PR on May 31, 2011, 03:10:26 PM
ไอเอ็นจีประกาศผลกำไรไตรมาส 1 ปี 2554 เติบโตอย่างแข็งแกร่ง มีผลกำไรสุทธิ (underlying net profit) 1,492 ล้านยูโร

          - ไอเอ็นจี กรุ๊ปมีการเติบโตของผลกำไรสุทธิ (underlying net profit) เพิ่มขึ้น ซึ่งมาจากผลประกอบการที่แข็งแกร่งและต่อเนื่องในภาคการธนาคาร และผลประกอบการที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างมากในภาคธุรกิจประกันภัย โดยในไตรมาส 1/2554 ไอเอ็นจี กรุ๊ปมีกำไรสุทธิ (net result) ซึ่งรวมผลกระทบจากการขายเงินลงทุนในกิจการและรายการพิเศษ (divestment and special items) มูลค่า 1,381 ล้านยูโร หรือ 0.37 ยูโรต่อหุ้น ขณะที่อัตราผลตอบแทนของผู้ถือหุ้น (underlying return on equity) เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 14.7 (จากภาคธนาคารร้อยละ 13.7 และภาคธุรกิจประกันภัยร้อยละ 6.2)

          - ผลประกอบการในภาคธนาคารมีกำไรก่อนหักภาษีเพิ่มขึ้นร้อยละ 32.2 โดยคิดเป็นมูลค่า 1,695 ล้านยูโร ซึ่งเป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของรายได้และการรักษาระดับค่าความเสี่ยง (risk costs) ที่เหมาะสมอย่างต่อเนื่อง รวมถึงส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (net interest margin) ในระดับเหมาะสมที่ร้อยละ 1.44 ในขณะที่ค่าความเสี่ยงลดลงมาอยู่ที่ 332 ล้านยูโร หรือ 42 bps ของมูลค่าเฉลี่ยสินทรัพย์เสี่ยง (average Risk Weighted Assets - RWA) อัตราส่วนของค่าใช้จ่ายต่อรายได้สุทธิปรับตัวดีขึ้นเป็นร้อยละ 55 เนื่องจากค่าใช้จ่ายที่ลดลงจากไตรมาส 4/2553
 
          - กำไรจากการดำเนินงานในภาคธุรกิจประกันภัยเพิ่มขึ้นร้อยละ 35.5 โดยมีมูลค่า 561 ล้านยูโร ซึ่งเป็นผลจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นและการเติบโตของสินทรัพย์ลงทุน (Asset under Management - AuM) ในขณะที่ส่วนต่างของการลงทุน (investment spread) เพิ่มขึ้นเป็น 95 bps โดยยอดขายสำหรับธุรกิจใหม่ (Annualized Premium Equivalent - APE) เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.4 จากไตรมาส 1/2553 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 8 ถ้าไม่รวมผลกระทบด้านอัตราแลกเปลี่ยน นอกจากนี้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการบริหารต่อรายได้จาก การดำเนินงาน (administrative expenses/operating income ratio) ปรับตัวดีขึ้นโดยคิดเป็นร้อยละ 40 ซึ่งมาจากผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นและการควบคุมค่าใช้จ่ายที่มีประสิทธิภาพ

          - การเพิ่มขึ้นของเงินทุน (capital generation) ของธนาคารไอเอ็นจียังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องในไตรมาส 1/2554 โดยมีอัตราส่วนเงินกองทุนขั้นที่ 1 (Bank Core Tier 1) เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 10 โดยในวันที่ 13 พฤษภาคม 2554 ไอเอ็นจีจะดำเนินการซื้อคืนหลักทรัพย์สำหรับเงินกองทุนขั้นที่ 1 (Core Tier 1) มูลค่า 2,000 ล้านยูโรจากรัฐบาลเนเธอร์แลนด์ (Dutch State) ซึ่งการซื้อคืนดังกล่าวรวมค่าธรรมเนียมในการซื้อคืน (repurchase premium) อีกร้อยละ 50 รวมเป็นจำนวนเงินชำระคืนทั้งหมด 3,000 ล้านยูโร

          นายยาน โฮมเมน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ไอเอ็นจี กรุ๊ป กล่าวว่า “ทั้งภาคธนาคารและภาคธุรกิจประกันภัยมีผลการดำเนินงานที่โดดเด่นในไตรมาสแรกนี้ แสดงให้เห็นถึงความคืบหน้าอย่างชัดเจนของโครงการปรับปรุงการปฏิบัติงานเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการแยกการดำเนินงานของธุรกิจทั้ง 2 กลุ่มในอนาคต (stand-alone companies) ในขณะนี้การปรับโครงสร้างองค์กรของไอเอ็นจี กรุ๊ปมีความรุดหน้าตรง ตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยไอเอ็นจีเดินหน้าดำเนินการแยกโครงสร้างการดำเนินงานพื้นฐานระหว่างธุรกิจธนาคารและธุรกิจประกันภัยออกจากกันอย่างสมบูรณ์ พร้อมทั้งวางรากฐานในปีนี้เพื่อเตรียมยื่นจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (IPO) สำหรับกลุ่มธุรกิจประกันภัยทั้งในสหรัฐอเมริกา และกลุ่มธุรกิจยุโรปและเอเชียทั้ง 2 แห่ง เพื่อความพร้อมในการยื่นจดทะเบียนเมื่อปัจจัยในตลาดทุนเอื้ออำนวย นอกจากนี้ ไอเอ็นจียังขยายแนวทางกลยุทธ์เพิ่มเติม (strategic options) สำหรับธุรกิจประกันภัยในลาตินอเมริกา และดำเนินการปรับโครงสร้างธุรกิจด้านอื่นๆ ตามข้อตกลงกับสหภาพยุโรป เช่น การลดการลงทุนของธุรกิจ ING Direct ในสหรัฐอเมริกา และการแยกธุรกิจของธนาคาร WestlandUtrecht ออกจากธุรกิจธนาคารเพื่อรายย่อยในประเทศเนเธอร์แลนด์ (Dutch retail banking business)”

          “แม้ว่าจะอยู่ในช่วงการปรับโครงสร้างองค์กร แต่ธุรกิจในเครือของเรายังคงมีผลประกอบการทางธุรกิจที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและความเป็นมืออาชีพของพนักงานทุกคน เราทุ่มเททำงานเพื่อให้ลูกค้ามีความภักดีต่อผลิตภัณฑ์และบริการของเรา (loyalty) ยิ่งขึ้น และด้วยรากฐานที่แข็งแกร่ง เราแสดงให้เห็นถึงการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว และพ้นจากวิกฤติการเงินได้ ไอเอ็นจีได้ปรับปรุงประสิทธิภาพจากการดำเนินงานและสร้างเงินกองทุนส่วนเกิน (capital buffer) ในภาคธุรกิจธนาคาร และขยายการให้สินเชื่อให้แก่ลูกค้าเพิ่มขึ้นเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ทำให้ไอเอ็นจีอยู่ในสถานะที่พร้อมชำระคืนเงินกู้ยืมจากรัฐบาลเนเธอร์แลนด์ (Dutch State) งวดที่ 2 ด้วยกำไรสะสมที่มีอยู่ ทั้งนี้หากการเติบโตของเงินกองทุนยังคงแข็งแกร่งต่อเนื่อง เรามั่นใจว่าจะสามารถชำระคืนเงินกู้ยืมที่เหลือภายในเดือนพฤษภาคม 2555 ภายใต้เงื่อนไขที่ได้รับการยอมรับจากผู้ถือหุ้น” นายโฮมเมน กล่าวปิดท้าย