happy on June 05, 2011, 04:10:25 PM

จัดจำหน่ายโดย   เอ็ม พิคเจอร์ส  
ชื่อภาษาไทย   “อยากดัง แต่มันดันแป๊ก”
เว็ปไซด์ตัวอย่างภาพยนตร์   http://killingbonoblog.com/
         
ภาพยนตร์แนว   คอมเมดี้
จากประเทศ      สหรัฐอเมริกา
กำหนดฉาย      16 มิถุนายน 2554
ณ โรงภาพยนตร์   เครือเมเจอร์ซีนีเพล็กซ์
นักแสดง    Ben Barnes (The Chronicles of Narnis: Prince Caspia, Stardus), Robert Sheehan (Season of the Witch, Misfits Tv Serie), Krysten Ritter(Confession of Shopaholic,Gravity Tv Serie)

ผู้กำกับ      Nick Hamm (The Hole)

อำนวยการสร้าง   Piers Tempest

จุดเด่น   
          ภาพยนตร์ที่สร้างจากหนังสือ Killing Bono : I Was Bono's Doppelgänger ของ Neil McCormick เขียนจากเคร้าโครงเรื่องจริงของนักเขียนเอง Neil และ Ivan สองพี่น้องชาวไอริชที่พยายามจะเป็นร็อคสตาร์ โดยได้นักแสดงวัยรุ่นสุดฮ็อต เบน บาร์นส มารับบทนำ



เรื่องย่อ

               เนล  แม็คคอร์มิค (เบน บาร์นส) รู้ตัวเสมอว่า เขาเกิดมาจะต้องมีชื่อเสียง  เด็กหนุ่มไอริช เชื่อมั่นในความสามารถ ทั้งร้อง และเขียนเพลง ของตัวเองว่า  ดีเพียงพอที่จะก้าวสู่ชีวิตนักดนตรีร็อกผู้มีชื่อเสียง   หากแต่ ตำแหน่งนักร้องนำของวงดนตรีโรงเรียน วง The Hype  ตกเป็นของ พอล (มาร์ติน  แม็คคานน์)  เพื่อนของเขาไปเสียแล้ว  ดังนั้น เนลจึงก่อตั้งวงดนตรีของตัวเองร่วมกับ น้องชาย อีวาน (โรเบิร์ต  ชีฮาน)  เนลตัดสินใจลาออกจากวง เพื่อเริ่มต้นเส้นทางดนตรีของตัวเอง  แต่อุปสรรคปัญหาเดียว ก็ยังเหมือนเดิม วง The Hype ซึ่งเปลี่ยนชื่อเป็น ‘U2’ และ พอล  ก็เปลี่ยนเป็น “โบโน่”  เหลือเพียงหนทางเดียวสำหรับ เนล  คือ ต้องสร้างชื่อเสียงให้โด่งดังยิ่งใหญ่กว่า วง U2  สองคนพี่น้องเดินทางมาลอนดอน เพื่อตามล่าความฝัน แต่หนทางกลับตีบตันด้วยความอยุติธรรมในวงการเพลง  ทุกๆ กิจกรรมของเนล และ อิวาน  ถูกเปรียบเทียบกับเพื่อนร่วมโรงเรียนเก่า  เพื่อให้พวกเขาได้มีโอกาสสร้างชื่อเสียงของตัวเอง   เนลได้เปิดเผยบางอย่าง เกี่ยวกับ U2  ที่ทำให้ อิวาน ถึงกับช็อกสนิทไปเลย ความฝันที่จะโด่งดังเป็นดาวดังเพลงร็อกแอนด์โรลล์ ถูกย่ำยี   เนล รู้สึกว่า  ความล้มเหลวในชีวิตของเขา  เป็นเพราะความสำเร็จโด่งดังเกินไป ของ โบโน่  หรือ ว่า  เขาเกิดมาเพื่อเป็น  ฝ่ายตรงข้ามของ โบโน่?  เขาต้องใช้ชีวิตอยู่ภายใต้เงามืดของซูเปอร์สตาร์ตลอดไปอย่างนั้นหรือ ?  โลกนี้จะเป็นอย่างไร ถ้าหากว่า  เขาฆ่า “โบโน่ U2” ให้ตายซะ????
« Last Edit: June 17, 2011, 02:08:04 PM by happy »

happy on June 05, 2011, 04:15:40 PM

ถ้อยแถลงจากทีมงาน

นิค  ฮามม์ / ผู้กำกับภาพยนตร์

               พวกเราทุกคน  อยู่ในสังคมที่มองเห็นว่า  มีแต่คนดังเป็นผู้ชนะและประสบความสำเร็จ   และคนส่วนใหญ่ อย่างพวกเราก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จขนาดนั้น เราไม่อาจคาดหวังว่า ชีวิตจะประสบความสำเร็จขนาดนั้นได้ แล้วก็ไม่มีหนทางอะไรให้เราทำได้เลย   ผมอยากเล่าเรื่องของทุกๆคนที่ติดอยู่ในวังวน ที่อยากจะประสบความสำเร็จ ซึ่งคนส่วนใหญ่มักจะจบเส้นทางลงด้วยความล้มเหลว  
           Killing Bono เป็นหนังตลก เกี่ยวกับความล้มเหลว ถ่ายทอดผ่านประสบการณ์ ล่าฝัน ของคู่พี่น้อง ที่ไขว่คว้าหาชื่อเสียง   แต่ต้องเจอกับคู่แข่งสำคัญ   เมื่อชื่อเสียงของเพื่อนร่วมโรงเรียนได้กลายเป็นวงดนตรีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก   ตามคำกล่าวของ กอร์ วิดาล ที่ว่า “ ทุกครั้งที่เพื่อนประสบความสำเร็จ อายุเราก็สั้นลงไปอีกนิด”  มันเป็นเรื่องราวอ่อนไหวของทุกๆคนที่รู้สึกว่า ชีวิตฉันไม่ประสบความสำเร็จสักที
           และมันจำเป็นมากที่เราต้องบอก ว่า  หนังเรื่องนี้ ไม่ใช่เรื่องจริงทั้งหมด ครั้งแรกผมได้ยิน การสัมภาษณ์  ของผู้เขียน  เนล  แม็คคอร์มิค ในรายการวิทยุ  และหลังจากผมได้อ่านหนังสือ   “I Was Bono’s Doppelganger”  ผมก็เห็นความเป็นไปได้ที่ทำให้เป็นหนังสนุก จับเอาประสบการณ์ล่าฝัน  การผจญภัยของ เนล ที่ได้เรียนรู้และเติบโตกับเรื่องนี้มาบอกเล่าเรื่องราวในหนังสือเป็นเหมือนการรวบรวมเอา เกร็ดเล็ก เกร็ดน้อย มีความหลากหลายอารมณ์  ทั้งตลก ดราม่า ซาบซึ้ง และ รุนแรง เช่นเดียวกับชีวิตจริง  แต่เพื่อให้เป็นหนังเล่าเรื่องด้วยองค์ประกอบทั้งหมดได้  เราก็ต้องสร้างปมประเด็นของเรื่องขึ้นมา  ซึ่งในหนังของเรา เนลโกหก น้องชายของตัวเอง  อิวาน เกี่ยวกับเรื่องของวงดนตรี U2 และนั่นก็ทำให้เรื่องนี้กลายเป็นหนังตลก
           ความแตกต่างของโลกภาพยนตร์ คือ ในหนัง  คุณสามารถทำให้มันน่าเชื่อถือ และ เล่าอย่างสมจริงแค่ไหนก็ได้ แต่เรื่องของคุณไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องจริง ตามนั้นเป๊ะๆ   แค่ทำให้ผู้ชมรู้สึกสมจริง และ แก่นสาระของหนังก็จะสะท้อนออกมาผ่าน อารมณ์ความรู้สึกตัวละครที่คนดูร่วมติดตาม  ผ่านตัวละครหลัก  เนล  แม็กคอมิค ที่จะพาคนดูเข้าถึงชีวิตตัวละครในหนัง  แม้ว่า มันจะไม่ได้เป็นเรื่องจริงจริงไปหมดทุกเหตุการณ์ก็ตาม  
การทำหนังเรื่องนี้  ผมได้ร่วมงานกับ วงดนตรี U2 และ ก็สองผู้มีประสบการณ์ในหนังตลกสไตล์ไอริช  ดิค  คลีเมนท์ และ เอียน  ลาเฟนเนส   พวกเขาทำให้โปรเจคหนังนี้ ได้รับความสนใจอย่างมาก และ พวกเขาก็เป็นทีมที่เหมาะเจาะกับหนังมาก  การรวมทีมระหว่างคู่หูหนังตลก กับ นักเขียนบทพรสวรรค์  ซิมนอน แม็กซ์เวลล์ ทำให้หนังตลกเรื่องนี้ก้าวไปสู่อีกระดับ
           หนังใช้เวลาถ่ายทำนาน 5 ปี  ประสบการณ์ของผมในหนังเรื่องนี้น่าสนุกในทุกๆ ช่วงเวลา  เหมือนกับหนังส่วนใหญ่  เราเขียนบทแล้วก็แก้บท คัดเลือกนักแสดง แล้วก็คัดตัวอีก ความสามารถในการแสดงตลก และ แสดงอารมณ์อ่อนไหวเป็นสิ่งสำคัญของอารมณ์ขัน  ผมต้องค้นหานักแสดงที่สามารถพาเราติดตามจดจ่อไปกับเรื่องราว  และต้องรับบทเป็นพวกแอนตี้ฮีโร่  พร้อมๆกับต้องดูน่าเห็นใจกับความตั้งใจที่ต้องผิดหวังเสมอๆ  มันเป็น 2 อย่างที่ต้องรวมกันอย่างมีความหมาย  ดังนั้นต้องเป็นนักแสดงที่น่าหลงใหล แต่ทำสิ่งโง่ๆ ในเวลาเดียวกัน  นักแสดงต้องรักษาสมดุลระหว่าง  หัวรุนแรง และ ด้านอ่อนโยน และ เราก็พบสิ่งเหล่านี้ในตัว เบน บาร์เนส  ที่คุณจะเห็นความเป็นมนุษย์ ความใฝ่ฝันของตัวละครนี้
          โรเบิร์ต  ชีฮาน  มีความเป็นธรรมชาติมากในการแสดง ทั้งสัญชาตญาณ อารมณ์ขัน และ ความจริงจัง  การแสดงระหว่าง โรเบิร์ต กับ เบน นั้นสมบูรณ์แบบมากในหนัง  โรเบิร์ต รับบทน้องชายที่ถูกปกป้องโดยพี่ชาย ที่รับบทโดย เบน บาร์เนส
เพราะเป็นหนังเพลง ผมจึงต้องแน่ใจว่า จะมีคนเก่งด้านดนตรีมาร่วมกันช่วยงานผมด้วย   ในส่วนนี้เราได้ โปรดิวเซอร์เพลง  เอียน  ฟลอค์ส  ผู้ซึ่งทำงานร่วมกับวง U2 มานานกว่า 20 ปี และ แต่งเพลง และ นักดนตรี ที่รู้จักดี   ได้ ร่วมงานกับ “โจ แอคโค”  ดูเหมือนผมจะได้ประสบการณ์ ทำงานวงการเพลงแบบทั้งในอดีต และปัจจุบันพร้อมๆ กัน
          เพราะผมเติบโตมาใน เมืองเบลฟาสต์  ในยุค 70 ผมหลงรักความหลัง  สมัยที่ได้ไปดู โรซี่ กัลเลเกอร์ และ ทิน เลซซี่  วงดนตรีที่เป็นแรงบันดาลใจของ เนล  แม็กคอร์มิค  ในช่วงเวลาที่ดนตรีไอริช มีชีวิตชีวาที่สุด  ดังนั้น จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ผมจะถ่ายทำหนังเรื่องนี้ ในไอร์แลนด์  ซึ่งทำให้เป็นไปได้มากที่จะเล่าเรื่องราวนี้ ด้วยบรรยากาศ แบบไอริชอย่างแท้จริง  แต่สามารถนำผู้ชมไปสู่เรื่องราวของความฝันที่เป็นสากลได้
« Last Edit: June 17, 2011, 02:08:55 PM by happy »

happy on June 05, 2011, 04:19:29 PM


เพียร์ส  เทมเพสต์ | ผู้อำนวยการสร้าง

               หนึ่งในเหตุผลหลักที่เราสามารถทำหนังเรื่องนี้ได้สำเร็จ  ด้วยงานสร้างขนาดนี้ และ มีศิลปินคุณภาพระดับนี้อยู่ในหนัง  เพราะว่า  ทุกคนทุ่มเทให้กับหนังเรื่องนี้   เมื่อได้อ่านบทหนัง พวกเขาสามารถเชื่อมโยงตัวเองเข้ากับแก่นของความพยายาม  ความอยากมีชื่อเสียง แต่ลึกๆแล้ว ล้มเหลว โดยพื้นฐานเรามักพยายามก้าวข้ามขั้น เกินตัวเราขึ้นไปเสมอ   โดยเฉพาะ เราได้นักแสดง เบน บาร์นส , โรเบิร์ต ชีฮาน และ พีท  พอสเธลวิต ผู้ซึ่งทุ่มเทให้กับหนังเรื่องนี้อย่างมาก ตั้งแต่วันแรก

เอียน  ฟลอค์ส / ผู้อำนวยการสร้าง

               ผมได้รับคำแนะนำให้รู้จัก นิค  (ผู้เขียนหนังสือ)  ผ่านเพื่อน ที่บอกเขา ว่า ผมรู้จัก U2 อยู่บ้าง  เราจึงไม่ต้องเสียเวลาเลย  นิคกับผม พบกันครั้งแรก และเราก็คุยเรื่องหนังกันได้เลย แล้วมันก็ได้ผลจริงๆ ผมเคยทำงานเป็นเอเจนท์ ให้กับ วงดนตรี  U2 ประมาณ 20 ปี จากช่วงปี 1978 ช่วงแรกๆ ที่พวกเขาเริ่มอาชีพ ดังนั้น คุณก็สามารถพูดได้ว่า ผมรู้จักพวกเขาอยู่บ้าง และ รู้เรื่องของวงการดนตรีในช่วงเวลานั้นด้วย
            หนังเริ่มเรื่องช่วงปี 1978 ดังนั้น 2 เพลงแรกในหนังจึงเป็นเพลงในยุคนั้น เพลงที่ วงของเนลร้อง เป็นเพลงของ Eddie and the Hot Rods ซึ่งเป็นหนึ่งในเพลงฮิตปี 1976  Eddie and the Hot Rods  พวกเขาเป็นวงบิ๊กแบนด์  แต่พวกเขามาก่อน ที่แนวเพลงพังค์ร็อกจะได้รับความนิยม  ดังนั้น พวกเขาประสบความสำเร็จอย่างสวยงามในตอนแรก  จนเมื่อพังค์ร็อกเข้ามา พวกเขาก็ค่อยๆ หายไป และไม่ได้รู้ตัวถึงศักยภาพความเจ๋งของตัวเองเลย  ดังนั้นเราจึงคิดว่า  เป็นเพลงที่เหมาะที่สุดสำหรับ เนล จะร้องในช่วงเริ่มต้นอย่างเปี่ยมความหวัง
          สำหรับเพลงของวง The Hype (ซึ่งต่อมา กลายเป็นวง U2) เล่นในตอนเริ่มของหนัง   ชื่อเพลง “Street Missions” เป็นเพลงที่เขียนโดย U2 เอง เท่าที่ผมรู้ เพลงนี้ยังไม่เคยบันทึกเสียงมาก่อนด้วย ดังนั้น การเล่นในหนังเรื่องนี้ จะเป็นครั้งแรกของเพลงนี้ และผมก็คิดว่า วงดนตรีในหนังเรื่องนี้เล่นได้ดีมาก โดยเฉพาะส่วนของ มาร์ติน แม็คคานน์ ที่แสดงเป็น โบโน่ ตอนวัยรุ่น ได้ดีเหมือนโบโน่ ตอนนั้นมาก
           เราเพิ่มส่วนที่เป็นนิยายเรื่องแต่ง เข้าไปในอย่างที่เราคิดว่า วงของ เนล จะเป็นไป  จากวง พังค์ร็อก ไปสู่นิวโรแมนติก แล้วก็ไป ร็อก เราเจอ นักร้องนักแต่งเพลงที่ยอดเยี่ยม  โจ  เอ็คโค ผู้ซึ่งเขียนเพลง และโปรดิวซ์เพลงร่วมกับ โปรดิวเซอร์ของ U2 ไมค์  เฮด์เจส  
« Last Edit: June 17, 2011, 02:09:29 PM by happy »

happy on June 05, 2011, 04:25:17 PM
เนล  แม็คคอร์มิค / ผู้เขียนหนังสือ  “I Was Bono’s Doppelganger”

               ผมเขียนหนังสือ เล่าเรื่องชีวิตตัวเองที่ล้มเหลวในการเป็นนักดนตรี  ผมเคยมีฝันจะเป็นร็อกสตาร์ชื่อดัง  แต่โชคร้ายที่ มันกลายเป็นโบโน่ เพื่อนสมัยเรียนของผมแทน  ในขณะที่วงของเขาได้เล่น ในสนามเวมบลีย์  ผมลงท้ายด้วยการเล่นในโรงจอดรถม้า  ซึ่งเป็นเวทีที่ดีที่สุดที่เราได้แสดงแล้ว  มันเป็นเรื่องราวการล้มเหลวของผม ผู้ซึ่งอยู่ในเงามืดของเพื่อน และตอนนี้ได้ถูกถ่ายทอดเป็นหนังจอเงิน
          เบน เป็นนักแสดงที่หล่อเหลามาก และ ถ้าเราจะต้องให้ใครแสดงเป็นเราขึ้นจอ เราก็อยากได้คนที่ดูดีกว่าตัวเราเองจริงๆ   และ ผมคิดว่า เขาดูตรงกับภาพของผมในเวลานั้น  เขาทุ่มเทพลัง และ จิตวิญญาณกับตัวละครนี้ และผมก็เห็นบางส่วนของตัวเองในตัวเขา  จากเท่าที่ผมเห็นการแสดงของเบน  ในหนัง ตัวเนลไม่ได้ดูเป็นไอ้ขี้แพ้  เพราะคุณจะเห็นความหลงใหล และ ความเชื่อในสิ่งที่เขาทำ  และ สิ่งนี้ล่ะ ทำให้การผจญภัยของเขา กลายเป็นสิ่งที่มีค่า คู่ควรให้ลงมือทำ




ปากคำจากนักแสดง

เบน  บาร์นส  ( รับบท เนล แม็คคอร์มิค)

               ผมอ่านบทหนังเรื่องนี้รวดเดียว  จากในโน้ตบุ้คของผม ตอนนั้น ผมอยู่อีกด้านหนึ่งของซีกโลก  และมันเป็นบทหนังเรื่องแรกที่ผมอ่านไปหัวเราะไปแทบทุกหน้า  ผมคิดว่า มันเยี่ยมมากที่จะแสดงเป็นใครที่ตลกขนาดนี้  และไม่ทำให้ตัวเองเครียดจนเกินไป
           ผมวางตัวเองอยู่ในคาแร็คเตอร์ตัวละคร ด้วยการใช้สำเนียงพูดแบบไอริช อยู่นานเป็นเดือน แล้วคุณก็พบว่า  ตัวเอง เริ่มพูดจาผิดแผกไปจากเดิม  การพูดของเนลในหนัง อาจจะกวนโมโหคนอื่นอยู่บ้าง  เพราะสำเนียงไอริชให้ความรู้สึกเหมือนกำลังพูดปรัชญา ซึ่งมันทำให้ตลกเข้าไปอีก  
           ช่วงก่อนคริสต์มาส  พวกเราได้เดินทางไปที่สตูดิโอทางเหนือของไอร์แลนด์  พบกับ โจ  เอ็คโค่  ผู้เขียนเพลง ในช่วงเวลาสัปดาห์กว่าที่เราบันทึกเสียงเพลงในหนังด้วยกัน  ผมมีช่วงเวลาพิเศษสุดๆ ที่ได้เล่นดนตรีหลากหลายแนว
          ในการเตรียมตัวเพื่อแสดงในฉากเล่นดนตรี ผมคิดถึงบรรดาคนเบื้องหนัง ที่เนล ใฝ่ฝันอยากจะเป็น อย่าง เฟรดดี้ เมอร์คิวรี่, บอง โจวี่ , เดวิด โบวี่ บรรดาคนที่ทำให้ผู้คนคลั่งไคล้ได้  ผมดูคลิปการเต้นของ  มิค  แจ็คเกอร์ เพื่อเป็นแรงบันดาลใจก่อนจะขึ้นแสดงบนเวทีด้วย
          ผมไม่คิดว่า หนังเรื่องนี้จะสำเร็จไม่ได้ถ้าไม่ใช่ผู้กำกับฯ อย่าง นิค ฮามม์ เขาถ่ายทำฉากที่มีพลัง และ แสดงออกถึงความหลงใหล   แสดงให้เห็นความรักที่เขามีกับหนังเรื่องนี้   หนังสุดสนุกเรื่องนี้ ไม่ใช่แค่ตลก แต่มีรากฐานเกี่ยวกับเศร้า  แต่หนังถ่ายทอดออกมาเป็นความตลกร้ายได้สำเร็จ

« Last Edit: June 17, 2011, 02:10:09 PM by happy »

happy on June 05, 2011, 04:32:34 PM
โรเบิร์ต  ชีฮาน (รับบท  อิวาน  แม็คคอร์มิค)

               ผมดึงตัวเองเข้ากับเรื่องราว  การแสวงหาชื่อเสียง และ ความสำเร็จของเนล ได้  แค่ผมอาจจะไม่ใช้วิธีบ้าๆ แบบเขา  แต่ผมก็อนุมาน ว่า เป็นธรรมชาติของ เนล  แม็คคอร์มิค คนในหนัง  เขาหน้าตาดี และ ร้องเพลงได้ แต่เขาทำร้ายตัวเขาเองได้ทุกครั้งไป   และ ผมคิดว่า  เมื่อคนดูหนังเรื่องนี้ ผู้ชมจะมีความหวังและร้องไห้ให้กับเขาที่จะไม่เลิกหมกมุ่นกับการไขว่คว้าหาชื่อเสียง
          เป็นช่วงเวลาที่สนุกมาก  เมื่อเบนกับผม บันทึกเสียงร้องเพลงด้วยกัน  เบนกลายเป็นตัวละคร เนลไปจริงๆ  และ อิวานก็ต้องใช้เวลาอีกนานหลายปี กว่าจะได้มาบันทึกเสียงในสตูดิโอ ได้ทำงานเพลงอย่างมืออาชีพ   ซึ่งหมายถึงการได้เซ็นสัญญากับค่ายเพลงด้วย  และมันเป็นเหมือนการเยาะเย้ย  ที่พวกเราได้บันทึกเสียงร้องเพลง ก่อนจะเริ่มเปิดกล้องถ่ายทำหนัง


มาร์ติน  แม็คคานน์ ( รับบท  โบโน่)

                ผมเข้ามาออดิชั่นบทนี้  ต่อหน้าผู้กำกับฯ, ผู้เขียนบท และ หนึ่งในผู้อำนวยการสร้าง  แล้วพวกเขาก็มอบหมายบทนี้ให้ผมทันที ในห้องนั้นเลย  ซึ่งมันแปลกมาก มันไม่เคยมีมาก่อน แต่ผมไม่ได้กังวลกับบทนี้เลยสักนิดเดียว
           การได้รับบทเป็นโบโน่  โดยที่คุณไม่ได้มีน้ำเสียง และ หน้าตาเหมือนกับโบโน่  แต่ถ้าคุณจับหลักการ  แบบโบโน่ ได้ และ ยึดวิธีการเคลื่อนไหวของเขาได้  ทำให้เป็นเขาได้อย่างน่าเชื่อถือ
           ผมชอบการถ่ายทำ ส่วนที่เกี่ยวกับการแสดงดนตรี  คุณได้แสดงแบบสดๆ  และก็เหมือนเป็นดาราเพลงร็อก (แม้ว่า มันจะแค่ไม่กี่นาที)  แล้วก็มี เด็กสาววัยรุ่นมากรี๊ดคุณ มาชื่นชมคุณ โดยที่คุณไม่ต้องเล่นดนตรีเก่งมาก เพราะผู้กำกับฯสั่งให้พวกเธอมากรี๊ดคุณ  มารักคุณ  การได้แสดงฉากนี้มันสนุกมากๆเลยครับ


พีท  พอสเธลวิต (รับบท  คาร์ล)

               ไม่บ่อยที่ผมจะได้แสดงบท อย่าง คาร์ล  เป็นเกย์ และมีสีสันมาก  มันเยี่ยมอยู่แล้วที่เราจะได้แสดงเป็นสิ่งที่เราไม่เคยทำมาก่อน  เป็นการทำงานที่สดชื่น สดใส ที่ได้ทำงานกับนักแสดงหนุ่มๆ อายุน้อย เพราะพวกเขายังไม่แบกรับอะไรมาก  ผมเคยทำงาน กับมาร์ติน  แม็คคานน์ มาก่อน เขามีความซื่อ และ ถ่องแท้ในการแสดง  ซึ่งผมคิดว่า บางทีนักแสดงอายุมากอย่างเรา อาจจะแบกรับอะไรที่ไม่จำเป็นไว้มากเกินไป

คริสเตน  ริตเตอร์  (รับบท กลอเรีย)

               ฉันชอบดนตรีอยู่แล้ว  และ ตอนที่ฉันอ่านบทเรื่องนี้ ฉันก็เข้าถึงสิ่งที่หนังอ้างถึงได้ทันที และฉันก็สนุกกับมันตั้งแต่เริ่ม   เพลงแรกที่ฉันฝีกเล่นกีต้าร์ ก็แกะจากเพลง Gloria ของ วง U2 ดังนั้น ฉันก็เลยชอบมันจริงๆ  แล้วมันก็มีความหมาย ฉันปลีกเวลาตลอดคริสต์มาส เพื่อมาซ้อมกับ เบน และ โรเบิร์ต  และ ฉันคิดว่า  พวกเขาเป็นนักแสดงตัวจริงเลย   ร็อบบี้ (โรเบิร์ต) ขึ้นกล้องมาก  และ เบน ก็เป็นธรรมชาติมาก  และดูสนุกมากที่ได้แสดง  เรารู้สึกได้ถึงพลังงานที่แล่นไปมาระหว่างฉากถ่ายทำ  เราสนุกมากที่ได้ถ่ายหนังเรื่องนี้ด้วยกัน

happy on June 17, 2011, 02:11:31 PM
 ::) ::)

Google on June 28, 2011, 05:57:23 PM
KILLING BONO “แป้ก” ร้อยครั้ง ก็ต้อง “ดัง” สักครั้ง...จนได้ ป่วนแน่ 30 มิถุนายนนี้
 
หนังตลกสุดป่วน Killing Bono เตรียมอาละวาดแล้ว ที่โรงภาพยนตร์เฮ้าส์ อาร์ซีเอ พฤหัสบดีที่ 30 มิถุนายนนี้

          สร้างจากเรื่องจริงที่จริงยิ่งกว่าจริง ของไอ้หนุ่ม นีล แม็คคอร์มิค จากไอร์แลนด์ ที่วาดฝันอยากเป็นร็อคสตาร์ แต่ฝันนั้นพลันดับวูบ เมื่อเจอเพื่อนร่วมชั้นที่ชื่อ พอล ฮิวสัน คว้าตำแหน่งนักร้องนำของวงดนตรีประจำโรงเรียนไปหน้าตาเฉย ความพยายามของนีลยังไม่หมดลงง่าย ทว่าสิ่งเดียวที่เขาทำได้ ก็คือการมองพอล ฮิวสันด้วยความอิจฉาในโชคชะตาที่พุ่งขึ้นเอาๆ จนฉุดไม่อยู่ ส่วนตัวเขาก็ย่ำอยู่กับที่เหมือนเดิม

          วันหนึ่ง พอล ฟอร์มวงดนตรีใหม่และใช้ชื่อวงว่า U2 และไอ้เจ้าพอลอีกนั่นแหละ มันจัดการเปลี่ยนชื่อตัวเองเป็น โบโน่! นับจากนั้นก็ไม่มีใครในโลกไม่รู้จักชื่อเขา

          ใช่แล้ว นี่คือ เรื่องราวประวัติศาสตร์สุดกวนติ่งของวง U2 ที่ถูกเล่าอย่างแสบๆ คันๆ โดย นีล แม็คคอร์มิค ชายคนเดียวในโลกที่ต้องการฆ่าโบโน่ ซึ่งนีลได้เขียนมันออกมาเป็นหนังสือขายดีชื่อ Killing Bono, I was Bono’s Doppelganger

          ผู้กำกับ นิค แฮมม์ ผู้มีเครดิตทำหนังวัยรุ่นธริลเลอร์สุดดำมืดเรื่อง The Hole ดัดแปลง Killing Bono มาเล่าใหม่ในฉบับภาพยนตร์ โดยดึงตัว เบน บาร์นส์ ไอ้หนุ่มหน้าหล่อ เจ้าของบทเจ้าชายแคสเปี้ยน จาก The Chronicles of Narnia มารับบทเป็น นีล แม็คคอร์มิค

          ด้วยลีลาการเล่าเรื่อง และบรรยากาศฮาๆ ของยุค 80 ทำให้ Killing Bono เป็นหนังตลกสุดกวนที่เรียกเสียงหัวเราะจากผู้ชมได้ตลอดเวลา นอกจากนี้มันยังพูดถึงความฝัน การไม่ยอมท้อต่อโชคชะตา และการไม่ยอมถูกตราหน้าว่าเป็นไอ้ขี้แพ้

          Killing Bono เป็นหนังที่เด็กแนวขาแป้ก พลาดไม่ได้เป็นอันขาด เริ่มฉายวันที่ 30 มิถุนายนนี้ ที่โรงภาพยนตร์เฮ้าส์ อาร์ซีเอ สอบถามรอบฉายที่ 0-2641-5177-8 หรือ www.facebook.com/houseRCA

ตัวอย่างภาพยนตร์

<a href="http://www.youtube.com/watch?v=TGCOryLwgiY" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=TGCOryLwgiY</a>