะ
Q:   เล่าเรื่องเอลลาให้เราฟังหน่อยสิ เธอมีงานรึเปล่า
A:   ไม่ค่ะ เธอไม่มีงาน และนั่นคือสิ่งที่แปลกมากเกี่ยวกับเธอ รวมถึงการที่เธอพกปืนด้วยล่ะค่ะ
Q:   และดูเธอจะรู้เกี่ยวกับอดีตของเจคมากกว่าที่เจ้าตัวจะรู้เสียอีก
A:   เธอมีอะไรหลายๆ อย่างเหมือนเขา และเธอก็เฝ้ามองเขาอย่างใกล้ชิดเพราะเงื่อนงำใดๆ ที่เขาสามารถให้กับเธอได้ว่าเขาไปไหนมาบ้าง หรือเขารู้อะไร จะช่วยเธอได้มากเพราะเธอเองก็กำลังอยู่ระหว่างการเดินทางของตัวเอง เธอกำลังค้นหาสิ่งเดียวกัน เธอรู้เกี่ยวกับมันมากกว่าที่เขารู้ แต่พวกเขาก็มีอะไรหลายอย่างเหมือนกัน และเธอก็ต้องการเขาอย่างมาก สิ่งสุดท้ายที่เธอไม่อยากให้เกิดขึ้นคือการที่เขาหนี เธอไม่อยากทำร้ายเขา แต่เธอก็จะทำเพื่อรั้งเขาไว้ที่นี่ เธอรู้ว่าเขาเคยอยู่กับพวกเอเลียนเพราะโซ่ตรวนที่ข้อมือ เธอซ่อนตัวอยู่ในเมืองแห่งนี้ พยายามทำตัวไม่น่าสงสัย เธออยากจะถูกกลืนไปกับเงามืดและจะออกมาก็ต่อเมื่อเจคมาถึง และเมื่อถึงเวลานั้น เธอก็จะทำทุกสิ่งที่จำเป็นเพื่อให้เขาช่วยเหลือเธอน่ะค่ะ
   สิ่งที่ฉันชอบเกี่ยวกับเวสเทิร์นแนวนี้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเรื่องราวนี้คือความเสี่ยงมันสูงมาก ทุกอย่างเป็นเรื่องของความเป็นความตาย และนั่นก็เป็นสิ่งที่นำคุณจากเวสเทิร์นไปสู่หนังแก๊งสเตอร์ หรือแม้แต่ไซไฟ นั่นคือสิ่งที่เชื่อมโยงหนังพวกนี้เข้าด้วยกัน ฉันพูดถึงหนังแก๊งสเตอร์เพราะนั่นเป็นหนังแนวโปรดของฉัน ฉันชอบความคิดแบบที่เรามีใน Cowboys and Aliens ที่ว่าทุกอย่างมีความเสี่ยงสูง มันเป็นความเป็นความตาย และมีตัวละครบางตัวที่เต็มใจจะเสียสละชีวิตตัวเองเพื่อคนที่พวกเขารัก ในแง่นั้นแล้ว มันก็เป็นเรื่องโรแมนติกหน่อยๆ อยู่เหมือนกันนะคะ
Q:   แสดงว่ามีความรักเกิดขึ้นระหว่างเอลลากับเจคน่ะสิ
A:   ใช่ค่ะ ฉันคิดว่ามันเป็นความรักที่ยิ่งใหญ่ มันเป็นความรักในแบบที่เราจะไม่ได้เห็นในหนังยุคปัจจุบันนี้ แม้ว่ามันจะเป็นหนังเรท PG-13 แต่ความรักที่เกิดในหนังเรื่องนี้ก็เป็นความรักที่เซ็กซีมากๆ และฉันก็คิดว่า นั่นเป็นเรื่องสนุกที่ฉันจะได้ร่วมงานกับแดเนียล เพราะเราเกือบจะได้ร่วมงานกันเมื่อหลายปีมาแล้วน่ะค่ะ
Q:   ใน Casino Royale ใช่ไหม
A:   ใช่ค่ะ ฉันได้ทดสอบหน้ากล้องสำหรับหนังเรื่องนั้น และฉันก็อยากได้บทนั้นมาก แต่ตอนนี้ ฉันดีใจที่มันไม่เป็นอย่างนั้น เพราะเราก็คงไม่สามารถจะมาแสดงหนังเรื่องนี้ได้ และฉันก็รู้สึกเหมือนว่าฉันกับแดเนียลควรจะได้เล่นหนังเรื่องนี้ด้วยกันค่ะ
Q:   ถึงแม้ว่าในตอนนั้น คุณอาจจะรู้สึกแบบว่า ‘แย่จัง!’ ก็ตาม
A:   ใช่ค่ะ แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเสมอในวงการนี้ คุณจะเจอกับความผิดหวังค่ะ
Q:   แดเนียลจำคุณได้จากการออดิชันสำหรับ Casino Royale รึเปล่า
A:   เขาจำฉันได้จากตอนนั้นและเขาก็น่ารักมากๆ ฉันคิดว่าเขาเห็นด้วยว่าหนังเรื่องนี้เป็นโอกาสที่เหมาะสมกว่าสำหรับเราทั้งคู่ และก็หวังว่า เราจะได้แสดงหนังแบบนี้อีก หรือบางที เราอาจจะได้แสดงหนังแนวอื่นด้วยกันด้วยนะคะ มีนักแสดงบางคนที่คุณเล่นด้วยได้ง่าย และฉันก็คิดว่าฉันกับแดเนียลสนุกกันมาก เขาสอนอะไรมากมายให้กับฉัน เขาสอนฉันเรื่องความนิ่ง ความเงียบ แดเนียลแสดงเพียงเล็กน้อย และมันก็น่าประทับใจจริงๆ เพราะเขาสามารถถ่ายทอดอะไรได้มากมายด้วยความนิ่งของเขาน่ะค่ะ
Q:   ทำนอง ยิ่งน้อยยิ่งมากน่ะหรือ
A:   ใช่ค่ะ เป็นเพราะดวงตาคู่นั้น (หัวเราะ) สตีฟ แม็คควีนมีคุณสมบัติที่ทำให้เขาสามารถทำตัวบ้าบิ่น ดูดี แข็งแกร่ง แต่ก็เปราะบางและงดงาม ซึ่งฉันคิดว่าแดเนียลก็มีคุณสมบัติที่ว่าเหมือนกัน ฉันคิดว่าผู้ชมจะตกหลุมรักเขาหัวปักหัวปำในหนังเรื่องนี้ค่ะ
Q:   แล้วคุณก็ได้ร่วมงานกับแฮร์ริสัน ฟอร์ดด้วย เป็นอย่างไรบ้าง
A:   เหลือเชื่อเลยค่ะ ฉันคิดว่าในหนังเรื่องนี้ แฮร์ริสันได้ฝากบทบาทการแสดงที่ยอดเยี่ยมที่สุดครั้งหนึ่งของเขาไว้ เขาเยี่ยมมาก เขาเคยทำสิ่งเยี่ยมๆ มาแล้วมากมายในอาชีพนักแสดงของเขาแต่หนังเรื่องนี้จะนำเสนอเขาในมุมมองใหม่ เป็นก้าวใหม่สำหรับอาชีพเขา เขาทั้งน่าประหลาดใจและเปราะบางอย่างมาก ฉันคิดว่าความเปลี่ยนแปลงด้านอารมณ์ของเขาในหนังเรื่องนี้งดงามจริงๆ และเขาก็เหมือนกับแดเนียลที่แสดงออกเพียงน้อยนิด แต่สื่อสารได้มหาศาล ในตอนที่แฮร์ริสันถ่ายทำเสร็จ เขาบอกว่า ‘ผมไม่เคยสนุกแบบนี้เลย…’ เราก็แบบ ‘เจ๋งไปเลย…’ เขานำอะไรมากมายมาสู่บทนี้ ทั้งความรู้เกี่ยวกับดินแดนตะวันตก ไซไฟและการเล่าเรื่องราวของเขา เขารู้เรื่องมากมายเกี่ยวกับการเล่าเรื่อง เชื่อฉันเถอะค่ะว่าเราสนุกกันมากในหนังเรื่องนี้…
Q:   แล้วพวกคุณได้ใช้เวลาร่วมกันหลังเลิกกองรึเปล่า
A:   ใช่ค่ะ แล้วก็มีแซม ร็อคเวล ที่เป็นเพื่อนสนิทคนหนึ่งของฉัน พระเจ้า เราสนุกกันสุดๆ เลย เหมือนกับเรายึดเมืองซานตา เฟในนิวเม็กซิโก และมันก็กลายเป็นเมือง Cowboys and Aliens ตลอดสี่เดือน ทุกร้านที่คุณเข้าไปจะมีคนพูดว่า ‘พวกคุณมาจาก Cowboys รึเปล่า’ พวกเขาได้ทำความรู้จักพวกเราเป็นอย่างดีค่ะ (หัวเราะ) ฉันคิดว่าซัมเมอร์นั้น เราช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของนิวเม็กซิโกอย่างดีนะคะ แต่ใช่ค่ะ เราได้สังสรรค์กันและฉันต้องบอกว่าพวกเราเป็นกลุ่มคนที่สนุกสนานกันทีเดียวล่ะ
Q:   มันมีประโยชน์ต่อภาพยนตร์บ้างไหม
A:   มีค่ะ เพราะเมื่อคุณต้องอยู่ในทะเลทรายที่เต็มไปด้วยฝุ่นทั้งวัน ต้องขี่ม้าและทำงานหนักภายใต้แสงอาทิตย์ คุณก็ควรจะได้ผ่อนคลายซะบ้าง
Q:   รวมถึงเพลงรอบแคมป์ไฟด้วยรึเปล่า
A:   พระเจ้า ในหนังเรื่องนี้ เรามีนักดนตรีหลายคนเหลือเกินค่ะ จอนจะเล่นอูคูเลเลและคนอื่นๆ ก็จะร้องเพลง มันสนุกมากเลย ฉันหมายถึงว่าเราทุกคนนั่งล้อมวงกันรอบแคมป์ไฟร้องเพลง ส่วนแดเนียลก็เป็นพ่อครัวหัวป่าก์และบาร์เทนเดอร์มือดีด้วยค่ะ (หัวเราะ)
Q:   แดเนียล เคร็กเป็นพ่อครัวหัวป่าก์และบาร์เทนเดอร์มือดีงั้นเหรอ
A:   ค่ะ เขามักจะทำให้แน่ใจว่าจะมีอาหารมังสวิรัติสำหรับฉัน ซึ่งฉันคิดว่าเป็นเรื่องน่ารักมาก แต่คนพวกนี้เป็นกลุ่มคนที่น่าทึ่งจริงๆ ฉันคิดว่าคุณจะรู้สึกได้ในหนังเรื่องนี้ว่าพวกเขาเป็นคนที่สนุกสนาน แต่ไม่ใช่เกินขอบเขตนะคะ! (หัวเราะ) เราสนุกกันมาก ซึ่งทำให้เราทำงานหนักกันจริงจังระหว่างช่วงกลางวัน ทุกคนรักกันและกันค่ะ มันเป็นเทศกาลมอบความรักครั้งใหญ่เลย (หัวเราะ)
Q:   เราคุยกันถึงเรื่องการขี่ม้า คุณได้แสดงฉากแอ็กชันด้วยตัวเองมากน้อยแค่ไหน
A:   ฉันได้แสดงฉากผาดโผนที่ฉันชื่นชอบที่สุดในหนังเรื่องนี้ค่ะ ฉันจินตนาการไม่ออกเลยว่าฉันเคยแสดงฉากผาดโผนที่สนุกกว่านี้รึเปล่า
Q:   เล่าให้เราฟังหน่อย…
A:   ฉันอยู่บนม้าที่กำลังควบอยู่ ตัวฉันถูกมัดด้วยเชือกบันจี้ที่ผูกติดกับเครน แล้วฉันก็ถูกยกตัวขึ้นสูงเหนือพื้นดิน 40 ฟุต คุณจะได้เห็นมันในเทรลเลอร์ค่ะ ฉันแสดงด้วยตัวเองเลยนะคะ!
Q:   คุณแสดงฉากนั้นกี่ครั้ง
A:   ฉันแสดงมันตั้ง 12 ครั้งแน่ะค่ะ ผู้ประสานงานคิวบู๊บอกว่า ‘ผมไม่เคยกระชากตัวนักแสดงจากหลังม้าที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่เลย คุณอยากจะแสดงรึเปล่า’ พวกสตันท์แมนมักจะได้ทำความรู้จักกับฉันอย่างรวดเร็วเพราะฉันชื่นชอบฉากผาดโผนมาก แล้วพวกเขาก็บอกว่า ‘ถ้าจะมีใครซักคนทำได้ล่ะก็ ก็โอลิเวียนี่แหละ…’ น่ะค่ะ
Q:   คุณกลัวรึเปล่า
A:   ฉันไม่กลัวเลยค่ะ ฉันตื่นเต้นมากกว่า ฉันชอบความท้าทายแบบนั้น และจริงๆ แล้ว มันก็สวยด้วยล่ะ ฉันอยู่เหนือพื้นดิน 40 ฟุตในซานตา เฟ, นิวเม็กซิโก และวิวก็สวยสุดๆ มันเยี่ยมมากเลย และพวกเขาก็มีภาพฉันท่ามกลางหมู่เมฆที่ไม่มีใครเชื่อว่าเป็นภาพจริงๆ ด้วย พวกเขาคิดว่ามันเป็นฉากหลังที่ถูกสร้างขึ้นน่ะค่ะ
Q:   เล่าให้เราฟังอย่างละเอียดหน่อย…
A:   ฉันอยู่บนหลังม้า แต่เท้าฉันอยู่พ้นจากโกลนเพราะคุณไม่อยากให้เท้าติดโกลนหรอกนะคะ ฉันขี่ม้าอยู่ข้างๆ แดเนียล และเราก็ควบม้ากันอยู่ระหว่างเครนสองตัว ฉันมีสายบันจี้มัดอยู่ตรงด้านหลังกับบังเหียน แล้วพอถึงจุดๆ หนึ่ง พวกเขาก็กระชากเชือกบันจี้กลับ จนดูเหมือนฉันถูกบ่วงบาศก์กระชากไปน่ะค่ะ พวกเขากระชากตัวฉันแล้วฉุดฉันขึ้นไปในอากาศ แล้วฉันก็ต้องรอให้พวกเขาเซ็ทฉากใหม่อยู่อย่างนั้น นั่นเป็นสิ่งที่ตลกที่สุดเพราะฉันห้อยต่องแต่งเหมือนกับตุ๊กตากลางอากาศ ได้แต่รออยู่อย่างนั้น (หัวเราะ)
Q:   คุณไม่อึดอัดบ้างหรือตอนที่ถูกกระชากตัวจากหลังม้าแบบนั้น
A:   หลังจากครั้งแรก คุณก็จะรู้ว่ามันจะเจ็บที่ไหนและคุณจะป้องกันตัวเองยังไง แต่ก็ใช่ค่ะ มันทำให้ฉันอึดอัดแทบหายใจไม่ออก แต่ในตอนที่คุณถ่ายทำหนังเวสเทิร์นแบบนี้ และต้องแสดงฉากผาดโผนด้วย คุณจะคาดหวังว่าตัวเองจะสบายไม่ได้หรอกค่ะ ความเจ็บปวดเป็นส่วนหนึ่งของงานและฉันคิดว่า คุณต้องมองมันว่าเป็นอุปสรรคที่คุณจะต้องฟันฝ่า เหมือนนักกีฬาน่ะค่ะ ฉันคิดว่านั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้คุณสามารถภาคภูมิใจในตัวเองได้ในตอนที่คุณฟันฝ่ามันไปได้ และฉันก็ชอบมันค่ะ ฉันชื่นชอบกระบวนการนั้นเสมอ สมัยเรียน ฉันไม่เคยเป็นนักกีฬาเลย และฉันก็ชื่นชอบการแสดงฉากผาดโผนในหนังที่ฉันได้พิสูจน์ตัวเอง และฉากผาดโผนฉากนั้นก็เป็นฉากที่เจ๋งที่สุด ทีมงานต้องวิ่งออกมาถ่ายรูปเพราะพวกเขาไม่อยากจะเชื่อว่าฉันจะแสดงฉากนั้นจริงๆ
Q:   ช่วยเล่าถึงความรู้สึกของคุณตอนที่คุณถูกกระชากตัวจากหลังม้าหน่อย…
A:   มันน่าตื่นเต้นมาก ฉันเคยดิ่งพสุธามาแล้ว และมันก็เป็นความรู้สึกที่คล้ายคลึงกันของการได้ท้าทายแรงโน้มถ่วง และความรู้สึกตื่นเต้นสุดๆ นั่น มันเป็นการผสมผสานกันของการได้อยู่บนหลังของสัตว์ที่ทรงพลัง ที่กำลังควบผ่านทุ่งนา ซึ่งม้าพวกนี้น่าตื่นตาตื่นใจมาก และการไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่พพวกเขาจะกระชากฉันลงจากหลังม้าที่ทำให้มันสนุกน่ะค่ะ และมันค่อนข้างปลอดภัยทีเดียวล่ะ เรามีทีมสตันท์ชั้นเยี่ยมที่เรียกว่า แบรนด์ เอ็กซ์ สตันท์ และเมื่อคุณที่มีทีมที่มีประสบการณ์และมีความรับผิดชอบเหมือนอย่างคนพวกนี้ คุณก็จะรู้สึกปลอดภัยและก็ไม่มีอะไรที่คุณไม่ทำหรอกค่ะ
« Last Edit: July 25, 2011, 02:56:09 PM by admin »

admin on July 25, 2011, 03:16:15 PM


จอน แฟฟโร กำกับ COWBOYS AND ALIENS

               เมื่อจอน แฟฟโรได้ยินชื่อของภาพยนตร์ที่ชะตากำหนดให้เขาเป็นผู้กำกับเป็นครั้งแรกนั้น เขาก็รู้สึกสนใจในทันที อย่างที่เขาได้พูดเอาไว้ว่า 'Cowboys and Aliens' เป็นวลีที่ทำให้คุณนั่งตัวตรงด้วยความสนอกสนใจแล้วถามว่า มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไรกันแน่
   ในตอนนั้น แฟฟโรกำลังอยู่ระหว่างการทำงานในภาพยนตร์อีกเรื่องหนึ่ง และคำว่า 'Cowboys and Aliens' ซึ่งเป็นแนวภาพยนตร์คลาสสิกสองแนวในหนึ่งเดียวคือสิ่งที่ทำให้ชื่อนี้ปรากฏอยู่ในเรดาร์ความถี่สูงของผู้กำกับคนดัง "ผมคิดว่า 'ถ้าคุณทำดีๆ ล่ะก็ มันจะเวอร์ชันสุดเจ๋งของหนังเรื่องนี้ออกมาได้แน่ๆ' น่ะครับ"
   โปรเจ็กต์นี้ ซึ่งสร้างขึ้นจากนิยายภาพโดยสก็อตต์ มิทเชลล์ โรเซนเบิร์ก ค้างเติ่งอยู่ระหว่างการพัฒนามาหลายปีแล้ว ในตอนที่มือเขียนบทอเล็กซ์ เคิร์ทซ์แมนและโรเบิร์ต ออร์ซี (Transformers, Star Trek) ได้ใส่มุมมองใหม่ให้กับมัน
   “ในตอนนั้น โรเบิร์ต (ดาวนีย์ จูเนียร์) กำลังเมียงๆ มองๆ มันอยู่ และเราก็เคยร่วมงานกันมาก่อนใน Iron Man 2 ผมก็เลยได้ยินเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้มาตลอด" แฟฟโรบอก
   “มันเหมือนกับตอนที่เพื่อนคุณเดทกับผู้หญิงคนหนึ่งที่คุณก็ชอบ และมันก็ทำให้คุณยิ่งสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับผู้หญิงคนนั้นมากขึ้น แล้วผมก็ได้แต่งงานกับผู้หญิงคนนั้น ผมได้อ่านดราฟท์แรกของมือเขียนบท ซึ่งพวกเขาก็เขียนออกมาได้ถูกทาง พวกเขาเข้าใจสมดุลของเรื่องอย่างดีครับ"
   “พวกเขาผสมผสานภาพยนตร์ทั้งสองแนวเข้าด้วยกันด้วยอารมณ์ขันและความประชดประชันที่มากพอ เพียงแต่อารมณ์ขันไม่ได้มีพื้นฐานจากตัวละครที่ขยิบตาให้กับผู้ชม ในการพยายามทำให้แนวเวสเทิร์นเข้าถึงได้ง่าย หลายครั้งคนจะใส่มุขหรือความเห็นเกี่ยวกับแนวภาพยนตร์นั้นๆ เข้าไป แต่กับเรื่องนี้ เรานำเสนอเวสเทิร์นแบบตรงไปตรงมา และความสนุกทั้งหมดก็เกิดจากการผสมผสานองค์ประกอบที่แปลกต่างทั้งสองนี้เข้าด้วยกันครับ"
   ตารางเวลาที่ทับซ้อนกันทำให้ดาวนีย์ จูเนียร์จำต้องแสดงพรสวรรค์อันมากล้นของเขาในภาพยนตร์เรื่องอื่น และแฟฟโร ร่วมกับออร์ซีและเคิร์ทซ์แมน ผู้ร่วมอำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วยเช่นกัน ก็เริ่มต้นขัดเกลาเรื่องราวให้กลายเป็นดรามาที่อัดแน่นไปด้วยแอ็กชัน ซึ่งผสมผสานภาพยนตร์เวสเทิร์นคลาสสิกเข้ากับการรุกรานของมนุษย์ต่างดาวในรูปแบบที่แปลกใหม่และสนุกสนานเพลิดเพลิน
   นอกจากนี้ ผู้กำกับเองยังเดินหน้าคัดเลือกนักแสดงระดับแนวหน้าที่จะมาช่วยบอกเล่าเรื่องราวของเขา โดยมีแดเนียล เคร็กรับบทชายพเนจร ผู้จับพลัดจับผลูมายังเมืองแอ็บโซลูชัน พร้อมกับกุญแจมือที่ข้อมือข้างหนึ่ง เขาไม่รู้เลยว่ากุญแจมือที่คล้องติดมือเขามาจากไหน เขาไม่รู้ว่าเขามาจากไหน และเขาก็จำชื่อตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำ
   ผู้พันขาโหด โดลาร์ไฮด์ ปกครองแอ็บโซลูชัน ด้วยกำปั้นเหล็ก บทบาทเช่นนี้เป็นบทที่แฮร์ริสัน ฟอร์ดชื่นชอบและเป็นบทที่แฟฟโรรู้สึกว่าชะตากำหนดมาเพื่อเขาโดยแท้
   “ด้วยความที่ว่าตอนนี้ เราคุ้นภาพเขาในบทฮีโรมากจนคนลืมไปแล้วว่า ในตอนเขาเข้าวงการใหม่ๆ เขาเป็นผู้ร้ายมากกว่า เขาอาจจะเป็นผู้ร้ายน่ารักที่ลงเอยด้วยการทำในสิ่งที่ถูกต้อง แต่ก็เป็นผู้ร้ายอยู่ดีนั่นแหละครับ"
   “แต่ถ้าคุณจำเขาได้ตอนที่เราได้เห็นเขาครั้งแรก เขารับบทเป็นคนที่อยู่ในขอบเขตสีเทา และมันก็เป็นอย่างเดียวกันใน Cowboys and Aliens คุณจะยังคงรักเขาแม้ว่าเขาจะเลวยังไงก็ตาม"
   เขากล่าวว่า ฟอร์ดและเคร็กเป็นคู่แสดงในฝัน ที่รับบทตัวละครคู่ปรับ ผู้ท้ายที่สุดก็ต้องหาทางจับมือกันเพื่อสู้ศัตรูที่มีร่วมกัน ในตอนที่ผู้รุกรานต่างดาวจากฟากฟ้า ที่ชาวเมืองเรียกว่าเป็นปีศาจ จู่โจมด้วยความโหดเหี้ยมจากอากาศ
   “สำหรับ Cowboys and Aliens เราอยากทำให้ตัวละครของทั้งแฮร์ริสันและแดเนียลแข็งแกร่งและน่าหวาดหวั่น และพวกเขาก็ต้องมาปะทะกัน มันเป็นเรื่องของการที่พวกเขาตอบโต้กันไปมา เหมือนลิงสองตัวที่แย่งชิงตำแหน่งจ่าฝูงน่ะครับ และนั่นก็เป็นหนึ่งในธีมของหนังเรื่องนี้ ท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาก็ต้องร่วมมือกันเพื่อฝ่าฟันอุปสรรคที่เหลือเชื่อครับ"
   แน่นอนว่าเคร็กเป็นที่รู้จักดีที่สุดจากบทสายลับผู้ดี เจมส์ บอนด์ แต่เขาก็ไม่ขัดเขินอะไรเมื่อต้องมาแสดงแนวเวสเทิร์น ผู้กำกับบอก
   “ผมได้แต่นึกถึงสตีฟ แม็คควีน ซึ่งมันเป็นเรื่องน่าทึ่งมาก ทุกคนบอกว่า 'เขาเป็นอังกฤษจ๋าเลย' และ 'เขาเป็นเจมส์ บอนด์สุดๆ...' แล้วคุณก็จะนึกถึงเขาในรูปแบบนั้น แต่พอเขาสวมหมวกคาวบอยนั่นแล้วก็เปรี้ยง! (ดีดนิ้ว) เขาก็กลายเป็นชายพเนจรไปแล้ว
   “ด้วยดวงตาสีฟ้า และใบหน้าที่แลดูเถื่อน หยาบกระด้างนิดๆ เขาให้ความรู้สึกของชายชาตรี และคุณก็จะเชื่อในตัวเขาสนิทใจในฉากเวสเทิร์น ในตอนที่เราคัดเลือกนักแสดง เราได้แต่พูดว่า 'ผู้ชายคนนี้ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ แต่เขากลับไม่รู้อดีตของตัวเอง...' ดังนั้น คุณก็จะต้องมองเห็นเรื่องนั้นในใบหน้าของเขาด้วย
   “และถ้าคุณให้คนอื่นมาสวมบทนี้ อาจจะคนที่มีอายุซัก 30 กว่าๆ มันก็ไม่ใช่ครับ คุณอยากได้คนที่กร้านโลกนิดๆ"
   ท่ามกลางความร้อนระอุที่พร้อมติดระเบิดนี้ ยังมีสาวงามผู้ลึกลับ เอลลา หญิงสาวที่ดูเหมือนจะรู้เรื่องอดีตของชายพเนจร ว่าเขาถูกสวมกุญแจมือได้อย่างไร มากกว่าเจ้าตัวเสียอีก นอกจากนี้ เธอยังรู้ด้วยว่า มือปืนลึกลับผู้นี้เป็นความหวังเพียงหนึ่งเดียวที่พวกเขาจะรอดชีวิตจากภัยคุกคามที่น่าหวาดหวั่น
   โอลิเวีย ไวลด์ รับบทเอลลา และแฟฟโร ก็รู้สึกประทับใจอย่างยิ่งกับทักษะการขี่ม้าและความเต็มใจที่จะแสดงฉากผาดโผนด้วยตัวเองของเธอ
   “โอลิเวียคล่องแคล่วมากและขี่ม้าเก่งครับ สมัยก่อน เธอเคยแข่งการขี่ม้าแบบอังกฤษมาก่อน ผมไม่รู้หรอกนะว่าเธอเคยกระโดดมารึเปล่า แต่เธอผ่านการฝึกขี่ม้ามาแน่นอนครับ"
   “เธอเป็นสาวสังคมครับเพราะแน่นอนว่าเด็กๆ ในละแวกบ้านผมไม่มีใครเรียนขี่ม้ากันหรอก!” เขากล่าวกลั้วหัวเราะ "แต่โอลิเวียพร้อมสำหรับทุกเรื่อง ผมคิดว่าเธอชอบแข่งขันกับพวกผู้ชาย ทำนองว่า 'ลองทำสิ!' เพราะพวกผู้ชายทำกัน เธอก็เลยแบบ 'ฉันก็จะทำด้วยนะ' น่ะครับ"
   ทีมผู้สร้างคนดัง สตีเวน สปีลเบิร์กและรอน โฮเวิร์ดรับหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้างใน Cowboys and Aliens และเป็นแหล่งข้อมูลที่สำคัญยิ่งสำหรับแฟฟโร
   “การได้สตีเวนและรอนมาร่วมงานด้วยใน Cowboys and Aliens เป็นแหล่งข้อมูลที่วิเศษสุด โดยเฉพาะระหว่างการพัฒนาสคริปต์ครับ" เขาบอก "พวกเขาไม่อยู่ระหว่างการถ่ายทำเพราะพวกเขาก็ต้องไปสร้างหนังของตัวเองแต่การสามารถนำตัวพวกเขาเข้ามาระหว่างการลำดับภาพได้เป็นสิ่งที่ช่วยสร้างความกระจ่างได้เหลือเชื่อเลยล่ะครับ"
   “เราพูดถึงผู้ชายสองคนที่มีประสบการณ์และไอเดียมากมาย และการคุยเรื่องต่างๆ กับพวกเขาได้ก็เหลือเชื่อเลย"
   Cowboys and Aliens ถ่ายทำในบริเวณพื้นที่รกร้างของนิวเม็กซิโก ซึ่งเป็นสถานที่ที่เหมาะสมสำหรับเรื่องราว แต่ไม่ใช่สถานที่ที่ทำให้การทำงานของทีมผู้สร้างง่ายดายเลย
   “พระเจ้าจะส่งอุปสรรคมาเท่าที่คุณจะรับมือไหว ซึ่งผมก็คงต้องบอกว่า ผมไม่มีปัญหาอะไรหรอกครับ ในจังหวะที่เราถ่ายทำ ลมก็จะตีขึ้น มันเริ่มน่ากลัวและทุกคนก็ทำงานลำบาก มันลำบากสำหรับนักแสดง และทีมงาน ที่ต้องทำงานในที่ราบสูงเป็นเวลาหลายวัน มันจะทำให้คุณอ่อนล้าครับ"
   “แต่เราก็รับมือมันได้ เราทำงานภายใต้งบประมาณ และปิดกล้องในโรงถ่าย ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีมากๆ ผมต้องบอกว่าเป็นเรื่องดีจริงๆ ที่เรามีสคริปต์ที่แข็งแรง ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ผมได้พบเจอในหนังสองสามเรื่องที่แล้วมาน่ะครับ"
   “มีหนังหลายเรื่องที่ถ่ายทำไป และสคริปต์ก็จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ แต่หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ทุกคนรู้สึกดีมากๆ และเซ็นสัญญาร่วมงานก่อนที่เราจะเริ่มเดินทางไปนิวเม็กซิโกซะอีก"
   “แล้วการที่มือเขียนบททำหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างด้วยก็เป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์มากๆ เพราะมันไม่ใช่แค่ความคิดเห็นทั่วๆ ไปเท่านั้น แต่บ็อบกับอเล็กซ์เป็นคนที่สามารถนำเสนอไอเดียดีๆ เขียนไอเดียเหล่านั้นออกมาได้เป็นหน้าๆ แล้วนำมันเข้ามา มันเยี่ยมไปเลยครับ"
   เป็นเรื่องเหมาะสมที่มีหลายคืน ทีมงานและนักแสดงจะมารวมตัวกันรอบแคมป์ไฟ หลังจากสิ้นสุดวันถ่ายทำที่ยาวนาน เพื่อมาสนุกกัน แฟฟโรและแดเนียล เคร็กจะเล่นอูคูเลเล หลายคนจะนำกีตาร์มาเล่นด้วย และคนอื่นๆ ก็จะร้องเพลงคลอกันไป
   “จริงๆ แล้ว มันเริ่มต้นจากแดเนียล ที่กำลังฝึกเล่นอูคูเลเล เรามีปาร์ตี้กันหลายครั้ง และถ้าเป็นปาร์ตี้กลางวัน เราก็จะจัดกันที่บ้านผมเพราะผมมีลูกและสระว่ายน้ำ ส่วนถ้าเป็นกลางคืน เราก็จะจัดกันที่บ้านแดเนียลเพราะเขามีอาหารเม็กซิกันและเตกีลาครับ" เขากล่าวกลั้วหัวเราะ
   “และมีอยู่ครั้งหนึ่ง เราไปบ้านเขา แล้วเราก็ขุดอูคูเลเลมาเล่นกัน ผมเล่นเป็นนิดหน่อย และเขาก็มีหนังสือเพลง คีธ คาร์ราดีนเป็นคนร้องเพลง มันเยี่ยมจริงๆ"
   “ผมคิดว่าบ็อบ ออร์ซีมีกีตาร์และทีมงานบางคนก็มีกีตาร์ด้วย เลยมีอยู่ครั้งหนึ่งที่เรามีอูคูเลเลห้าเครื่องอยู่ในกองถ่าย เราสนุกกันมา จริงๆ แล้ว ผมมอบอูคูเลเลไฟฟ้าให้กับแดเนียลเป็นของขวัญที่ระลึกในการปิดกล้องด้วยนะครับ"



admin on July 25, 2011, 03:19:59 PM


บทสัมภาษณ์:

Q:   คุณได้ยินชื่อ 'Cowboys and Aliens' ตั้งแต่เมื่อไหร่ และคุณคิดยังไงกับมัน
A:   ผมได้ยินชื่อเรื่องนี้ตอนที่มือเขียนบทเขียนดราฟท์แรก และผมก็คิดว่า 'ถ้าคุณทำดีๆ ล่ะก็ มันจะเวอร์ชันสุดเจ๋งของหนังเรื่องนี้ออกมาได้แน่ๆ' เพราะมันมีเวอร์ชันห่วยๆ เยอะแยะเหมือนกัน (หัวเราะ) ในตอนนั้น โรเบิร์ต (ดาวนีย์ จูเนียร์) กำลังเมียงๆ มองๆ มันอยู่ และเราก็เคยร่วมงานกันมาก่อนใน Iron Man 2 ผมก็เลยได้ยินเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้มาตลอด มันเหมือนกับตอนที่เพื่อนคุณเดทกับผู้หญิงคนหนึ่งที่คุณก็ชอบ และมันก็ทำให้คุณยิ่งสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับผู้หญิงคนนั้นมากขึ้น แล้วผมก็ได้แต่งงานกับผู้หญิงคนนั้น (หัวเราะ) ผมได้อ่านดราฟท์แรกของมือเขียนบท ซึ่งพวกเขาก็เขียนออกมาได้ถูกทาง พวกเขาเข้าใจสมดุลของเรื่องอย่างดีครับ
Q:   ในรูปแบบไหน
A:    พวกเขาผสมผสานภาพยนตร์ทั้งสองแนวเข้าด้วยกันด้วยอารมณ์ขันและความประชดประชันที่มากพอ เพียงแต่อารมณ์ขันไม่ได้มีพื้นฐานจากตัวละครที่ขยิบตาให้กับผู้ชม ในการพยายามทำให้แนวเวสเทิร์นเข้าถึงได้ง่าย หลายครั้งคนจะใส่มุขหรือความเห็นเกี่ยวกับแนวภาพยนตร์นั้นๆ เข้าไป แต่กับเรื่องนี้ เรานำเสนอเวสเทิร์นแบบตรงไปตรงมา และความสนุกทั้งหมดก็เกิดจากการผสมผสานองค์ประกอบที่แปลกต่างทั้งสองนี้เข้าด้วยกันครับ
Q:   กระแสฮือฮาเกี่ยวกับ Cowboys and Aliens เริ่มต้นขึ้นในตอนที่คุณโชว์ฟุตเตจเริ่มแรกที่งานคอมิก-คอนเมื่อปีที่แล้ว เป็นเรื่องสำคัญขนาดไหนที่จะให้ผู้ชมกระจายข่าวไปแบบปากต่อปาก
A:   มันเป็นเรื่องสนุกดีนะครับ แล้วพวกเขาก็เป็นผู้ชมกลุ่มสำคัญที่คุณอยากจะให้เป็นพวกเดียวกับคุณ เลยเป็นเรื่องดีมากที่ฟุตเตจนั้นได้รับการตอบรับที่ดีขนาดนั้น ผมไม่รู้ว่าปีนี้ เราจะทำได้ดีกว่านั้นหรือเปล่า แต่เราก็ต้องทำอะไรซักอย่าง และเราก็จะทำในสิ่งที่เจ๋ง เราจะทำในสิ่งที่คนไม่เคยเห็นมาก่อน ดังนั้น ถ้าเราไม่ได้ไปอย่างยิ่งใหญ่ ก็อย่าไปซะเลยจะดีกว่า
Q:   เราได้คุยกับโอลิเวีย ไวลด์ เธอเพิ่งบอกให้เราฟังว่าคุณกระชากเธอลงจากหลังม้าในฉากที่ฟังดูเหมือนฉากผาดโผนสุดเจ๋งตอนที่พวกเอเลียนคล้องตัวเธอไว้ ฉากนั้นเป็นยังไงบ้าง
A:   คุณต้องถามเธอครับ (หัวเราะ)
Q:   คุณอยากให้เธอแสดงเองหรือให้ตัวแสดงแทนของเธอมาแสดงฉากนี้ คุณก็แฮปปี้แล้ว
A:   คือเรารู้ว่ามันปลอดภัยครับ เราใช้ตัวแสดงแทนคนอื่นๆ และตัวแสดงแทนของเธอแสดงฉากนี้แล้ว เพียงแต่เราอยากได้ภาพโคลสอัพของโอลิเวีย เราก็เลยคิดกันว่าเราจะทำอะไรที่เบาลง เรามีม้ากลไกที่อยู่ในเทรลเลอร์ ซึ่งเราจะดึงได้ และเราก็ทำได้อย่างไม่มีปัญหา แน่นอน คุณก็จะคิดทำนองว่า 'เราทำอะไรให้มันยิ่งกว่านั้นนิดดีกว่า' หรือ 'คุณดึงเธอลงไปมากกว่าเดิมอีกได้ไหม' แล้วทอมมี ฮาร์เปอร์ สตันท์แมนก็จะคุยกับเธอ โอลิเวียคล่องแคล่วมากและขี่ม้าเก่งครับ สมัยก่อน เธอเคยแข่งการขี่ม้าแบบอังกฤษมาก่อน ผมไม่รู้หรอกนะว่าเธอเคยกระโดดมารึเปล่า แต่เธอผ่านการฝึกขี่ม้ามาแน่นอนครับ เธอเป็นสาวสังคมเพราะแน่นอนว่าเด็กๆ ในละแวกบ้านผมไม่มีใครเรียนขี่ม้ากันหรอก! (หัวเราะ) แต่โอลิเวียพร้อมสำหรับทุกเรื่อง ผมคิดว่าเธอชอบแข่งขันกับพวกผู้ชาย ทำนองว่า 'ลองทำสิ!' เพราะพวกผู้ชายทำกัน เธอก็เลยแบบ 'ฉันก็จะทำด้วยนะ' น่ะครับ และในวันนั้น ก็มีผู้ชายคนหนึ่งแสดงฉากนั้น ซึ่งก็คือเบรนแดน เวย์น ที่เราจ้างให้มาเป็นหนึ่งในคนขี่ม้า แต่เขาเป็นนักแสดงที่เก่ง เราก็เลยออดิชันเขาด้วย จริงๆ แล้ว เขาเป็นหลานของจอห์น เวย์นล่ะครับ เขาเป็นหนึ่งในคนที่แสดงฉากผาดโผนในวันนั้น และโอลิเวียก็แบบ 'ฉันอยากแสดงแบบนั้นด้วย...' เราก็เลยสลับม้ากลไกกับม้าจริงๆ และเธอก็แสดงได้ เธอเป็นคนขี่ม้าเคียงข้างแดเนียล เคร็กและถูกกระชากลงจากหลังม้าครับ
Q:   การร่วมงานระหว่างคุณกับสตีเวน สปีลเบิร์กและรอน โฮเวิร์ด ผู้ควบคุมงานสร้างของเรื่อง เป็นอย่างไรบ้าง
A:   พวกเขาทั้งคู่มีกระบวนการทำงานที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้ว และพวกเขาต่างก็เคารพกันและกัน และสุภาพมากๆ เรื่องดีเกี่ยวกับชุมชนผู้กำกับคือมันมีลักษณะโดดเด่นไม่เหมือนใคร กับแวดวงมือเขียนบท มือลำดับภาพหรือนักแสดง บางครั้งคุณก็จะเสียงานไปให้กับอีกคนหนึ่ง พวกคุณทั้งคู่ได้รับโทรศัพท์ แต่คนหนึ่งได้งาน อีกคนหนึ่งไม่ไดงาน แต่สังคมผู้กำกับไม่ได้แข่งขันกันสูงแบบนั้น และผู้กำกับก็มักจะสนับสนุนกันและกัน คุณจะไม่ค่อยได้ยินเรื่องพวกนี้หรอกครับ แต่สำหรับหนังทุกเรื่องที่ผมสร้าง ผมได้รับฟีดแบ็คที่ดีจากผู้กำกับคนอื่นๆ นะครับ เช่นกุยเลอร์โม เดล โทโร มานั่งอยู่ในห้องลำดับภาพของผมเพื่อดูเอฟเฟ็กต์ตัวละครและให้คำแนะนำเรื่องนั้น และผมก็โชว์คัทหยาบๆ ของหนังเรื่องนี้ให้เอ็ดการ์ ไรท์ดูเมื่อสองสามสัปดาห์ก่อน และเขาก็ให้ความคิดเห็นที่ดีมากๆ ผู้กำกับคนอื่นๆ มักจะให้คำแนะนำดีๆ กับผม ระหว่างการถ่ายทำ Iron Man ผมได้คุยกับเจ.เจ. อับรามส์ เพื่อขอคำแนะนำเรื่องบทกับเขา มันเป็นชุมชนที่เอื้ออาทรกันครับ แล้วสตีเวนกับรอนก็เป็นแบบนั้นด้วย พวกเขาให้การสนับสนุนผู้กำกับคนอื่นๆ อย่างดีครับ
Q:   คุณคิดว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น หรือเมื่อเทียบกันแล้ว มันเป็นสังคมที่ค่อนข้างแคบ ทำให้คุณเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกันได้รึเปล่า
A:   ผมคิดว่าอย่างนั้นนะ ผู้กำกับรู้วิธีที่จะนำเสนอคำแนะนำสร้างสรรค์ให้กันและกัน พวกเขาเข้าใจมุมมองดีเพราะพวกเขาก็เคยผ่านมาแล้ว บ่อยครั้งที่พวกเขารู้ว่าสิ่งที่ผู้กำกับอีกคนต้องการคือกำลังใจและแรงสนับสนุน ไม่เฉพาะไอเดียใหม่ๆ เท่านั้น ถ้ามีคนถามความเห็นผมเกี่ยวกับเรื่องไหนซักเรื่อง ผมก็ยินดีที่จะบอกครับ แต่ผู้กำกับจะไม่ได้อะไรเลยในการนำไอเดียของเขาใส่ลงไปในหนังคนอื่น แต่สิ่งที่คุณได้คือการสานต่อสายสัมพันธ์นั้นและการได้รู้ว่าคุณได้ทำดีกับเขา หรือเขาได้ทำดีกับคุณ และสิ่งเหล่านี้ก็เกิดขึ้นเป็นเวลานานแล้ว ผมได้ยินเรื่องราวต่างๆ จากสตีเวน เกี่ยวกับ (ไบรอัน) เดอ พัลมาและ (จอร์จ) ลูคัส และคนอื่นๆ ซึ่งรวมถึงฟรานซิส (ฟอร์ด คอปโปลา) พวกเขาทุกคนต่างก็ไปดูหนังของกันและกัน นั่นเป็นวิถีทางของพวกเขาครับ
   การได้สตีเวนและรอนมาร่วมงานด้วยใน Cowboys and Aliens เป็นแหล่งข้อมูลที่วิเศษสุด โดยเฉพาะระหว่างการพัฒนาสคริปต์ครับ พวกเขาไม่อยู่ระหว่างการถ่ายทำเพราะพวกเขาก็ต้องไปสร้างหนังของตัวเองแต่การสามารถนำตัวพวกเขาเข้ามาระหว่างการลำดับภาพได้เป็นสิ่งที่ช่วยสร้างความกระจ่างได้เหลือเชื่อเลยล่ะครับ เราพูดถึงผู้ชายสองคนที่มีประสบการณ์และไอเดียมากมาย และการคุยเรื่องต่างๆ กับพวกเขาได้ก็เหลือเชื่อเลย ในความเป็นจริงแล้ว สัปดาห์หน้า สตีเวนก็จะเข้ามาอีก เขาเข้ามาแล้วในตอนเริ่มต้นของกระบวนการลำดับภาพ เขาให้ความเห็น และเขาก็เข้ามาตอนท้ายที่เรากำลังขมวดทุกอย่างเข้าด้วยกัน สตีเวนเป็นหัวหน้าสตูดิโอก็จริง แต่เนื้อแท้แล้วเขาเป็นผู้กำกับ และเขาก็มีไอเดียเยี่ยมๆ มากมาย
Q:   หนังเรื่องนี้เป็นอย่างไรบ้าง คุณต้องถ่ายทำในพื้นที่รกร้างของนิวเม็กซิโก ที่มีฉากขี่ม้า ฉากผาดโผนและแอ็กชันใหญ่โตด้วยนี้ มันเป็นเรื่องยากรึเปล่า
A:    พระเจ้าจะส่งอุปสรรคมาเท่าที่คุณจะรับมือไหว ซึ่งผมก็คงต้องบอกว่า ผมไม่มีปัญหาอะไรหรอกครับ ในจังหวะที่เราถ่ายทำ ลมก็จะตีขึ้น มันเริ่มน่ากลัวและทุกคนก็ทำงานลำบาก มันลำบากสำหรับนักแสดง และทีมงาน ที่ต้องทำงานในที่ราบสูงเป็นเวลาหลายวัน มันจะทำให้คุณอ่อนล้าครับ แต่เราก็รับมือมันได้ เราทำงานภายใต้งบประมาณ และปิดกล้องในโรงถ่าย ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีมากๆ ผมต้องบอกว่าเป็นเรื่องดีจริงๆ ที่เรามีสคริปต์ที่แข็งแรง ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ผมได้พบเจอในหนังสองสามเรื่องที่แล้วมาน่ะครับ มีหนังหลายเรื่องที่ถ่ายทำไป และสคริปต์ก็จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ แต่หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ทุกคนรู้สึกดีมากๆ และเซ็นสัญญาร่วมงานก่อนที่เราจะเริ่มเดินทางไปนิวเม็กซิโกซะอีก แล้วการที่มือเขียนบททำหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างด้วยก็เป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์มากๆ เพราะมันไม่ใช่แค่ความคิดเห็นทั่วๆ ไปเท่านั้น แต่บ็อบกับอเล็กซ์เป็นคนที่สามารถนำเสนอไอเดียดีๆ เขียนไอเดียเหล่านั้นออกมาได้เป็นหน้าๆ แล้วนำมันเข้ามา มันเยี่ยมไปเลยครับ
Q:   พวกคุณได้ใช้เวลาร่วมกันระหว่างพักกองในนิวเม็กซิโกรึเปล่า เราได้ยินมาว่าพวกคุณได้เล่นอูคูเลเลรอบแคมป์ไฟด้วย...
A:    ครับ ผมเล่นอูคูเลเล และตอนเราอยู่ที่นั่น ผมก็ได้เล่นด้วยนะครับ จริงๆ แล้ว มันเริ่มต้นจากแดเนียล ที่กำลังฝึกเล่นอูคูเลเล เรามีปาร์ตี้กันหลายครั้ง และถ้าเป็นปาร์ตี้กลางวัน เราก็จะจัดกันที่บ้านผมเพราะผมมีลูกและสระว่ายน้ำ ส่วนถ้าเป็นกลางคืน เราก็จะจัดกันที่บ้านแดเนียลเพราะเขามีอาหารเม็กซิกันและเตกีลาครับ (หัวเราะ) และมีอยู่ครั้งหนึ่ง เราไปบ้านเขา แล้วเราก็ขุดอูคูเลเลมาเล่นกัน ผมเล่นเป็นนิดหน่อย และเขาก็มีหนังสือเพลง คีธ คาร์ราดีนเป็นคนร้องเพลง มันเยี่ยมจริงๆ พอรู้ตัวอีกที ผมก็ซื้ออูคูเลเลเป็นของขวัญให้กับซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายวิชวล เอฟเฟ็กต์ของเราไปแล้ว ผมคิดว่าบ็อบ ออร์ซีมีกีตาร์และทีมงานบางคนก็มีกีตาร์ด้วย เลยมีอยู่ครั้งหนึ่งที่เรามีอูคูเลเลห้าเครื่องอยู่ในกองถ่าย เราสนุกกันมา จริงๆ แล้ว ผมมอบอูคูเลเลไฟฟ้าให้กับแดเนียลเป็นของขวัญที่ระลึกในการปิดกล้องด้วยนะครับ
Q:   คุณพูดถึงเรื่องโทนของหนังเรื่องนี้แล้ว คุณสนใจที่จะสร้าง Cowboys and Aliens ออกมาเป็นคอเมดีบ้างรึเปล่า
A:   ผมไม่คิดว่ามันจะเวิร์คหรอกนะครับ ผมได้อ่านสคริปต์ของพวกเขา (ตอนที่เป็นคอเมดี) พวกเขาถ่อมตัวมากๆ ที่บอกว่าผมมีส่วนร่วมอย่างมาก แต่พวกเขาเดินไปถูกทางแล้ว พวกเขาพบหนทางที่เหมาะสมในการถ่ายทอดเรื่องราวออกมาแล้ว มีแค่ไม่กี่เรื่องที่ไม่สอดคล้องกัน ที่มันไม่น่าเชื่อซักเท่าไหร่ ที่มันออกแอ็กชันเกินไปนิด ผมก็เลยใส่ข้อจำกัดลงไปตรงนั้นบ้าง
Q:   อะไรคือกุญแจสำคัญของการถ่ายทอดโทนที่เหมาะสม ในการผสมผสานทั้งสองแนวเข้าด้วยกัน
A:   คุณไม่อยากจะสูญเสียความเป็นมนุษย์ของเรื่องไปหรอกครับ และผมก็คิดว่า มันมีภาษาสำหรับแอ็กชันเวสเทิร์น และมีภาษาสำหรับแอ็กชันป๊อปคอร์นฟอร์มยักษ์ปี 2011 ที่แตกต่างกันเล็กน้อย ผมก็เลยพยายามยึดเรื่องนั้น แต่ผมเป็นคนค่อนข้างจะยึดถือวินัยมากกว่าจะเป็นนักฝัน ผมก็เลยรักษาความสม่ำเสมอของเรื่องและลักษณะเปิดเรื่องเอาไว้ และนั่นก็เป็นวิธีการเดินหน้าของหนังเรื่องนี้กับทีมนักแสดงชั้นเยี่ยมของเรา ถ้าโรเบิร์ต (ดาวนีย์ จูเนียร์) เป็นคนแสดงล่ะก็ ผมก็สงสัยเหมือนกันว่ามันจะออกมาเป็นยังไง มันคงจะเป็นหนังที่ท้าทายกว่านี้เพราะเขาเป็นคนที่ฉลาดและช่างพูด และผมก็สงสัยว่ามันจะให้ความรู้สึกเหมือนเควิน ไคลน์ใน Silverado มากกว่านี้ หรือเหมือนผู้ชายที่ใช้สติปัญญาของตัวเอง ซึ่งตรงข้ามกับผู้ชายที่ใช้พลกำลังแบบแดเนียลรึเปล่า
Q:   แดเนียลทำให้เกิดวิธีการนำเสนอที่แตกต่างออกไปงั้นหรือ
A:   ครับ ด้วยความที่แดเนียลกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกที่ต่างออกไป ผมได้แต่นึกถึงสตีฟ แม็คควีน ซึ่งมันเป็นเรื่องน่าทึ่งมาก ทุกคนบอกว่า 'เขาเป็นอังกฤษจ๋าเลย' และ 'เขาเป็นเจมส์ บอนด์สุดๆ...' แล้วคุณก็จะนึกถึงเขาในรูปแบบนั้น แต่พอเขาสวมหมวกคาวบอยนั่นแล้วก็เปรี้ยง! (ดีดนิ้ว) เขาก็กลายเป็นชายพเนจรไปแล้ว ด้วยดวงตาสีฟ้า และใบหน้าที่แลดูเถื่อน หยาบกระด้างนิดๆ เขาให้ความรู้สึกของชายชาตรี และคุณก็จะเชื่อในตัวเขาสนิทใจในฉากเวสเทิร์น ในตอนที่เราคัดเลือกนักแสดง เราได้แต่พูดว่า 'ผู้ชายคนนี้ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ แต่เขากลับไม่รู้อดีตของตัวเอง...' ดังนั้น คุณก็จะต้องมองเห็นเรื่องนั้นในใบหน้าของเขาด้วย และถ้าคุณให้คนอื่นมาสวมบทนี้ อาจจะคนที่มีอายุซัก 30 กว่าๆ มันก็ไม่ใช่ครับ คุณอยากได้คนที่กร้านโลกนิดๆ
Q:   แล้วคุณก็ได้นักแสดงที่สามารถถ่วงน้ำหนักกับเขาได้ในตัวของแฮร์ริสัน ฟอร์ดด้วย..
A:   ใช่ครับ มันจะต้องให้ความรู้สึกแบบบุชกับซันแดนซ์ ไม่ใช่ความรู้สึกแบบพ่อลูกน่ะครับ
Q:   คุณคิดด้วยรึเปล่าว่าหนังเรื่องนี้จะต้องเวิร์คในฐานะเวสเทิร์นแบบเพียวๆ และแม้ว่าคุณจะไม่ได้ใส่เอาเอเลียนเข้ามา มันก็ยังคงเวิร์คด้วยตัวมันเอง
A:   ครับ นั่นเป็นเป้าหมายของเรา และนั่นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เราไม่ถ่ายทำแบบ 3D เราอยากจะรักษาความดั้งเดิมของมันเอาไว้ และเราก็อยากได้ดาราที่สามารถสวมบทชายผู้หยาบกร้านพวกนี้ เราอยากให้มันเข้ากับยุคสมัยนั้นๆ ที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้และเมื่อส่วนของหนังเอเลียนเข้ามา เราก็อยากจะทำให้แน่ใจว่ามันเป็นหนังเอเลียนในแบบยุคของสปีลเบิร์ก ยุค 80s ก่อนหน้าที่จะมี CG ครับ มันเป็นเรื่องของควัน แสง จินตนาการ ความตึงเครียด และการสร้างสิ่งนั้นขึ้นในจินตนาการของคุณ ที่คุณจะค่อยๆ โชว์ชิ้นส่วนออกมาทีละนิด แทนที่จะโชว์ทั้งหมดอย่างที่ CGI มักจะทำ ถ้าไม่ทำให้มันเหมาะสมน่ะครับ
Q:   เป็นเรื่องสำคัญขนาดไหนที่พระเอกของคุณจะต้องแสดงฉากแอ็กชันให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
A:   ยกตัวอย่างเช่น กับแดเนียล เขานำทีมงานมากับเขาด้วย แดเนียลเป็นคนที่แรงเยอะมากๆ เขาก็เลยสามารถแสดงฉากแอ็กชันแทบทั้งหมดได้ด้วยตัวเอง เขามีคู่หูคนหนึ่ง เป็นสตันท์แมน ที่ฝึกฝนเขาและช่วยคิดออกแบบท่าต่อสู้ เขารู้ดีว่าแดเนียลทำอะไรได้บ้าง เขารู้จังหวะการกระโดด การเคลื่อนไหว และรู้ว่าแดเนียลชำนาญการใช้ปืนแค่ไหน พอแดเนียลมาถึงตอนที่เขาจะต้องชักปืนออกจากซองปืน เขาก็ซ้อมชักปืน ควงปืน และเรียนรู้ทุกอย่างเท่าที่เขาจะทำได้ เขาพูดกับผมว่า 'มีเวลาสำหรับเรื่องนี้รึเปล่า' ความรู้สึกในฐานะผู้กำกับของผมคือถ้านักแสดงถนัดอะไรเป็นพิเศษ ผมก็จะต่อยอดจากตรงนั้น เหมือนกับตอนที่ผมรู้ว่าโซอี้ เดสชาแนลร้องเพลงเก่ง ผมก็เพิ่มฉากใน Elf ที่ไม่เคยมีมาก่อนเข้าไป แล้วก็เหมือนกับฝีมือการขี่ม้าของโอลิเวีย และคีธ คาร์ราดีนก็เป็นนักขี่ม้าชั้นยอดด้วยเหมือนกัน คุณก็ควรจะใช้ประโยชน์จากมันครับ เขาอยากจะขี่ม้าเพราะฉะนั้นคุณก็ต้องสร้างจังหวะเข้าไป สำหรับแดเนียลแล้ว ฉากแอ็กชันพวกนั้นคงจะต่างออกไปอย่างสิ้นเชิงถ้านักแสดงอีกคนมาเล่น ถ้านักแสดงคนอื่นเล่น เราก็คงต้องซ่อนตัวเขาเล็กน้อย หรือตัดต่อรอบๆ เขา แต่แดเนียล คุณจะได้ภาพทั้งหมด เขาใส่ความเข้มข้นเข้าไป ใน   Cowboys and Aliens เขาแสดงออกอย่างเข้มข้นอย่างที่คุณคาดหวังได้จากหนังเรื่องอื่นๆ ที่เขาเคยแสดงมา และตอนนี้ พอเขาสวมหมวกคาวบอยแล้ว เราก็พร้อมลุยกันเลย...(หัวเราะ)
Q:   เราเคยชินกับการได้เห็นแฮร์ริสัน ฟอร์ดรับบทวีรบุรุษ แต่ในเรื่องนี้ คุณให้เขารับบทชายขาโหด ที่ไม่ได้น่าเห็นใจเลยซักนิด คุณคิดยังไงกันแน่
A:   ถ้าคุณจำได้ตอนที่เราได้พบกับแฮร์ริสันครั้งแรก ในบทอย่างฮัน โซโล เขากำลังยิงนักล่าค่าหัวใต้โต๊ะก่อนที่คนๆ นั้นจะยิงเขาซะอีก แม้กระทั่งใน Indiana Jones ก็มีบางฉากที่คุณไม่แน่ใจว่าเขาเป็นคนดีหรือคนเลวกันแน่ คนลืมเรื่องนั้นเพราะตอนนี้ เราคุ้นภาพเขาในบทวีรบุรุษ แต่ในตอนเริ่มต้น เขาออกจะเป็นผู้ร้ายซะมากกว่า อาจจะเป็นผู้ร้ายที่น่ารัก ผู้ลงเอยด้วยการทำในสิ่งที่ถูกก็จริง แต่เขาก็ยังเป็นผู้ร้ายอยู่ดีครับ เขาช่วยเจ้าหญิงเพราะเรื่องของเงิน และเมื่อเขากลับมาในท้ายที่สุด มันก็เป็นเรื่องเซอร์ไพรส์เพราะคุณคิดว่าเขาเป็นคนเห็นแก่ตัว หลังจากนั้น เขาก็กลายเป็นประธานาธิบดี เป็นแจ็ค ไรอัน ชายที่อยู่ใน Witness เขาอ่อนโยนลง แต่ถ้าคุณจำเขาได้ตอนที่เราเจอกับเขาครั้งแรก เขาเล่นเป็นคนที่อยู่ในขอบเขตสีเทา และประเด็นสำคัญก็คือใน  Cowboys and Aliens คุณจะยังคงรักเขาแม้ว่าเขาจะเลวร้ายอย่างนั้นก็ตาม เหมือนกับหลุยอี้ใน Taxi น่ะครับ คุณจำได้มั้ย หลุยอี้ เดอ พัลมา (ที่รับบทโดยแดนนี เดอวีโต้) พูดสิ่งเลวร้ายมากมายแต่คุณก็ยังคงรักเขา และใน  Cowboys and Aliens เราก็อยากทำให้ตัวละครของทั้งแฮร์ริสันและแดเนียลแข็งแกร่งและน่าหวาดหวั่น และพวกเขาก็ต้องมาปะทะกัน มันเป็นเรื่องของการที่พวกเขาตอบโต้กันไปมา เหมือนลิงสองตัวที่แย่งชิงตำแหน่งจ่าฝูงน่ะครับ และนั่นก็เป็นหนึ่งในธีมของหนังเรื่องนี้ ท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาก็ต้องร่วมมือกันเพื่อฝ่าฟันอุปสรรคที่เหลือเชื่อครับ
Q:   พวกเขาต้องร่วมมือกันเพื่อสู้กับเอเลียน...
A:   ครับ ใช่เลย
Q:   แล้วคุณก็ดูในส่วนของเนื้อเรื่องเหมือนกันว่าถ้าเรายอมรับเรื่องที่เอเลียนบุกโลกได้ ซึ่งหนังเรื่องต่างๆ ก็นำเสนอเรื่องนั้นมาหลายสิบปีแล้ว เอเลียนพวกนั้นก็สามารถเข้ามาในศตวรรษที่ 19 ได้...
A:   ใช่ครับ ภาพถ่าย UFO ภาพแรกเป็นยานบินรูปซิการ์ในฟากฟ้าของอริโซนาในปี 1872 และเราก็ได้แรงบันดาลใจจากภาพนั้น
Q:   คุณมั่นใจเสมอมาเลยรึเปล่าว่า แนวเวสเทิร์นและไซไฟจะสามารถนำมาผสมผสานกันได้อย่างประสบความสำเร็จ
A:   มันเหมือนกับถ้าคุณลองมิกซ์เพลงสองเพลงเข้าด้วยกัน คุณจะฟังเพลงหนึ่ง แล้วก็ฟังอีกเพลงหนึ่ง คุณก็จะเกิดความคิดว่า 'ใช่เลย พวกมันน่าจะเข้ากันได้...' ถ้ามันไม่ออกมาดี และก่อเกิดเป็นสิ่งที่เพราะกว่าเดิม มันก็จะฟังดูแล้วเหมือนเสียงจานแตกน่ะครับ (หัวเราะ) แต่เมื่อมันเข้ากันได้ดี ซึ่งผมก็คิดว่ามันเป็นอย่างนั้นสำหรับหนังเรื่องนี้ มันก็เป็นสิ่งดีๆ และมันก็มีพลังงานที่เกิดจากทั้งสองแนว ที่ทำให้เรื่องน่าสนใจมากขึ้น และนั่นก็สิ่งที่เกิดขึ้นกับหนังเรื่องนี้ เราจะต้องจับทั้งสองแนววางคู่กัน และมองดูว่าหนังเรื่องนี้จะเป็นยังไงได้บ้าง และเมื่อเรื่องราวดำเนินไป คุณก็จะรู้ตัวว่าคุณใช้ความพยายามน้อยกว่าที่คุณคิดไว้ตอนที่ได้ยินชื่อเรื่องเสียอีก ผมคิดว่าชื่อของหนังเรื่องนี้ดึงดูดความสนใจตรงที่ว่าเราแปลกใหม่และแตกต่างขนาดไหน แต่มันยังกระตุ้นให้เกิดความกลัวในหมู่ผู้ชมว่าหนังเรื่องนี้จะเลวร้ายได้ขนาดไหน แต่ผมก็ชอบนะเพราะมันทำให้คนตั้งคำถามน่ะครับ
Q:   มันกระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยา...
A:   ใช่ครับ และหน้าที่ของเรา ในอีกหลายเดือนข้างหน้า คือการบอกว่า 'ลองดูเทรลเลอร์เราสิ ฟังสิ่งที่เราพูดในการสัมภาษณ์ ดูฟุตเตจสิ' แล้วดูว่าหนังเรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไรกันแน่ มันเป็นสิ่งที่โดดเด่นและแปลกต่าง และในซัมเมอร์ ที่ทุกเรื่องเป็นซีเควล การคืนชีพ หนังรีเมก หรือหนังซูเปอร์ฮีโรอีกเรื่องหนึ่ง ผมคิดว่าผู้ชมพร้อมที่จะเสี่ยงกับสิ่งที่พวกเขาอาจจะไม่รู้ทุกเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นได้น่ะครับ
Q:   โทนเป็นเรื่องสำคัญ ในตอนถ่ายทำ คุณได้ให้ทางเลือกกับตัวเองที่จะนำเสนอบางซีนในรูปแบบที่กว้างขึ้น ด้วยคอเมดีมากขึ้น เพื่อที่คุณจะได้ตัดสินใจขั้นสุดท้ายในห้องลำดับภาพบ้างรึเปล่า
A:   ไม่เชิงหรอกครับ ผมชื่นชอบอารมณ์ขัน ผมก็เลยมักจะใส่เอาความขำขันเข้าไปทุกครั้งที่ทำได้ แต่ผมไม่เคยอยากให้มันลดทอนความสมจริงของชั่วขณะนั้นเลย และกับเรื่องนี้ โทนส่วนใหญ่ถูกกำหนดจากแฟลชแบ็ค เราจะได้เห็นตอนที่เจคถูกจับ ผมคิดว่าสิ่งที่ดีที่สุดที่คุณจะยึดถือได้คือความจริงและเหตุผล ซึ่งคุณค่อยมาทอนมันให้เจือจางลงในห้องตัดต่อ ผมหมายถึง ในตอนที่คุณถ่ายทำหนังแบบนี้ คุณก็จะมีฟุตเตจมากกว่าที่คุณต้องใช้ประมาณ 20-30 เปอร์เซ็นต์ แล้วมันก็จะกลายเป็นว่าอะไรคือเวอร์ชันที่มินิมอลที่สุดของการเล่าเรื่อง การตัดสินใจเป็นเรื่องของสิ่งที่คุณต้องตัดทิ้ง แต่สำหรับเรื่องโทนแล้ว มันเป็นเรื่องที่ถูกกำหนดมาตั้งแต่ต้นเลยทีเดียวครับ
Q:   ตอนคุณยังเด็ก คุณได้ดูหนังแนวเวสเทิร์นหรือไซไฟบ้างรึเปล่า
A:   ผมเกิดในปี 1966 ดังนั้น ผมก็เลยอยู่ในช่วงยุคทองของหนังเอเลียน ผมจำได้ว่าไปดู Close Encounters ที่ซิกฟรี้ด (โรงหนัง) ในนิวยอร์กกับพ่อ ผมจำได้ว่าต้องยืนเข้าแถวไปดู Star Wars และได้สัมผัสกับการฟื้นคืนชีพของหนังป็อปคอร์นคุณภาพที่มาพร้อมกับ (จอร์จ) ลูคัสและสตีเวน สปีลเบิร์ก ดังนั้น มันก็เลยเป็นช่วงเวลาที่น่าสนใจที่จะกระตุ้นความคิดเห็นของคุณเกี่ยวกับหนัง ผมรู้สึกเชื่อมโยงกับหนังไซไฟมากกว่าเพราะไม่ค่อยมีหนังเวสเทิร์นในยุคหลังสงครามเวียดนามซักเท่าไหร่ แต่พอผมมาเป็นคนทำหนัง คุณก็ต้องศึกษาจากปรมาจารย์ คุณต้องดูคนทำหนังอย่างจอห์น ฟอร์ด และคุณก็จะเริ่มเห็นว่าพวกแบบฉบับต่างๆ เกิดขึ้นได้ยังไง และหนังเวสเทิร์นก็เป็นอะไรที่อเมริกันจ๋ามากๆ เราไม่ได้มีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานนัก แต่เวสเทิร์นเป็นรูปแบบที่สะท้อนประวัติศาสตร์ของเรา ตอนนี้ ผมชื่นชอบหนังเวสเทิร์นมากขึ้นเพราะผมคิดว่ามันเป็นรูปแบบที่ไม่โจ่งแจ้งซักเท่าไหร่ และสำหรับ  Cowboys and Aliens ผมก็ได้ทั้งสองอย่างเลย! (หัวเราะ)