happy on May 09, 2011, 04:06:32 PM

ชื่อภาพยนตร์   Transformers 3
ชื่อไทย      ทรานส์ฟอร์เมอร์ส 3
วันที่เข้าฉาย      29 มิถุนายน 2554
จัดจำหน่าย      บริษัท ยูไนเต็ด อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (ฟาร์อีสต์)
เว็บไซต์      wwww.transformersmovie.com

ทีมนักแสดง
   ไชอา ลาบัฟ (SHIA LABEOUF)          รับบท       แซม วิทวิคกี้
   โรซี่ ฮันติงตัน-ไวท์ลี่ย์ (ROSIE HUNTINGTON-WHITELEY) รับบท       คาร์ลี่ สเปนเซอร์
   ไทรีส กิ๊บสนั (TYRESE GIBSON)       รับบท         สิบเอกโรเบิร์ต เอ็พพ์ส, USAF)
   จอห์น เทอร์เทอร์โร่ (JOHN TURTURRO)    รับบท          ซีมัวร์ ซิมม่อนส์
   เควิน ดันน์ (KEVIN DUNN)          รับบท       รอน วิทวิคกี้
   จูลี่ ไวท์ (JULIE WHITE)          รับบท       จูดี้ วิทวิคกี้
   ฟรานซิส แม็คดอร์แมนด์ (FRANCES McDORMAND)    รับบท       ชาร์ล็อตต์ เมียริ่ง
   จอห์น มัลโกวิช (JOHN MALKOVICH)       รับบท       บรูซ บราซอส
   เคน จอง (KEN JEONG)          รับบท       เจอร์รี่ หวัง,
                     ผู้อำนวยการสร้างศูนย์วิจัยและพัฒนา แอ็คคูเร็ตต้า
   อลัน ทูดิก (ALAN TUDYK)          รับบท       ดัทช์

ทีมให้เสียงพากย์
   ปีเตอร์ คัลเลน  (PETER CULLEN)    ให้เสียงเป็น       อ็อพติมัส ไพรม
   ฮิวโก้ วีฟวิ่ง (HUGO WEAVING)    ให้เสียงเป็น       เมกะทรอน
   เลนนาร์ด นีมอย (LEONARD NIMOY)    ให้เสียงเป็น      เซนติเนล ไพรม
   เจมส์ รีมาร์ (JAMES REMAR)       ให้เสียงเป็น       ไซด์สไวป์
   คีธ ซาราไบอา (KEITH SZARABAJKA)    ให้เสียงเป็น       เลเซอร์บีก
   รีโน วิลสัน (RENO WILSON)       ให้เสียงเป็น       เบรนส์
   เจสส์ ฮาร์เนลล์ (JESS HARNELL)       ให้เสียงเป็น       ไอรอนไฮด์
   โรเบิร์ต ฟ็อกซ์เวิร์ธ (ROBERT FOXWORTH)    ให้เสียงเป็น       แร็ทเช็ท
   จอร์จ โค (GEORGE COE)       ให้เสียงเป็น       คี
   ชาร์ลี แอ็ดเลอร์  (CHARLIE ADLER)      ให้เสียงเป็น       สตาร์สกรีม
   แฟรงก์ เวลเกอร์ (FRANK WELKER)       ให้เสียงเป็น       ซาวน์เวฟ/ ช็อคเวฟ
   

ทีมผู้สร้าง
   ไมเคิล เบย์  (MICHAEL BAY) – ผู้กำกับ/ ผู้อำนวยการสร้างบริหาร
   ลอเรนโซ่ ดิ โบนาเวนทูร่า (LORENZO di BONAVENTURA) – ผู้อำนวยการสร้าง
   เอียน ไบรซ์ (IAN BRYCE) – ผู้อำนวยการสร้าง
   สตีเว่น สปีลเบิร์ก (STEVEN SPIELBERG) – ผู้อำนวยการสร้างบริหาร


« Last Edit: June 25, 2011, 04:42:31 PM by admin »

happy on May 09, 2011, 04:08:34 PM
Synopsis:   
      Shia LaBeouf returns as Sam Witwicky in Transformers:  Dark of the Moon.  
   When a mysterious event from Earth’s past erupts into the present day it threatens to bring a war    to Earth so big that the Transformers alone will not be able to save us.  
   ไชอา ลาบัฟ กลับมารับบท แซม วิทวิคกี้ อีกครั้งใน ทรานส์ฟอร์เมอร์ส ภาค 3  
   จากเหตุการณ์ที่ยังเป็นปริศนาของโลกในยุคอดีตได้เป็นชนวนจุดระเบิดในปัจจุบัน
   ซึ่งได้นำเอามหาสงครามครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดที่โลกต้องเผชิญ
   และครั้งนี้ขุมกำลังของทรานส์ฟอร์เมอร์สเพียงกลุ่มเดียวก็ไม่อาจจะปกป้องพวกเราได้




เจมส์ คาเมรอนจาก AVATAR และ ไมเคิล เบย์ จาก TRANSFORMERS
สองผู้กำกับใหญ่โปรระบบ 3D ดันเทคนิคภาพสุดอลังการใน ทรานส์ 3

           เป็นครั้งแรกที่สองผู้กำกับใหญ่จะมาอยู่ร่วมกันบนเวทีเดียวกัน ไมเคิล เบย์ จาก ทรานส์ฟอร์เมอร์ส และ เจมส์ คาเมรอน จาก AVATAR ได้ร่วมกันพูดถึงการถ่ายทำหนังระบบ 3D แท้ๆทั้งเรื่องว่าสุดยอดขนาดไหน
        เจมส์ คาเมรอน เผยว่า พอได้ข่าวว่า ไมเคิล เบย์ สนใจจะทำทรานส์ฟอร์เมอร์สในระบบ 3D เขาก็รีบชวนเบย์มาที่กองถ่าย Avatar ทันที เพราะอยากให้เบย์ถ่ายทำภาคสามของหนังที่คนทั้งโลกรอคอย และเขาเองก็รอที่จะดูทรานส์ฟอร์เมอร์ส 3 ในระบบ 3D เช่นกัน แค่ได้เห็นตัวอย่างที่ตัดออกมา ต้องขอชมว่าเบย์ดีไซน์ภาพได้ดีมาก น่าตื่นเต้น และใช้กล้อง 3D ได้อย่างแปลกใหม่ น่าสนใจมาก  เขาคิดว่าผู้ชมจะต้องตื่นตะลึงกับหลายๆฉากของภาคนี้
          ส่วนไมเคิล เบย์นั้น เสริมต่อว่า พอได้รับการชักชวนให้ไปดู  เขาก็รู้สึกทึ่งกับภาพที่ออกมา และตัดสินใจที่ถ่ายทำทรานส์ฟอร์เมอร์ส3 ด้วยกล้อง 3D ทันที ซึ่งก็ทำให้งานที่หนักอยู่แล้ว หนักหนามากขึ้นอีก เพราะต้องทำรายละเอียดของทุกชอทให้มีระยะตื้น กลาง ลึก เพื่อให้ภาพ 3D ที่ออกมาชัดเจนที่สุด เป็นครั้งแรกที่มีการนำกล้องไปถ่ายบนอากาศ กับทหารที่ใส่ชุด Wing suit ซึ่งภาพที่ออกมาจะไม่เคยเห็นมาก่อน อยากจะนำเสนอประสบการณ์การชมภาพยนตร์ที่แปลกใหม่และน่าตื่นเต้นที่สุดของปีนี้ให้กับแฟนๆที่รักการชมภาพยนตร์ทั่วโลก

แฟนทรานส์ฟอร์เมอร์ส 3 ช่วยกันสร้างสถิติใหม่อีกแล้ว
แค่ตัวอย่างก็โหลดกันสูงสุด เกิน 6ล้านคลิกใน24 ชั่วโมงแรก
แถมนางเอกเซ็กซี่คนใหม่ โรซี่ กลายเป็นสาวฮอตสุดของปีนี้

                   รายงานข่าวล่าสุดจากพาราเม้าท์ พิคเจอร์สว่า เกิดกระแสทรานส์ฟอร์เมอร์สฟีเวอร์ขึ้น โดยแฟนๆของภาพยนตร์เรื่องนี้ ได้พากันดาวน์โหลดตัวอย่างของหนังที่ออนไลน์ทางเว็บไซต์ดังอย่าง apple.com/trailers ซึ่งจากการดาวน์โหลดภายใน 24 ชั่วแรก สูงกว่า 6 ล้านครั้ง ถือเป็นสถิติผู้ชมสูงที่สุดเท่าที่เคยมีมาภาพยนตร์เรื่อง ทรานส์ฟอร์เมอร์ส ภาค 3 มีชื่อว่า Dark of the moon  ถ่ายทำด้วยกล้อง 3 มิติทั้งเรื่อง เช่นเดียวกับ Avatar และด้วยทุนสร้างมหาศาลแบบจัดเต็มสำหรับภาคนี้  นอกจากหุ่นทรานส์ฟอร์เมอร์สที่สุดอลังการ ยังมีดาราดังคับคั่ง ทั้ง พระเอกหน้าเดิม ไชอา ลาบัฟ, จอช ดูฮาเมล, ไทรีส กิ๊บสัน, จอห์น เทอร์เทอโร และนางเอกเซ็กซี่หน้าใหม่ โรซี่ ฮันติ้งตัน ไวท์ลี่ย์ ซึ่งมีดีกรีความเซ็กซี่ติดอันดับ 1 ของMaxim ยังเสริมด้วย แพทริก เดมซีย์, จอห์น มัลโควิช และ ฟรานเชส แมคเดอร์มาน
   พบกับการกลับมาของอภิมหาสงครามครั้งยิ่งใหญ่ ที่สุดของภาพยนตร์แอ็คชั่น ไซไฟ 3D แห่งปี 2011




« Last Edit: June 24, 2011, 03:11:16 PM by happy »

happy on June 24, 2011, 03:13:07 PM


ประวัตินักแสดง

ไชอา ลาบัฟ (SHIA LABEOUF) รับบท แซม วิทวิคกี้
          ไชอา ลาบัฟกลายเป็นหนึ่งในนักแสดงผู้เป็นที่ต้องการตัวมากที่สุดในฮอลลีวู้ดอย่างรวดเร็ว ฝีมือในการแสดงที่เป็นธรรมชาติของเขา บวกกับพลังดิบในตัว ทำให้เขามีชื่อเสียงในฐานะหนึ่งในนักแสดงขายฝีมือที่มีอนาคตมากที่สุดในปัจจุบัน


“Transformers: Dark of the Moon” คือครั้งที่ 3 ที่เขามารับบทเป็น แซม วิทวิคกี้ ตัวละครที่คนดูทั่วโลกรู้จักดีและรักเขาเต็มหัวใจ นับแต่ภาพยนตร์ภาคแรก “Transformers” เปิดตัวฉายในปี 2007 (ซึ่งสามารถเก็บรายได้จากทั่วโลกไปมากกว่า $700 ล้าน และกลายเป็นดีวีดีที่ทำยอดสูงสุดในปีนั้น) จนถึงภาพยนตร์ภาคที่ 2 ในปี 2009 “Transformers: Revenge of the Fallen” (ซึ่งทำยอดรายได้ทั่วโลกไปกว่า $836 ล้าน) แซมยังคงพบตัวเองตกอยู่ท่ามกลางสถานการณ์การต่อสู้ที่ชี้เป็นชี้ตายระหว่างหุ่นยนต์สองฝ่ายที่มารบกันบนโลก
          ปัจจุบัน ลาบัฟทำงานอยู่ในแอตแลนต้า โดยเขากำลังถ่ายทำภาพยนตร์ดราม่าแนวอาชญากรรม เรื่อง “The Wettest County in the World” ผลงานของผู้กำกับ จอห์น ฮิลล์โค้ท ภาพยนตร์เรื่องนี้ ซึ่งนำเสนอเรื่องราวในแวดวงการค้าเหล้าเถื่อนในยุคเศรษฐกิจตกต่ำ ยังนำแสดงโดย ทอม ฮาร์ดี้, แกรี่ โอลด์แมน, กาย เพียร์ซ และมีอา วาซิคาวสก้า
          ปีที่แล้ว เขาประชันบทบาทกับ ไมเคิล ดักลาส ในภาพยนตร์ที่ทุกคนรอคอย เรื่อง “Wall Street: Money Never Sleeps” ซึ่งกำกับโดย โอลิเวอร์ สโตน โดยลาบัฟรับบทเป็น เจก มัวร์ หนุ่มแบงก์ที่ร่วมมือกับ กอร์ดอน เก็กโก้ เพื่อหยุดการเทกโอเวอร์บริษัทของฝ่ายศัตรู
          2008 ถือเป็นปีทองของลาบัฟ  เขาแสดงนำในภาพยนตร์ภาคที่ 4  “Indiana Jones and the Kingdom of the Crystal Skull” ซึ่ง สตีเว่น สปีลเบิร์ก เป็นผู้กำกับ และลาบัฟได้ประชันบทบาทกับ แฮร์ริสัน ฟอร์ด, ลาบัฟยังได้กลับไปร่วมงานกับผู้กำกับ ดีเจ คารูโซ่ เป็นครั้งที่ 2 ในภาพยนตร์ทริลเลอร์ เรื่อง “Eagle Eye” ซึ่งเขาแสดงนำร่วมกับ มิเชลล์ โมนาแกน, โรซาริโอ ดอว์สัน และไมเคิล ชิกลิส นอกจากนี้ เขายังแสดงนำร่วมกับ จูลี่ คริสตี้ และจอห์น เฮิร์ท ในภาพยนตร์เรื่อง “New York I Love You” (ในตอนที่เป็นผลงานการเขียนบทของ แอนโธนี่ มิงเกลล่า)
          ในปี 2007 ลาบัฟคว้ารางวัลบัฟต้า สาขาดาราดาวรุ่งยอดเยี่ยม และรางวัลทีนชอยซ์ อวอร์ด (เป็นตัวที่ 2 ) ในสาขาดารานำชายยอดเยี่ยมจากภาพยนตร์แนวแอ็กชั่น/ ผจญภัย และยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลเอ็มไพร์ อวอร์ด สาขานักแสดงหน้าใหม่ยอดเยี่ยม และยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลเอ็มทีวี มูฟวี่ อวอร์ดอีกหลายรางวัลด้วยกัน
          ในปีเดียวกันนั้น ลาบัฟสร้างชื่อในฐานะดาราทำเงิน เมื่อเขารับบทนำในภาพยนตร์ทริลเลอร์ของพาราเม้าต์ พิคเจอร์ส เรื่อง “Disturbia” (ซึ่งเขาได้ทำงานกับผู้กำกับ คารูโซ่ เป็นครั้งแรก) ลาบัฟรับบทเป็นวัยรุ่นซึ่งโดนคำสั่งกักบริเวณให้อยู่แต่ในบ้าน ทำให้เขาเห็นเหตุการณ์ที่ทำให้เขาเชื่อว่า เดวิด มอร์ส เพื่อนบ้านของเขาคือฆาตกรต่อเนื่อง, ติดตามมาด้วยภาพยนตร์ฮิตเรื่องที่ 2  “Transformers” ผลงานการสร้างของดรีมเวิร์กส์/ พาราเม้าต์ พิคเจอร์ ที่สร้างมาจากการ์ตูนซีรีส์ที่เด็กๆ ชื่นชอบ ซึ่งต่อมาภาพยนตร์เรื่องนี้ได้กลายมาเป็นภาพยนตร์แฟรนไชส์ที่โด่งดังไปทั่วโลก เขายังให้เสียงพากย์ในภาพยนตร์การ์ตูน เรื่อง “Surf’s Up” ในบทนำ โคดี้ มาเวอริค ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ สาขาภาพยนตร์การ์ตูนยอดเยี่ยม ในปี 2008
          ในปี 2006 ลาบัฟร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่อง “A Guide to Recognizing Your Saints” ซึ่งเป็นภาพยนตร์ดราม่าที่ว่าด้วยเรื่องราวของการก้าวข้ามวัยในยุค 1980 โดยเขาร่วมแสดงกับ โรเบิร์ต ดาวนี่ย์ จูเนียร์ และโรซาริโอ ดอว์สัน รวมไปถึงภาพยนตร์ดราม่ากึ่งสารคดีที่ได้รับคำชม เรื่อง “Bobby” ผลงานของผู้กำกับ เอมิลิโอ เอสเตเวซ ซึ่งเขาร่วมแสดงกับ เดมี่ มัวร์ และเอลิจาห์ วู้ด ภาพยนตร์เรื่องนี้นำเสนอเรื่องราวที่เกิดขึ้นรอบๆ ตัวคน 22 คนที่อยู่ที่โรงพยาบาลแอมบาสเดอร์ ในคืนที่วุฒิสมาชิกอเมริกา โรเบิร์ต เอฟ เคนเนดี้ โดนลอบสังหาร
          ในปี 2005 ลาบัฟคว้าบทนำ โดยแสดงเป็น ฟรานซิส กีเม็ท ในภาพยนตร์เรื่อง “The Greatest Game Ever Played” ผลงานของวอลท์ ดิสนีย์ พิคเจอร์ส ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับโดย บิลล์ แพ็กซ์ตัน โดยสร้างจากหนังสือเบสท์เซลเลอร์ของ มาร์ก ฟรอสท์ บอกเล่าเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในการแข่งกอล์ฟยูเอส โอเพ่นในปี 1913 ซึ่งกีเม็ท นักกอล์ฟสมัครเล่นวัยเพียง 20 ปีจากแมสซาชูเซ็ตส์ ช็อควงการกอล์ฟโลกด้วยการเอาชนะแชมเปี้ยนจากอังกฤษ แฮร์รี่ วาร์ดอน ซึ่งรับบทโดย สตีเฟ่น ดิลเลน และในปีเดียวกันนั้น ลาบัฟยังร่วมแสดงในภาพยนตร์ของวอร์เนอร์ บราเธอร์ส เรื่อง “Constantine” ซึ่งมี คีอานู รีฟส์ รับบทนำ
          ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเขา ยังได้แก่ “I, Robot” ซึ่งเขาร่วมแสดงกับ วิลล์ สมิธ, ภาพยนตร์ของ HBO เรื่อง “Project Greenlight,” “The Battle of Shaker Heights” และภาพยนตร์แอ็กชั่นสุดฮิต เรื่อง “Charlie’s Angels II: Full Throttle” ส่วนในปี 2003 ลาบัฟประเดิมงานแสดงภาพยนตร์เรื่องแรก โดยประกบบทกับ ซีกอร์นี่ย์ วีเวอร์ และจอน วอยต์ ในภาพยนตร์สำหรับครอบครัว เรื่อง “Holes” ซึ่งสร้างจากนิยายเรื่องดังของ หลุยส์ ซาชาร์




โรซี่ ฮันติงตัน-ไวท์ลี่ย์ (ROSIE HUNTINGTON-WHITELEY) รับบท คาร์ลี่ สเปนเซอร์
          โรซี่ ฮันติงตัน-ไวท์ลี่ย์ ประเดิมงานแสดงภาพยนตร์เรื่องแรกด้วยภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ เรื่อง “Transformers: Dark of the Moon” 


               ด้วยวัยเพียง 23 ปี เธอคือนางแบบแถวหน้าของอังกฤษที่มีผลงานอันน่าประทับใจ เธอเคยเป็นนางแบบให้กับแบรนด์ดังอย่าง Burberry, DKNY, Ralph Lauren, Tommy Hilfiger และ Karen Millen เธอยังเคยร่วมแสดงในภาพยนตร์สั้นที่ประสบความสำเร็จของชุดชั้นในแบรนด์ดังอย่าง Agent Provocateur ­โรซี่ที่ทั้งมีสไตล์โดดเด่น และมีความสวยโดยธรรมชาติ ยังได้รับรางวัล ELLE Style Award ในปี 2009 สาขานางแบบยอดเยี่ยม 
   โรซี่ยังได้เซ็นสัญญากับวิคตอเรียส์ ซีเคร็ท (ชุดชั้นในแบรนด์ดังที่ขายดีที่สุดของอเมริกา) โดยเธอเป็นบริติส แองเจิล เพียงหนึ่งเดียวในโฆษณาของแบรนด์นี้


« Last Edit: June 25, 2011, 03:58:06 PM by admin »

admin on June 25, 2011, 04:21:11 PM


แพทริค เด็มป์ซี่ย์ (PATRICK DEMPSEY) รับบท ดิแลน กูลด์

               ปัจจุบัน แพทริค เด็มป์ซี่ย์ แดสงนำในซีรีส์สุดฮิตของ ABC เรื่อง “Grey’s Anatomy” โดยบท ดร.เดเร็ก เชพเพิร์ด ที่เขาแสดงเอาไว้ ทำให้เขาได้รับรางวัล Screen Actors Guild Award ในปี 2007 และยังได้รับรางวัล People’s Choice Award ในปีเดียวกัน
   เด็มป์ซี่ย์ยังทั้งรับบทนำและเป็นผู้อำนวยการสร้างของภาพยนตร์ใหม่เรื่อง “Flypaper” ซึ่งฉายในงานเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ในปี 2011 เขายังทำหน้าที่เป็นทั้งดารานำและผู้อำนวยการสร้างให้กับภาพยนตร์ของ ยูนิเวอร์แซล เรื่อง “The Art of Racing in the Rain” ซึ่งสร้างจากหนังสือเบสต์เซลเลอร์ของนิวยอร์ก ไทม์ส ผลงานภาพยนตร์เมื่อเร็วๆ นี้ของเขา ได้แก่ “Maid of Honor,” “Enchanted” และ “Freedom Writers” เด็มป์ซี่ย์เริ่มมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักจากภาพยนตร์คลาสสิกจากยุค 80 เรื่อง “Can’t Buy Me Love” และ “Loverboy”
   ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเขา ได้แก่ “Sweet Home Alabama,” “Scream 3,” “With Honors,” “Outbreak,” “Hugo Pool,” “The Treat,” “The Palace Thief,” “Heaven Help Us,” “Happy Together,” “Some Girls,” “Coupe De Ville,” “Run,” “Mobsters” และ “In The Mood”


จอช ดูฮาเมล (JOSH DUHAMEL) รับบทพันโทวิลเลี่ยม เลนน็อกซ์, หัวหน้าทีมสไตรก์ฟอร์ซ, N.E.S.T.)

               จอช ดูฮาเมลคือดาราดาวรุ่งทั้งจอเงินและจอแก้ว เขาเคยได้รับการยกย่องให้ติดหนึ่งใน 50 คนที่หน้าตาดีที่สุดของนิตยสารพีเพิล
ปี 2010 ถือเป็นปีที่ดูฮาเมลที่งานชุกมาก โดยมีผลงานที่เปิดตัวฉายไม่ต่ำกว่า 4 เรื่อง เขาร่วมแสดงกับ แคเธอรีน ไฮเกิล ในภาพยนตร์ตลกอบอุ่นหัวใจ ที่พูดถึงเรื่องราวของหนุ่มโสดสาวโสดที่เป็นพ่อแม่ทูนหัวของลูกเพื่อน และพบว่าพวกเขาต้องคอยดูแลเด็กทารกเพศหญิงที่เกิดกำพร้าพ่อแม่กะทันหัน ในภาพยนตร์เรื่อง “Life As We Know It” นอกจากนี้ เขายังเป็นหนึ่งในทีมนักแสดงของภาพยนตร์จากค่ายฟ็อกซ์ 2000 พิคเจอร์ส/ วอลเด้น มีเดีย เรื่อง “Ramona and Beezus” ซึ่งเขาแสดงนำร่วมกับ โจอี้ คิง และเซเลน่า โกเมซ  เขายังร่วมแสดงกับ เคที่ โฮลม์ส และแอนนา พาควิน ในภาพยนตร์กึ่งตลกกึ่งดราม่า เรื่อง “The Romantics” และยังแสดงนำร่วมกับ คริสเตน เบลล์ ในภาพยนตร์ตลกโรแมนติค เรื่อง “When in Rome”
          ในปี 2007 ดูฮาเมลแสดงนำร่วมกับไชอา ลาบัฟ, ไทรีส กิ๊บสัน และเมแกน ฟ็อกซ์ ในภาพยนตร์โกยเงินของไมเคิล เบย์ เรื่อง “Transformers” ซึ่งทำรายได้จากทั่วโลกไปมากกว่า $700 ล้าน และยังกลายเป็นดีวีดีที่ทำยอดขายสูงสุดในปีนั้นด้วย สองปีต่อมา นักแสดงกลุ่มนี้ได้กลับมาร่วมทีมกันอีกครั้งในภาคที่ 2 “Revenge of the Fallen” ภาพยนตร์ภาคนี้ทำรายได้จากทั่วโลกไปมากกว่า $836 ล้าน ทำให้เกิดแผนที่จะสร้างภาค 3 ต่อในทันที (และอาจเป็นภาคสุดท้ายด้วย) ในชื่อตอนว่า “Dark of the Moon”
          ดูฮาเมลยังแสดงนำในภาพยนตร์ทริลเลอร์สยองขวัญ เรื่อง “Turistas” ในปี 2006 และในปี 2004 เขาแสดงนำในภาพยนตร์ตลกของดรีมเวิร์กส์ เรื่อง “Win a Date with Tad Hamilton” ภายใต้การกำกับของ โรเบิร์ต ลุคติก (“Legally Blonde”)
          ดูฮาเมลยังให้เสียงพากย์เป็น ออซ ในซีรีส์แนวตลกของ Nickelodeon เรื่อง “Fan Boy and Chum Chum” 
          ในซัมเมอร์ปีนี้ เขายังจะมีผลงานให้เห็นใน “Movie 43” ซึ่งเป็นการรวบรวมภาพยนตร์สั้น 19 เรื่อง ที่นำแสดงโดยทีมนักแสดงที่ต่างกัน (ตั้งแต่ เจอราร์ด บัทเลอร์, ฮิวจ์ แจ็คแมน และแอนนา ฟาริส จนถึง นาโอมี่ วัตต์ส, เคท วินสเลต และจัสติน ลอง) และกำกับโดยผู้กำกับหลายคน อาทิเช่น เอลิซาเบธ แบงก์ส, ปีเตอร์ ฟาร์เรลลี่ และเบร็ทท์ แร็ทเนอร์
           ปัจจุบัน เขาอยู่ระหว่างถ่ายทำภาพยนตร์ของ แกร์รี่ มาร์แชลล์ เรื่อง “New Years Eve” ซึ่งเขาแสดงนำร่วมกับ โรเบิร์ต เดอ นีโร, ซาร่าห์ เจสซิก้า ปาร์กเกอร์, เจสซิก้า บีล และแอชตัน คุทเชอร์ ภาพยนตร์เรื่องนี้มีกำหนดเปิดตัวฉายในเดือนธันวาคม ปี 2011


ไทรีส กิ๊บสนั (TYRESE GIBSON) รับบทสิบเอกโรเบิร์ต เอ็พพ์ส, USAF)

               ไทรีส กิ๊บสันสามารถชนะใจทั้งคนในฮอลลีวู้ดและคนดูทั่วโลก โดยได้รับทั้งคำชมและประสบความสำเร็จในฐานะนายแบบ, นักร้อง, นักแสดง, นักเขียน และผู้อำนวยการสร้าง ไทรีสมีผลงานเพลง 4 อัลบั้มที่ทำยอดขายไปถึง 3 ล้านก๊อปปี้ ทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมี่หลายรางวัล หลังจากเปิดตัวในวงการภาพยนตร์ด้วยการรับบท “โจดี้” ในภาพยนตร์ของ จอห์น ซิงเกิลตัน เรื่อง “Baby Boy” กิ๊บสันยังเพิ่มพลังในการแสดงให้กับตัวเองด้วยการรับบทนำในภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในฮอลลีวู้ด อย่างเรื่อง “2 Fast 2 Furious,” “Four Brothers” และภาพยนตร์แฟรนไชส์ยอดนิยมของ ไมเคิล เบย์ เรื่อง “Transformers” เมื่อเร็วๆ นี้ กิ๊บสันยังร่วมแสดงนำในภาพยนตร์ “Fast 5”

จอห์น เทอร์เทอร์โร่ (JOHN TURTURRO) รับบท ซีมัวร์ ซิมม่อนส์

               จอห์น เทอร์เทอร์โร่มีผลงานทั้งในแวดวงภาพยนตร์จอเงิน จอแก้ว และละครเวทีมามากมาย ในบรรดาผลงานภาพยนตร์กว่า 60 เรื่องของเขา ยังรวมถึงภาพยนตร์ของผู้กำกับ มาร์ติน สกอร์เซซี่ เรื่อง “The Color of Money;” ภาพยนตร์ของ โทนี่ บิลล์ เรื่อง “Five Corners;” ภาพยนตร์ของ สไปก์ ลี เรื่อง “Do the Right Thing” และ “Jungle Fever;” ภาพยนตร์ของ โรเบิร์ต เร็ดฟอร์ด  เรื่อง “Quiz Show;” ภาพยนตร์ของ ปีเตอร์ เวียร์ เรื่อง “Fearless;” ภาพยนตร์ของ ทอม ดิซิลโล่ เรื่อง “Box of Moonlight;” ภาพยนตร์ของอลิสัน อันเดอร์ส เรื่อง “Grace of My Heart;” ภาพยนตร์ของ ฟรานเชสโก้ โรซี่ เรื่อง “La Tregua;” และภาพยนตร์ของ โจล และอีธาน โคเอน เรื่อง “Miller’s Crossing,” “The Big Lebowski” และ “O Brother, Where Art Thou” และบทนำในภาพยนตร์ของพี่น้องโคเอน เรื่อง “Barton Fink” ทำให้เทอร์เทอร์โร่ได้รับรางวัลดารานำชายยอดเยี่ยม จากเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ และรางวัล David D. Donatello Award
   ในปี 2007 เทอร์เทอร์โร่ได้ขยายฐานแฟนผลงานของเขาไปในหมู่คนดูรุ่นใหม่ เมื่อเขารับบทเป็นเจ้าหน้าที่ซิมม่อนส์ ในภาพยนตร์สุดฮิตถล่มทลายของ ไมเคิล เบย์ เรื่อง “Transformers” ติดตามมาด้วยภาคต่อในปี 2009 “Transformers: Revenge of the Fallen” ซึ่งทำรายได้จากทั่วโลกไปมากกว่า $836 ล้าน
   ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเขา ได้แก่ ภาพยนตร์ตลกของ อดัม แซนด์เลอร์ เรื่อง “Mr. Deeds” และ “You Don’t Mess with Zohan,” ภาพยนตร์ของ แบร์รี่ เลอวินสัน เรื่อง “What Just Happened?” และภาพยนตร์ของ โนอาห์ บาวม์แบช เรื่อง “Margot at the Wedding" รวมไปถึงภาพยนตร์รีเมกของ โทนี่ สก็อตต์ เรื่อง “The Taking of Pelham 1 2 3” และเขายังไปร่วมแสดงในภาพยนตร์แฟนตาซี เรื่อง “Nutcracker: The Untold Story”
   สำหรับผลงานใหม่ เทอร์เทอร์โร่จะร่วมแสดงในภาพยนตร์ตลกโรแมนติค เรื่อง “Somewhere Tonight” ซึ่งเขาร่วมแสดงกับแคเธอรีน โบโรวิทซ์, แม็กซ์ คาเซลล่า, เอลิซาเบธ มาร์เวล และลินน์ โคเฮน เขายังให้เสียงพากย์ในภาพยนตร์การ์ตูนเรื่องใหม่ของค่ายพิกซาร์/ วอลท์ ดิสนีย์ เรื่อง “Cars 2” ซึ่งมีกำหนดเปิดตัวฉายในเดือนมิถุนายน 2011


เควิน ดันน์ (KEVIN DUNN) รับบท รอน วิทวิคกี้

                เควิน ดันน์มีผลงานทั้งในแวดวงภาพยนตร์จอเงินและจอแก้ว ในฤดูใบไม้ร่วงนี้ เขาจะร่วมแสดงในภาพยนตร์ของ กาวิน โอคอนเนอร์ เรื่อง “Warrior” ซึ่งเขาร่วมแสดงกับ โจล เอ๊ดเกอร์ตัน และเจก แม็คลาฟลิน
เมื่อเร็วๆ นี้ ดันน์ร่วมแสดงในภาพยนตร์ที่ได้รับคำชมของผู้กำกับ โทนี่ สก็อตต์ เรื่อง “Unstoppable” ซึ่งนำแสดงโดย เดนเซล วอชิงตัน, คริส ไพน์ และโรซาริโอ ดอว์สัน
ในปี 2007 แฟนๆ รุ่นใหม่ได้รู้จักกับดันน์ เมื่อเขารับบทเป็น รอน วิทวิคกี้ พ่อของไชอา ลาบัฟ (แซม วิทวิคกี้) ในภาพยนตร์ฮิตถล่มทลายของ ไมเคิล เบย์ เรื่อง “Transformers” รวมไปถึงในภาพยนตร์ภาคต่อ ปี 2009 เรื่อง “Transformers: Revenge of the Fallen”
   ผลงานภาพยนตร์เมื่อเร็วๆ นี้ของดันน์ ได้แก่ “Vicky Christina Barcelona” ซึ่งเขาร่วมแสดงกับ สการ์เล็ตต์ โจแฮนส์สัน และเพเนโลปี้ ครูซ, “Lions for Lambs” ซึ่งกำกับโดย โรเบิร์ต เร็ดฟอร์ด, “The Gridiron Gang” ซึ่งเขาร่วมแสดงกับ ดเวย์น “ เดอะ ร็อค” จอห์นสัน, “Black Dahlia” และ “All the King’s Men” ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเขา ได้แก่ “I Heart Huckabees;” ภาพยนตร์ตลกของ คริสโตเฟอร์ เกสต์ เรื่อง “Almost Heroes;” ภาพยนตร์ทริลเลอร์ เรื่อง “Stir of Echoes;” “Nixon” ซึ่งเขารับบทเป็น ชาร์ลส์ โคลสัน, “Chaplin” ซึ่งเขารับบทเป็น เจ เอ๊ดการ์ ฮูเวอร์, “Godzilla;” “Chain Reaction;” “Small Soldiers;” “1492;” “Bonfire of the Vanities” และ “Mississippi Burning”


จูลี่ ไวท์ (JULIE WHITE) รับบท จูดี้ วิทวิคกี้

               จูลี่  ไวท์เริ่มประเดิมงานแสดงอาชีพครั้งแรกในนิวยอร์ก โดยร่วมแสดงในละครนอกบรอดเวย์มากมายหลายเรื่อง ก่อนจะผันตัวเองมาแสดงภาพยนตร์ โดยล่าสุด เธอมีผลงานเป็นภาพยนตร์ขวัญใจงานเทศกาลภาพยนตร์เรื่อง “Morning” ซึ่งกำกับและแสดงนำโดย ลีแลนด์ ออร์เซอร์ หลังจากนี้ เธอจะร่วมแสดงในภาพยนตร์ตลกโรแมนติค เรื่อง “Language of a Broken Heart” และภาพยนตร์ดราม่าแนวอาชญากรรม เรื่อง “Inside Out” ซึ่งเธอร่วมแสดงกับ พาร์คเกอร์ โพซี่ย์ 
           ในปี 2009  ไวท์ร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่อง “Breaking Upwards” โดยร่วมแสดงกับ โซอี้ ลิสเตอร์ และแอนเดรีย มาร์ติน และยังให้เสียงพากย์ในภาพยนตร์การ์ตูนของดิสนีย์ เรื่อง “Aliens vs. Monsters” ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเธอ ได้แก่ “The Nanny Diaries” ซึ่งนำแสดงโดย ลอร่า ลินนี่ย์ และสการ์เล็ตต์ โจแฮนส์สัน, ภาพยนตร์ของ โทนี่ กิลรอย เรื่อง “Michael Clayton” ซึ่งเธอร่วมแสดงกับ จอร์จ คลูนีย์, “The Astronaut Farmer” ซึ่งนำแสดงโดย บิลลี่ บ๊อบ ธอร์นตัน, “War of the Worlds,” “Slap Her…She’s French,” “Say It Isn’t So” และ “What Women Want” จูลี่ได้กลับมารับบท จูดี้ วิทวิคกี้ ซึ่งเธอเคยแสดงเอาไว้ครั้งแรกใน “Transformers”


ฟรานซิส แม็คดอร์แมนด์ (FRANCES McDORMAND) รับบท ชาร์ล็อตต์ เมียริ่ง)

               ฟรานซิส แม็คดอร์แมนด์ได้สร้างชื่อเสียงให้กับตัวเธอเองจนโด่งดังไปทั่วโลกจากหลายบทบาทด้วยกัน อาทิเช่นบทที่ทำให้เธอได้รับรางวัลออสการ์ จากภาพยนตร์ที่ได้รับคำชมของพี่น้องโคเอน เรื่อง “Fargo” สำหรับผลงานภาพยนตร์เรื่องใหม่ของเธอ แม็คดอร์แมนด์จะแสดงนำประกบบทกับ ฌอน เพนน์ ในภาพยนตร์ของเปาโล ซอร์เรนติโน่ เรื่อง “This Must Be the Place” 
   ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเธอ ได้แก่ “Miss Pettigrew Lives For A Day,” ภาพยนตร์ของ นิโคล โฮลอฟซีเนอร์ เรื่อง “Friends With Money” (Spirit Award), ภาพยนตร์ของนิกกี้ คาโร เรื่อง “North Country” (ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์, รางวัลลูกโลกทองคำ และรางวัลแซ็กอวอร์ด), ภาพยนตร์ที่ได้รับคำชม เรื่อง “Laurel Canyon,” “Something’s Gotta Give,” ภาพยนตร์ของ คาเมรอน โครว์ เรื่อง “Almost Famous” (ซึ่งเธอได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำ, รางวัลบัฟต้า และรางวัลออสการ์) ภาพยนตร์ของเคอร์ติส แฮนสัน เรื่อง “Wonder Boys,” ภาพยนตร์ของ ไมเคิล เคตัน โจนส์ เรื่อง “City By the Sea” ประกบบทกับ โรเบิร์ต เดอ นีโร, ภาพยนตร์ของเดซี่ วอน เชอร์เลอร์ เมเยอร์ เรื่อง “Madeline,” ภาพยนตร์ของเกรกอรี่ ฮ็อบลิต เรื่อง “Primal Fear,” ภาพยนตร์ของ จอห์น เซย์เลส เรื่อง “Lone Star,” ภาพยนตร์ของอลัน เทย์เลอร์ เรื่อง “Palookaville,” ภาพยนตร์ของ มิค แจ็คสัน เรื่อง “Chattahoochee”,  ภาพยนตร์ของ แซม ไรมี่ เรื่อง “Darkman”  ซึ่งเธอได้ประกบบทกับ เลียม นีสัน, ภาพยนตร์ของ เคน โล้ช เรื่อง “Hidden Agenda,” ภาพยนตร์ของ โรเบิร์ต อัลท์แมน เรื่อง “Short Cuts”, ภาพยนตร์ของ จอห์น บัวร์แมน เรื่อง “Beyond Rangoon,” ภาพยนตร์ของ บรูซ เบเรสฟอร์ด เรื่อง “Paradise Road,” และภาพยนตร์ของ อลัน พาร์คเกอร์ เรื่อง “Mississippi Burning” กับพี่น้องโคเอน แม็คดอร์แมนด์ได้ร่มงานด้วยในภาพนตร์อีก 4 เรื่อง ได้แก่ “Blood Simple,” “Raising Arizona,” “The Man Who Wasn’t There” และ “Burn After Reading”


จอห์น มัลโกวิช (JOHN MALKOVICH) รับบท บรูซ บราซอส

               จอห์น มัลโกวิช คร่ำหวอดอยู่ในวงการมานานกว่า 25 ปีแล้ว โดยเขามีผลงานทั้งที่เป็นภาพยนตร์อินดี้ และภาพยนตร์ทุนสร้างสูงจำนวนมาก และยังทำงานเป็นทั้งนักแสดง ผู้กำกับ ผู้อำนวยการสร้าง และศิลปิน
          ปัจจุบัน จอห์นอยู่ระหว่างออกทัวร์สายยุโรปและออสเตรเลียไปกับโอเปร่า The Giacomo Variations (ซึ่งเขารับบทเป็นเสือผู้หญิงจากศตวรรษที่ 18 นาม คาสโนว่า) และในเรื่อง The Infernal Comedy
          ก่อนหน้านี้ จอห์นร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่อง “Red” ของซัมมิท เอนเตอร์เทนเม้นต์ โดยเขาประกบบทกับ บรูซ วิลลิส, เฮเลน มิร์เรน และมอร์แกน ฟรีแมน  และเรื่อง “Secretariat” ของดิสนีย์ ซึ่งเขาแสดงนำร่วมกับไดแอน เลน เขายังแสดงนำในภาพยนตร์ตลกของพี่น้องโคเอน เรื่อง “Burn After Reading” โดยเขาได้ร่วมแสดงกับ แบร็ด พิตต์, จอร์จ คลูนีย์, ฟรานซิส แม็คดอร์แมนด์ และทิลด้า สวินตัน เขายังได้กลับไปร่วมงานกับ คลิ้นต์ อีสต์วู้ด ในภาพยนตร์ที่ได้รับคำชม เรื่อง “Changeling” ซึ่งเขาร่วมแสดงกับ แองเจลิน่า โจลี่ และเอมี่ ไรอัน
          ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเขา ได้แก่ ภาพยนตร์ของกิลเลส บัวร์ดอส เรื่อง “Afterwards;” ภาพยนตร์ของ ฌอน แม็คกินลี่ เรื่อง “The Great Buck Howard,” “Disgrace,” ภาพยนตร์ของ โรเบิร์ต เซเมกคิส เรื่อง “Beowulf” ซึ่งเขาประกบบทกับ แองเจลิน่า โจลี่, ภาพยนตร์ของ สไปก์ จอนซ์  เรื่อง “Being John Malkovich;” ภาพยนตร์ของ เจน แคมเปี้ยน เรื่อง “The Portrait of a Lady;” ภาพยนตร์ของ วูลฟ์แกง ปีเตอร์เซน เรื่อง “The Line Of Fire;” ภาพยนตร์ของ แกรี่ ซีนีส เรื่อง “Of Mice and Men;” ภาพยนตร์ของ เบอร์นาร์โด เบอร์โตลุคชี่ เรื่อง “The Sheltering Sky”; ภาพยนตร์ของ สตีเฟ่น เฟรียร์ส เรื่อง “Dangerous Liaisons;” ภาพยนตร์ของ สตีเว่น สปีลเบิร์ก เรื่อง “Empire of the Sun;” ภาพยนตร์ของ พอล นิวแมน เรื่อง “The Glass Menagerie;” ภาพยนตร์ของ โรแลนด์ จอฟฟ์ เรื่อง “The Killing Fields” และภาพยนตร์ของ โรเบิร์ต เบนตัน เรื่อง “Places in the Heart”
          จอห์นเคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ 2 ครั้ง ในสาขาดาราสมทบชายยอดเยี่ยมจากภาพยนตร์เรื่อง “Places in the Heart” (1985) และ “In the Line of Fire” (1994)

admin on June 25, 2011, 04:27:33 PM
ประวัติทีมนักแสดงผู้ให้เสียงพากย์



ปีเตอร์ คัลเลน  (PETER CULLEN) ให้เสียงเป็น อ็อพติมัส ไพรม

               ปีเตอร์ คัลเลน ไม่เพียงแต่เป็นผู้ให้เสียงพากย์กับผู้นำกลุ่มออโต้บ็อทส์อย่าง อ็อพติมัส ไพรม ในการ์ตูนซีรีส์ยอดนิยมจากยุค 1980 เรื่อง “The Transformers” เท่านั้น แต่เขายังให้เสียงเป็นหุ่นยนต์หลายตัวด้วยกัน อาทิเช่น ไอรอนไฮด์, สลักสลิงเกอร์, สตรีทไวส์, วิงสปัน และไนท์สติค และในปี 1986 เขาได้กลับมาให้เสียงกับ อ็อพติมัส และไอรอนไฮด์ ในภาพยนตร์การ์ตูน “The Transformers: The Movie” ด้วย
   ในปี 2007 คันเลนชนะใจแฟนๆ หน้าใหม่มากมายเมื่อเขาให้เสียงเป็น อ็อพติมัส ในภาพยนตร์ของไมเคิล เบย์ เรื่อง “Transformers” ซึ่งนำแสดงโดย ไชอา ลาบัฟ, เมแกน ฟ็อกซ์ และจอห์น เทอร์เทอร์โร่ และในปี 2009 เขากลับมาให้เสียงกับอ็อพติมัส ในภาคที่สอง “Transformers: Revenge of the Fallen” นอกจากนี้ เขายังให้เสียงเป็น อ็อพติมัส ไพรม ในการ์ตูนซีรีส์เรื่องใหม่ “Transformers Prime” ที่แฮสโบร สตูดิโอส์ สร้างสำหรับฉายทาง Hub Network และจากการทุ่มเทอุทิศเวลาหลายปีให้กับการสร้างตัวละครที่ทุกคนชื่นชมเหล่านี้ ทำให้เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ปีเตอร์ได้รับการบรรจุเกียรติประวัติเข้าสู่หอเกียรติยศ แฮสโบร ฮอล ออฟ เฟม
   นอกจากนี้ เขายังเป็นผู้ให้เสียงพากย์เป็น อีออร์ ลาที่มองโลกในแง่ร้าย นอกจากนี้ เขายังให้เสียงกับงานทุกประเภท ตั้งแต่การ์ตูนไปจนถึงโฆษณาทางทีวี และโฆษณาตามโรงภาพยนตร์  โดยเริ่มจากการให้เสียงพากย์กับการ์ตูนซีรีส์ยอดนิยม “The New Adventures of Winnie the Pooh” ในปี 1988 จนถึง “House of Mouse” ในปี 2002 นอกจากนี้ เขายังให้เสียงพากย์กับ “Disney’s Duck Tales” และยังเล่นเป็น มอนเทอรี่ย์ แจ็ค ใน “Chip ‘n’ Dale’s Rescue Rangers”
   ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเขา ได้แก่ ภาพยนตร์รีเมกเรื่อง “King Kong” ซึ่งเขาให้เสียงเป็นลิงยักษ์ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง และใน “Predator” เขาให้เสียงเป็นเอเลี่ยนที่เป็นบทนำ เสียงของคัลเลนยังมีให้ได้ยินกันในเรื่อง “My Little Pony: The Movie,” “Heathcliff: The Movie” และ “Gremlins”


ฮิวโก้ วีฟวิ่ง (HUGO WEAVING) ให้เสียงเป็น เมกะทรอน

               ฮิวโก้ วิฟวิ่ง นักแสดงชาวออสเตรเลีย กลับมารับหน้าที่เดิม กับการให้เสียงเป็น เมกะทรอน หัวหน้ากลุ่มดีเซ็ปติคอนที่ชั่วร้าย จากภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์ “Transformers” และ “Transformers: Revenge of the Fallen” ซึ่งกำกับโดย ไมเคิล เบย์ และนำแสดงโดย ไชอา ลาบัฟ, เมแกน ฟ็อกซ์ และจอห์น เทอร์เทอร์โร่
   นอกจากนี้ เขายังแสดงนำในภาพยนตร์ไตรภาคที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสองเรื่องด้วยกัน โดยรับบทเป็นพรายเอลรอนด์ ในภาพยนตร์ไตรภาค เรื่อง “Lord of the Rings” และรับบทเป็นเอเจนท์ สมิธ ในภาพยนตร์ไตรภาค “Matrix” วีฟวิ่งยังให้เสียงพากย์กับวิดีโอเกมส์ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากภาพยนตร์แฟรนไชส์เหล่านี้ด้วย เขายังได้กลับมาร่วมงานกับพี่น้องวาซอว์สกี้ อีกครั้งในภาพยนตร์เรื่อง “V for Vendetta” ซึ่งเขาร่วมแสดงกับ นาตาลี พอร์ตแมน และในภาพยนตร์ของ ปีเตอร์ ฮิมเมลสไตน์ เรื่อง “The Key Man”
   ปี 2010 เป็นปีที่วีฟวิ่งมีงานยุ่งอย่างมาก เขาแสดงนำในภาพยนตร์ดราม่า เรื่อง “Oranges and Sunshine” โดยร่วมแสดงกับ เอมิลี่ วัตสัน และยังร่วมแสดงในภาพยนตร์ทริลเลอร์สยองขวัญ เรื่อง “The Wolfman” ซึ่งเขาร่วมแสดงกับ เบนิซิโอ เดล โทโร่, เอมิลี่ บลันท์ และแอนโธนี่ ฮอปกิ้นส์ เขายังให้เสียงพากย์กับภาพยนตร์แฟนตาซี เรื่อง “Legend of the Guardians: The Owls of Ga’Hoole” ซึ่งกำกับโดย แซ็ค สไนเดอร์
   วีฟวิ่งแสดงนำในภาพยนตร์ทริลเลอร์ อินดี้ เรื่อง “The Key Man” ซึ่งเขาร่วมแสดงกับ ไบรอัน ค็อกซ์ และแจ็ค ดาเวนพอร์ต อีกไม่นานนี้ เขาจะมีผลงานให้เห็นในภาพยนตร์ของมาร์เวล เรื่อง “Captain America: The First Avenger” ซึ่งเขาร่วมแสดงกับ คริส อีแวนส์, โอมินิค คูเปอร์, สแตนลี่ย์ ทุคชี่ และทอมมี่ ลี โจนส์ ซึ่งมีกำหนดเปิดตัวฉายในเดือนกรกฎาคม 2011
   ปัจจุบัน วีฟวิ่งอยู่ระหว่างกลับไปรับบท เอลรอนด์ ในภาพยนตร์เรื่อง “The Hobbit: Part 2” ภายใต้การกำกับของ ปีเตอร์ แจ็คสัน และหลังจากปิดกล้องภาพยนตร์เรื่องนั้นแล้ว เขาจะต่อด้วยการเข้าฉากแสดงภาพยนตร์ของวาซอว์สกี้ เรื่อง “Cloud Atlas” ซึ่งเขาจะร่วมแสดงกับ ทอม แฮงก์ส และฮัลลี่ เบอร์รี่ โดยมีกำหนดเปิดตัวฉายในฤดูใบไม้ผลิ ปี 2012


เลนนาร์ด นีมอย (LEONARD NIMOY) ให้เสียงเป็นเซนติเนล ไพรม

               เลนนาร์ด นีมอยเกิดเมื่อวันที่ 26 มีนาคม ปี 1931 เขาเริ่มแสดงละครเวทีตั้งแต่อายุ 8 ปี จนเลยมาถึงตอนเป็นวัยรุ่น และในปี 1949 เขาตั้งเป้าที่จะเดินทางมายังฮอลลีวู้ด ที่ซึ่งเขาได้เรียนการแสดง และทำงานไปพร้อมกันเพื่อหาเลี้ยงตัวเอง
   นีมอยเริ่มได้รับบทเล็กๆ ในทั้งภาพยนตร์และซีรีส์เพื่อเก็บสะสมประสบการณ์ในการแสดงตั้งแต่ปี 1951 และในปี 1952 เขาได้รับบทนำในภาพยนตร์เป็นครั้งแรกในภาพยนตร์เรื่อง “Kid Monk Baroni” หลังจากนั้น เขาได้ไปรับใช้กองทัพอยู่นานสองปี หลังจากนั้น เขาได้กลับไปทำงานในแวดวงภาพยนตร์จอเงิน จอแก้ว และละครเวที
   ในระหว่างปลายยุค 50 และต้นยุค  นีมอยร่วมแสดงในราการทีวีที่มีชื่อเสียงโด่งดังของยุคนั้นหลายเรื่องด้วยกัน อาทิเช่น “Wagon Train,” “Man from U.N.C.L.E.,” “Rawhide,” “Perry Mason” และ “Combat”
   ความสำเร็จของนีมอยในซีรีส์แนวไซไฟ เรื่อง “Star Trek” ทำให้เขามีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก เมื่อออกอากาศครั้งแรกในปี 1966 มิสเตอร์สป็อค ตัวละครของนีมอย กลายเป็นไอค่อนอยู่นานหลายปี จนต่อมา ซีรีส์เรื่องนี้ได้ขยายเรื่องราวกลายเป็นหนังสือ และต่อมาได้ขึ้นจอเงินด้วยการเป็นภาพยนตร์ถึง 6 เรื่อง และเมื่อเร็วๆ นี้ เขาได้กลับไปรับบทเดิมนี้อีกครั้งเป็นครั้งที่ 7 ในภาพยนตร์เรื่อง “Star Trek” ที่ เจเจ อับรามส์ เป็นผู้กำกับ
   นีมอยยังกลายเป็นผู้กำกับที่ประสบความสำเร็จ โดยเขาเป็นผู้รับผิดชอบงานสร้างภาพยนตร์เรื่อง “Star Trek III: The Search for Spock” และ “Star Trek IV: The Voyage Home” เขายังมีเครดิตในฐานะผู้เขียนเรื่องของภาพยนตร์ “Star Trek IV” และ “Star Trek VI” ซึ่งเขาทำหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างบริหารด้วย
   ภาพยนตร์เรื่อง “Star Trek IV: The Voyage Home” ซึ่งเน้นในเรื่องการช่วยเหลือวาฬหลังค่อม ถือเป็นภาพยนตร์ “Star Trek” ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด
   ผลงานการกำกับภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเขา ยังรวมถึงภาพยนตร์เรื่อง “The Good Mother” ซึ่งนำแสดงโดย ไดแอน คีตัน และเลียม นีสัน, ภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์สุดฮิต เรื่อง “Three Men and a Baby” ซึ่งนำแสดงโดย ทอม เซลเล็ค, เท็ด แดนสัน และสตีฟ กุทเทนเบิร์ก, “Funny About Love” ซึ่งนำแสดงโดย จีน ไวลเดอร์, คริสติน ลาห์ติ และแมรี่ สต๊วร์ต มาสเตอร์สัน และ “Holy Matrimony” ซึ่งนำแสดงโดย แพทริเซีย อาร์เค็ตต์ และโจเซฟ กอร์ดอน- ลิววิตต์


เจมส์ รีมาร์ (JAMES REMAR) ให้เสียงเป็น ไซด์สไวป์

               เจมส์ รีมาร์คือนักแสดงที่สามารถเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นตัวละครทุกรูปแบบที่เขาได้รับเลือกให้เล่น ไม่ว่าจะรับบทเป็นเด็กเกเรข้างถนน อาแจ็กซ์ ในภาพยนตร์ปี 1979 เรื่อง “The Warriors” หรือมหาเศรษฐีเพลย์บอย ริชาร์ด ไรท์ ในซีรีส์สุดฮิตของ HBO  เรื่อง “Sex and the City”
   การอุทิศตนให้กับการสวมบทบาทเป็นตัวละครต่างๆ นำไปสู่การแสดงที่สมจริง อย่างเช่นการรับบท แกนซ์ ในภาพยนตร์ของผู้กำกับ ฮิลล์ เรื่อง “48 Hours” เขาสามารถแสดงบทบาทได้อย่างหลากหลาย ตั้งแต่บทเกย์นาซีที่เขาประกบบทกับ ริชาร์ด เกียร์ ในละครบรอดเวย์ เรื่อง “Bent” และบทเจ้าหน้าที่แผนกยาเสพติดในภาพยนตร์คลาสสิกของ กัส แวน แซนต์ เรื่อง “Drugstore Cowboy” ไปจนถึงบทเจ้าหน้าที่ศุลกากร ในภาพยนตร์ฮิตของ จอน ซิงเกิลตัน เรื่อง “2Fast 2Furious” นอกจากจะรับบทเป็นตัวละครที่ถูกคิดสร้างขึ้นมาแล้ว เขายังเคยรับบทเป็นบุคคลที่มีตัวตนอยู่ในประวัติศาสตร์ อย่างเช่น นายพลโอมาร์ แบร็ดลี่ย์ ในภาพยนตร์เรื่อง “Ike: Countdown to D-Day” และบท ดัทช์ ชูลท์ซ ในภาพยนตร์ของ ฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปล่า เรื่อง “The Cotton Club”
   เมื่อปีที่แล้ว รีมาร์ร่วมแสดงอยู่ในภาพยนตร์ฮิตของ ลอเรนโซ่ ดิ โบนาเวนทูร่า เรื่อง “Red” ซึ่งนำแสดงโดย บรูซ วิลลิส, มอร์แกน ฟรีแมน, จอห์น มัลโกวิช, เฮเลน มิร์เรน และแมรี่-หลุยส์ พาร์คเกอร์
   ในปี 2009 เขาร่วมแสดงในภาพยนตร์ทริลเลอร์ลึกลับ เรื่อง “The Unborn” ซึ่งอำนวยการสร้างโดยบริษัท แพลทตินั่ม ดูนส์ ของไมเคิล เบย์ และกำกับโดย เดวิด เอส โกเยอร์ และในปี 2008 เขาร่วมแสดงในภาพยนตร์ของ จัดด์ อาปาโทว์ เรื่อง “Pineapple Express” ซึ่งกำกับโดย เดวิด กอร์ดอน กรีน และนำแสดงโดย เซ็ธ โรเก้น และเจมส์ ฟรังโก้
   อีกไม่นาน รีมาร์จะมีผลงานใหม่เปิดตัวฉายอย่างภาพยนตร์ดราม่าแนวอาชญากรรม เรื่อง “Set Up” ซึ่งเขาร่วมแสดงกับ บรูซ วิลลิส และไรอัน ฟิลลิปปี้, ภาพยนตร์แอ็กชั่น ทริลเลอร์ เรื่อง “The Killing Game” ซึ่งเขาร่วมแสดงกับ ซามวล แอล แจ็คสัน และเคลเลน ลัทซ์ และภาพยนตร์ของ แมทธิว วอห์น เรื่อง “X-Men: First Class”

admin on June 25, 2011, 04:42:11 PM


คีธ ซาราไบอา (KEITH SZARABAJKA) ให้เสียงเป็น เลเซอร์บีก

              เมื่อเร็วๆ นี้ คีธ ซาราไบอา รับบทเป็น วิคเตอร์ พุทโลว่า พ่อค้าอาวุธรัสเซีย ในสองตอนสุดท้ายของซีรีส์แนวไซไฟสุดฮิตเรื่อง “Sons of Anarchy” เขาจะกลับไปรับบทนี้อีกครั้งในซีซั่นที่ 4 นอกจากนี้ เขายังมีบทประจำอยู่ในสองซีซั่นหลังของ “Cold Case”
   ซาราไบอา ก็คือ เจ้าหน้าที่สตีเฟ่นส์ ตำรวจคู่ใจของสารวัตรกอร์ดอน (แกรี่ โอลด์แมน) ในภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์ของ คริสโตเฟอร์ โนแลน เรื่อง “The Dark Knight”
   ผลงานภาพยนตร์ของซาราไบอา ยังรวมถึงภาพยนตร์ของ แรนดัลล์ วอลเลซ เรื่อง “We Were Soldiers;” ภาพยนตร์ของ ทิม แม็คแคนลี่ส์ เรื่อง “Dancer, Texas;” ภาพยนตร์ของ จอร์จ เอ็ม มิลเลอร์ เรื่อง “Andre;” ภาพยนตร์ของ คลิ้นต์ อีสต์วู้ด เรื่อง “A Perfect World;” ภาพยนตร์ของ คอสต้า แกฟแรส เรื่อง “Missing;” ภาพยนตร์ของ อเล็กซ์ ค็อกซ์ เรื่อง “Walker;” ภาพยนตร์ของ โรเจอร์ โดนัลด์สัน เรื่อง “Marie: A True Story;” ภาพยนตร์ของ เฮอร์เบิร์ต รอสส์ เรื่อง “Protocol;” ภาพยนตร์ของ จอห์น เกรย์ เรื่อง “Billy Galvin;” ภาพยนตร์ของ ลี แกรนท์ เรื่อง “Staying Together” และภาพยนตร์ของ มาร์แชลล์ บริคแมน เรื่อง “Simon”


รีโน วิลสัน (RENO WILSON) ให้เสียงเป็น เบรนส์

               ทุกวันนี้ รีโน วิลสันแสดงนำอยู่ในซีรีส์แนวตลกของ CBS เรื่อง “Mike & Molly” โดยเขารับบทเป็นเจ้าหน้าที่คาร์ล แม็คมิลแลน
   วิลสันมีผลงานภาพยนตร์อยู่กว่าหนึ่งโหล อาทิเช่น “Mighty Joe Young” ที่เขาร่วมแสดงกับ บิลล์ แพ็กซ์ตัน, “Rough Draft,” “Fallen” ซึ่งเขาร่วมแสดงกับ เดนเซล วอชิงตัน และ “White Hype” ที่เขาร่วมแสดงกับ ซามวล แอล แจ็คสัน
   ในฐานะที่เป็นศิลปินผู้ให้เสียงกับตัวละครได้อย่างประสบความสำเร็จ วิลสันจึงได้รับเลือกให้เป็นผู้ให้เสียงเป็นดีเซ็ปติคอน เฟรนซี่ ในภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์ของ ไมเคิล เบย์ เรื่อง “Transformers” และสองปีต่อมา เขาได้ให้เสียงเป็นหุ่นออโต้บ็อท มัดแฟล็พ ใน “Transformers: Revenge of the Fallen”  
   วิลสันยังจะแสดงนำในภาพยนตร์ใหม่ เรื่อง “Bolden” ซึ่งเขาจะรับบทเป็นเจ้าแห่งตำนานแจ๊ซ หลุยส์ “แซ็ทช์โม่” อาร์มสตรอง


เจสส์ ฮาร์เนลล์ (JESS HARNELL) ให้เสียงเป็น ไอรอนไฮด์

               เจสส์ ฮาร์เนลล์ คือหนึ่งในนักแสดงที่เก่งที่สุดและมีงานยุ่งมากที่สุด เขาเคยร่วมงานกับการ์ตูนซีรีส์ทางทีวีมากมายหลายเรื่อง ตั้งแต่ “The Simpsons” และ “Fairly Odd Parents” จนถึง “Special Agent Oso”
   ในปี 2007 ฮาร์เนลล์เป็นนักแสดงเพียงคนเดียวที่ให้เสียงเป็นหุ่นยนต์ถึงสองตัว คือออโต้บ็อท ไอรอนไฮด์ และดีเซ็ปติคอน บาร์ริเคด ในภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์ฮิตถล่มทลายของ ไมเคิล เบย์ เรื่อง “Transformers” สองปีต่อมา เขากลับมาให้เสียงเป็นไอรอนไฮด์อีกครั้งใน “Transformers: Revenge of the Fallen” ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเขา ได้แก่ “Finding Nemo,” “The Country Bears,”  “Toy Story” และ “Up”


โรเบิร์ต ฟ็อกซ์เวิร์ธ (ROBERT FOXWORTH) ให้เสียงเป็น แร็ทเช็ท

                โรเบิร์ต ฟ็อกซ์เวิร์ธ กลับมาให้เสียงเป็น ออโต้บ็อท แร็ทเช็ท รถพยาบาลฮัมวี อีกครั้ง หลังจากที่เคยให้เสียงเอาไว้ในภาพยนตร์ฮิตถล่มทลายของ ไมเคิล เบย์ เรื่อง “Transformers” และ “Transformers: Revenge of the Fallen”
   ฟ็อกซ์เวิร์ธได้แสดงนำในซีรีส์ทางทีวีหลายเรื่องด้วยกัน อาทิเช่น “Storefront Lawyers,” “Falcon Crest” และ “LateLine” เขายังรวมแสดงในซีรีส์เรื่อง “Six Feet Under,” “Law & Order,” “Law & Order: SUV,” “Enterprise” และ “Justice League” เขายังมีบทรับเชิญในซีรีส์อย่าง “Brothers & Sisters,” “Boston Legal,” “Bones,” “The West Wing” และ “Gilmore Girls” และยังร่วมแสดงอยู่ในภาพยนตร์เรื่อง “Syriana”


แฟรงก์ เวลเกอร์ (FRANK WELKER) ให้เสียงเป็น ซาวน์เวฟ/ ช็อคเวฟ

               แฟรงก์ เวลเกอร์ เริ่มรับบทในภาพยนตร์ครั้งแรก ด้วยการร่วมแสดงในฉากตะลุมบอลกันในบาร์ ในภาพยนตร์ของ สแตน ดราโกติ เรื่อง “Dirty Little Billy” เขายังรับบทเป็นเด็กนักศึกษาในมหาวิทยาลัยรัทเกอร์ส ในภาพยนตร์เรื่อง “The Trouble with Girls” ต่อมา เขายังร่วมแสดงกับ ดอน น็อตต์ส ในภาพยนตร์ของยูนิเวอร์แซล เรื่อง “How to Frame a Figg” เวลเกอร์ยังร่วมแสดงในภาพยนตร์ของดิสนีย์อีกสองเรื่อง คือ “The Computer Wore Tennis Shoes” และ “Now You See Him, Now You Don't”
   เวลเกอร์เคยให้เสียงกับตัวละครในการ์ตูนซีรีส์เรื่อง “Transformers” อยู่หลายตัวด้วยกัน รวมถึงตัวการ์ตูนดีเซ็ปติคอน 8 ตัวจากทั้งสิ้น 14 ตัว อาทิเช่น เมกะทรอน, กัลป์วาทรอน, ซาวน์เวฟ, สกายแร็พ, เลเซอร์บีก, รัมเบิล, เฟรนซี่, เรเวจและแร็ทแบ็ท ในภาพยนตร์ภาคที่ 2 “Transformers: Revenge of the Fallen” เวลเกอร์คือผู้ให้เสียงกับหุ่นยนต์ ซาวน์เวฟ และเรเวจ


ประวัติทีมผู้สร้าง

ไมเคิล เบย์  (MICHAEL BAY) – ผู้กำกับ/ ผู้อำนวยการสร้างบริหาร

               ตลอด 16 ปีที่ผ่านมา ไมเคิล เบย์ คือหนึ่งในผู้สร้างภาพยนตร์ที่หาญกล้าที่สุดในโลกทั้งในฐานะผู้กำกับและผู้อำนวยการสร้าง ผลงานภาพยนตร์ของเขาทำรายได้จากทั่วโลกไปมากกว่า $4 พันล้าน
   นับแต่แจ้งเกิดในปี 1995 กับภาพยนตร์เรื่อง “Bad Boys” เบย์กำกับภาพยนตร์ฮิตมาแล้วมากมายหลายเรื่อง ซึ่งเป็นผลงานที่ให้ความหมายใหม่กับภาพยนตร์แนวแอ็กชั่น อย่างเช่น “The Rock,” “Armageddon,” “Pearl Harbor,” “Bad Boys 2,” “The Island” และภาพยนตร์ “Transformers” ทั้งสองภาค
   บริษัทเบย์ ฟิล์มส์ ของเขาที่ตั้งขึ้นในปี 1996 คือหนึ่งในบริษัทผลิตภาพยนตร์ที่ผลิตงานแปลกแหวกแนวที่สุดในฮอลลีวู้ด และยังคงเติบโตขึ้นเรื่อยๆ จนในปี 2001 เบย์ได้ร่วมมือกับ แบร็ดลี่ย์ ฟูลเลอร์ และแอนดรูว์ ฟอร์ม เพื่อตั้งบริษัทแพล็ทตินั่ม ดูนส์ ซึ่งผลิตภาพยนตร์ทุนสร้างต่ำกว่า $25 ล้าน และจนถึงทุกวันนี้ พวกเขาสร้างภาพยนตร์มาแล้ว 8 เรื่อง เบย์ยังเป็นเจ้าของบริษัทสเปเชียล เอฟเฟ็กต์ อย่าง ดิจิตอล โดเมน ด้วย


ลอเรนโซ่ ดิ โบนาเวนทูร่า (LORENZO di BONAVENTURA) – ผู้อำนวยการสร้าง

               ลอเรนโซ่ ดิ โบนาเวนทูร่า เกิดในนิวยอร์ก พ่อของเขา มาริโอ ดิ โบนาเวนทูร่า คือคอนดัคเตอร์ระดับโลก เขาเริ่มต้นทำงานในบริษัทล่องแพในแม่น้ำ ก่อนจะมาทำงานให้กับบริษัทโคลัมเบีย พิคเจอร์ส
    ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 1989 ดิ โบนาเวนทูร่าได้เข้าทำงานกับวอร์เนอร์ บราเธอร์ส ขณะทำงานอยู่ที่นั่น เขาได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการดูแลงานสร้างภาพยนตร์มากกว่า 130 เรื่อง อาทิเช่น “Falling Down” (1993), “A Time to Kill” (1996), “The Matrix” (1999), “Analyze This” (2000), “The Perfect Storm” (2000), “Ocean’s Eleven” (2001), “Harry Potter and the Sorcerer’s Stone” (2001), “Training Day” (2001) และ “Three Kings” (1999)
    ในเดือนมกราคม ปี 2003 ดิ โบนาเวนทูร่า ได้ก่อตั้งบริษัทที่พาราเม้าต์ พิคเจอร์ส นับแต่ตั้งบริษัทมา บริษัทแห่งนี้ผลิตภาพยนตร์มาแล้ว 16 เรื่อง เมื่อเร็วๆ นี้ ดิ โบนาเวนทูร่า พิคเจอร์ส ผลิตภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง เรื่อง “Red” ซึ่งสร้างจากนิยายภาพของ วอร์เรน เอลลิส นำแสดงโดย บรูซ วิลลิส, มอร์แกน ฟรีแมน, จอห์น มัลโกวิช และเฮเลน มิร์เรน ภายใต้การกำกับของ โรเบิร์ต ชเวงท์กี้ ผลงานฮิตทำรายได้เรื่องอื่นๆ ได้แก่ “Salt” ซึ่งกำกับโดย ฟิลิป นอยซ์ ที่มี แองเจลิน่า โจลี่ แสดงนำ, “G.I. Joe: Rise of the Cobra” ซึ่งกำกับโดย สตีเฟ่น ซอมเมอร์ส; “Transformers” และ “Transformers: Revenge of the Fallen” ซึ่งกำกับโดย ไมเคิล เบย์ และนำแสดงโดย ไชอา ลาบัฟ และ “Shooter” ซึ่งกำกับโดย อังตวน ฟูควา และนำแสดงโดย มาร์ก วอห์ลเบิร์ก
   เมื่อเร็วๆ นี้ บริษัทแห่งนี้เพิ่งจะเสร็จจากการสร้างภาพยนตร์เรื่อง “Man on a Ledge” และกำลังเริ่มต้นงานสร้างภาพยนตร์เรื่อง “G.I. Joe 2”


เอียน ไบรซ์ (IAN BRYCE) – ผู้อำนวยการสร้าง

               เอียน ไบรซ์ไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับงานสร้างภาพยนตร์แอ็กชั่นผจญภัยฟอร์มยักษ์ เขาเคยเป็นผู้อำนวยการสร้างให้กับภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์ของ แซม ไรมิ เรื่อง “Spider-Man” ซึ่งนำแสดงโดย โทบี้ แม็คไกวร์ ในปีต่อมา เขาทำหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างให้กับภาพยนตร์ดราม่าของ อังตวน ฟูควา เรื่อง “Tears of the Sun” ซึ่งนำแสดงโดย บรูซ วิลลิส และในปี 2005 เขาอำนวยการสร้างภาพยนตร์ของ ไมเคิล เบย์ เรื่อง “The Island” หลังจากทำหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างให้กับภาพยนตร์เรื่อง “Transformers” แล้ว เขาไปทำหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างบริหารให้กับภาพยนตร์เรื่อง “Hancock” ซึ่งนำแสดงโดย วิลล์ สมิธ, ชาร์ลิซ เธียรอน และเจสัน เบ็ทแมน ภายใต้การกำกับของ ปีเตอร์ เบิร์ก
ในปี 1999 ไบรซ์ได้รับรางวัลลูกโลกทองคำ และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ และรางวัลบัฟต้า จากการทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างให้กับภาพยนตร์ดราม่าของ สตีเว่น สปีลเบิร์ก เรื่อง “Saving Private Ryan” จากนั้น เขาได้ทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างให้กับภาพยนตร์ของ คาเมรอน โครว์ เรื่อง “Almost Famous” ซึ่งคว้ารางวัลลูกโลกทองคำ สาขาภาพยนตร์เพลงหรือภาพยนตร์ตลกยอดเยี่ยม
ผลงานการอำนวยการสร้างเรื่องอื่นๆ ของไบรซ์ ได้แก่ “Forces of Nature” ซึ่งนำแสดงโดย เบน อัฟเฟล็ค และแซนดร้า บูลล็อค, ภาพยนตร์แอ็กชั่น ทริลเลอร์ เรื่อง “Hard Rain” ซึ่งนำแสดงโดย มอร์แกน ฟรีแมน และคริสเตียน สเลเตอร์, ภาพยนตร์ของเพเนโลปี้ สฟีริส เรื่อง “The Beverly Hillbillies” และภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์ของ ยาน เดอ บองต์ เรื่อง “Twister” และผลงานการกำกับเรื่องแรกของเขา “Speed”
   ผลงานเรื่องต่อไป ไบรซ์จะทำหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างให้กับภาพยนตร์ของผู้กำกับ แม็คจี เรื่อง “Ouija”


สตีเว่น สปีลเบิร์ก (STEVEN SPIELBERG) – ผู้อำนวยการสร้างบริหาร

                สตีเว่น สปีลเบิร์ก หนึ่งในผู้สร้างภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จที่สุด และทรงอิทธิพลที่สุดในวงการ คือหุ้นส่วนหลักของดรีมเวิร์กส์ สตูดิโอส์ ในปี 2009 เขากับหุ้นส่วน สเตซี่ย์ สไนเดอร์ ได้ร่วมมือกับ The Reliance Anil Dhirubhai Ambani Group เพื่อก่อตั้งบริษัท ดรีมเวิร์กส์ ซึ่งเป็นส่วนขยายของ ดรีมเวิร์กส์ สตูดิโอส์ ซึ่งก่อตั้งในปี 1994 โดย สปีลเบิร์ก, เจฟฟรีย์ แค็ทเซนเบิร์ก และเดวิด เกฟเฟ่น
          สปีลเบิร์กยังเป็นผู้กำกับที่ทำรายได้สูงสุดตลอดกาล โดยเขาเป็นผู้กำกับภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์อย่าง “Jaws,” “E.T. The Extra-Terrestrial,” ภาพยนตร์แฟรนไชส์ “Indiana Jones” และ “Jurassic Park” นอกจากนี้ เขายังเป็นเจ้าของสามรางวัลออสการ์
          สปีลเบิร์ก ได้รับรางวัลออสการ์ 2 ตัวแรกในสาขาผู้กำกับยอดเยี่ยม และภาพยนตร์ยอดเยี่ยม จากภาพยนตร์เรื่อง “Schindler’s List” ซึ่งได้รางวัลออสการ์ไปทั้งสิ้น 7 รางวัล และยังสามารถคว้ารางวัลจากสถาบันต่างๆ มาครองได้อีกมากมาย
          สปีลเบิร์กได้รับรางวัลออสการ์ตัวที่ 3 จากสาขาผู้กำกับยอดเยี่ยม จากภาพยนตร์ดราม่าเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 2 เรื่อง “Saving Private Ryan” ซึ่งทำรายได้สูงสุดในอเมริกาในปี 1998 และยังเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลต่างๆ มากมายในปีนั้น ซึ่งรวมถึง 4 รางวัลออสการ์, สองรางวัลลูกโลกทองคำ และรางวัลจากสมาคมนักวิจารณ์ต่างๆ
          นอกจากนี้ สปีลเบิร์กยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ ในสาขาผู้กำกับยอดเยี่ยม จากภาพยนตร์เรื่อง “Munich,” “E.T. The Extra-Terrestrial,” “Raiders of the Lost Ark” และ “Close Encounters of the Third Kind” นอกจากนี้ เขายังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลจากสมาคมผู้กำกับ จากภาพยนตร์เรื่อง “Jaws” “The Color Purple,” “Empire of the Sun” และ “Amistad”
          เมื่อเร็วๆ นี้ สปีลเบิร์กกำกับภาพยนตร์ฮิตประจำปี 2008 เรื่อง “Indiana Jones and the Kingdom of the Crystal Skull” ซึ่งทำรายได้จากทั่วโลกไปมากกว่า $780 ล้าน ผลงานใหม่ของสปีลเบิร์ก ที่กำลังจะเปิดตัวฉาย ได้แก่ ภาพยนตร์โมชั่น แค็ปเจอร์ 3D เรื่อง “The Adventures of Tintin: Secret of the Unicorn” ซึ่งเขาทำหน้าที่กำกับ และมีกำหนดเปิดตัวฉายในวันที่ 23 ธันวาคม 2011 รวมไปถึง “War Horse” ซึ่งเขาเป็นคนกำกับ และสร้างมาจากนิยายคว้ารางวัล ภาพยนตร์เรื่องนี้มีกำหนดเปิดตัวฉายในวันที่ 28 ธันวาคม 2011
           เมื่อเร็วๆ นี้ สปีลเบิร์กทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างบริหารให้กับภาพยนตร์ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์เรื่อง “True Grit” ซึ่งกำกับโดยพี่น้องโคเอน เขายังทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างบริหารให้กับภาพยนตร์เรื่อง “Super 8” ที่กำกับโดย เจเจ อับรามส์ และเรื่อง “Cowboys & Aliens” ซึ่งกำกับโดย จอน แฟฟโรว์ ภาพยนตร์ทั้งสองเรื่องนี้จะเปิดตัวฉายในซัมเมอร์นี้
          หน้าที่การงานของสปีลเบิร์ก เริ่มต้นด้วยภาพยนตร์สั้นในปี 1968 เรื่อง “Amblin” ซึ่งทำให้เขากลายเป็นผู้กำกับที่อายุน้อยที่สุดที่ได้เซ็นสัญญาระยะยาวกับทางสตูดิโอ เขาเริ่มได้รับความสนใจเป็นครั้งแรกในภาพยนตร์ปี 1971 ที่สร้างสำหรับฉายทางทีวี เรื่อง “Duel” สามปีต่อมา เขาประเดิมงานกำกับภาพยนตร์เรื่องแรกด้วยเรื่อง “The Sugarland Express” จากบทภาพยนตร์ที่เขาร่วมเขียนบทด้วย ผลงานภาพยนตร์เรื่องต่อมาของเขา ก็คือ “Jaws” ซึ่งเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกที่ทำลายสถิติ $100 ล้าน
          ในปี 1984 สปีลเบิร์กก่อตั้งบริษัทผลิตภาพยนตร์ของเขาเองชื่อว่า แอมบลิน เอนเตอร์เทนเม้นต์ ภายใต้บริษัทแอมบลิน สปีลเบิร์กได้ทำหน้าที่เป็นทั้งผู้อำนวยการสร้าง หรือผู้อำนวยการสร้างบริหารให้กับภาพยนตร์ฮิตอย่าง “Gremlins,” “Goonies,” “Back to the Future I, II, and III,” “Who Framed Roger Rabbit?,” “An American Tail,” “Twister,” “The Mask of Zorro” และ “Men in Black” แอมบลินยังอำนวยการสร้างซีรีส์เรื่องฮิตเรื่อง “ER” โดยร่วมมือกับวอร์เนอร์ บราเธอร์ส เทเลวิชั่น
          ในปี 1994 สปีลเบิร์กร่วมหุ้นกับ เจฟฟรีย์ แค็ทเซนเบิร์ก และเดวิด เกฟเฟ่น ก่อตั้งบริษัทดรีมเวิร์กส์ สตูดิโอส์ บริษัทแห่งนี้ได้สร้างทั้งภาพยนตร์ที่ได้รับคำวิจารณ์ชื่นชม รวมถึงภาพยนตร์โกยรายได้ ซึ่งรวมถึงภาพยนตร์สามเรื่องที่คว้ารางวัลออสการ์ สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมสามปีติดต่อกัอย่าง “AmericanBeauty,” “Gladiator” และ “A Beautiful Mind” ดรีมเวิร์กส์ยังอำนวยการสร้าง หรือร่วมอำนวยการสร้างภาพยนตร์หลากหลายแนว ซึ่งรวมถึงภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์อย่าง “Transformers”; ภาพยนตร์ดราม่าสงครามโลกครั้งที่ 2 ของ คลิ้นต์ อีสต์วู้ด เรื่อง “Flags of Our Fathers” และ “Letters from Iwo Jima” ซึ่งเรื่องหลังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, “Meet the Parents” และ “Meet the Fockers” และ “The Ring”
ภายใต้ชื่อบริษัทดรีมเวิร์กส์ สปีลเบิร์กยังกำกับภาพยนตร์อย่าง “War of the Worlds,” “Minority Report,” “Catch Me If You Can” และ “A.I. Artificial Intelligence”

Google on July 06, 2011, 11:34:03 AM
นางเอกสาวทรานส์ฟอร์เมอร์ส ในชุดเบอร์เบอรี่ (BURBERRY)



          เมื่อเร็วๆ นี้ โรซี่ ฮันทิงตัน ไวท์ลี่ย์ (Rosie Huntington Whiteley) นางเอกสาวแห่งมหากาพย์หนังหุ่นยนต์ ทรานส์ฟอร์เมอร์ส ภาค 3 ตอนดาร์ก ออฟ เดอะ มูน พกพาสัดส่วน และความงามสง่า มาในชุดราตรีเข้ารูป สั่งตัดพิเศษจากเบอร์เบอรี่ (Burberry) ผ้าซาตินสีน้ำเงิน ที่ช่วยขับผิวเธอให้ผุดผ่องเป็นยองใย ในงานฉายหนังรอบปฐมทัศน์ฯ ณ กรุงลอนดอน