ดัชนีปรับตัวลงKTAMลุยทริกเกอร์ฟันด์ต่อ จ่ายผลตอบแทนอัตโนมัติทุก5%ใน10เดือน
นายสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทเสนอขายกองทุนเปิดกรุงไทย 10 เอ็ม5+5% ทริกเกอร์ ฟันด์ ในวันที่ 17 -23 มิถุนายน 2554 อายุโครงการประมาณ 10 เดือน มูลค่าโครงการ 1,000 ล้านบาท เงินลงทุนขั้นต่ำ 10,000 บาท มีนโยบายลงทุนในตราสารแห่งทุน โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยจะเน้นลงทุนในหุ้นสามัญที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในประเทศที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มีแนวโน้มการเจริญเติบโตทางธุรกิจสูง และให้ผลตอบแทนที่เหมาะสมเมื่อเทียบกับระดับความเสี่ยง เงินลงทุนส่วนที่เหลือจะลงทุนในตราสารแห่งหนี้ ตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน ตราสารทางการเงิน และเงินฝาก และ/ หรือตราสารอื่นใด ตามที่คณะกรรมการก.ล.ต. กำหนด
ทั้งนี้ จากราคาเปิดจำหน่าย IPO เริ่มต้นที่ 10.0000 บาทต่อหน่วยลงทุน เมื่อกองทุนมีมูลค่าหน่วยลงทุนตั้งแต่ 10.5000 บาทขึ้นไป ณ วันทำการใด บริษัทจะดำเนินการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติ ในอัตรา 5% ของผลตอบแทน ให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุน โดยโอนเข้าบัญชีธนาคารตามที่ลูกค้าได้กำหนดไว้ ภายใน5 วันทำการ หลังจากนั้น เมื่อกองทุนครบอายุโครงการ หรือกองทุนมีมูลค่าหน่วยลงทุน ตั้งแต่ 11.0000 บาทขึ้นไป เป็นเวลา 3 วันติดต่อกัน หรือเมื่อมูลค่าหน่วยลงทุนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 110 ของมูลค่าที่ตราไว้ (10 บาท ) และทรัพย์สินของกองทุนเป็นเงินสด หรือเทียบเท่าเงินสด ทั้งหมดในสกุลเงินบาท ณ วันทำการใด บริษัทก็จะดำเนินการปิดกองทุน พร้อมสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนทั้งหมดของผู้ลงทุนเข้ากองทุนมันนี่มาร์เก็ต
นายสมชัย กล่าวต่อไปว่า ผู้จัดการกองทุนได้วิเคราะห์ถึง แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งหลังปี 2554 โดยมองว่า ตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มผันผวนในช่วงไตรมาส 3 แต่ยังคงคาดการณ์ว่าจะกลับมาดีขึ้นในไตรมาส 4 ทั้งนี้คาดว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ มีโอกาสฟื้นตัวได้ในช่วงเดือน ส.ค.54 เนื่องจากเป็นช่วงที่คาดว่าเศรษฐกิจโลกจะกลับมาขยายตัวใหม่อีกครั้ง ปัจจัยหนุนสำคัญมาจากสหรัฐฯ จีน และ ญี่ปุ่น รวมถึง คาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะเริ่มชะลอตัว ทางด้านปัจจัยการเมืองในประเทศ คาดว่าจะมีผลกระทบในเชิงลบต่อตลาดในช่วง 1 เดือนก่อนและหลังการเลือกตั้ง และหลังจากนั้นคาดว่าจะมีความชัดเจนในเรื่องรัฐบาลใหม่ ความกังวลในกรณีที่ธนาคารกลางสหรัฐฯไม่ต่อมาตรการ QE2 จะมีความชัดเจนขึ้นในเดือน ก.ค.โดยในกรณีที่ทางธนาคารกลางสหรัฐฯไม่ต่ออายุมาตรการ QE2 อาจส่งผลกระทบให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯแข็งค่าขึ้น ซึ่งมีผลกระทบต่อราคาสินทรัพย์เสี่ยง ทั้งตลาดหุ้นและสินค้าโภคภัณฑ์
อย่างไรก็ตาม ประเมินว่าธนาคารกลางสหรัฐฯจะยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินเป็นแบบเข้มงวดโดยทันทีภายในปี 2554 ซึ่งทำให้การแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯจะเกิดขึ้นเพียงระยะสั้น ปัญหาวิกฤตหนี้ยุโรปคาดว่าจะดำเนินต่อไปและกระทบต่อตลาดฯ แต่คาดว่าจะไม่รุนแรงเท่ากับที่เกิดขึ้นกับกรีซ เนื่องจากตลาดฯเริ่มรับรู้แล้วว่าประเทศกรีซ โปรตุเกส และ ไอร์แลนด์ มีโอกาสผิดนัดชำระหนี้ ด้านเงินทุนต่างประเทศยังคงมีแนวโน้มไหลเข้าตลาดหุ้นไทย เนื่องจาก ผลการดำเนินงานของบจ.ยังคงสามารถเติบโตได้ 15% โดยเฉลี่ยใกล้เคียงกับภูมิภาคเอเชีย และ ภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงเติบโตได้จากการบริโภคและการลงทุนในประเทศ ถึงแม้จะชะลอตัวลงตามภาวะเศรษฐกิจโลกบ้างก็ตาม ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากปัจจัยระยะสั้น โดยนักลงทุนต่างชาติมีมุมองในเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทยในแง่ของประเทศที่มีการบริโภคที่แข็งแกร่ง โดยรวมคาดว่าดัชนีฯมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้สูงสุดในช่วงปลายปี 2554 ที่ 1200 จุด
ทั้งนี้ ในช่วงเวลานี้ จึงเป็นโอกาสที่ดี สำหรับการเปิดจำหน่ายกองทุนดังกล่าว เพราะราคาดัชนีตลาดหลักทรัพย์มีการปรับตัวลดลงมาค่อนข้างมาก จากดัชนีสูงสุดในวันที่ 21 เมษายน 2554 อยู่ที่ 1,113.63 จุด ลดลงมาปิดเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2554 อยู่ที่ 1,030.31 จุด หรือลดลงประมาณ 7.50% กองทุนจึงมีโอกาสถึงเป้าหมายตามที่ได้กำหนดไว้ และที่ผ่านมาบริษัทประสบความสำเร็จในการบริหารกองทุนประเภท Trigger Fund อย่างต่อเนื่อง ถึง 2 กองทุน อายุโครงการ 10 เดือน โดยกองทุน KT - Trigger Fund 1 ใช้เวลา ประมาณ 2 เดือน และกองทุน KT- Trigger Fund 2 ใช้เวลาประมาณ 6 เดือน ในการสร้าง ผลตอบแทน 10 %