บลจ.ไอเอ็นจี มั่นใจศักยภาพเกรทเทอร์ ไชน่า (จีน-ไต้หวัน-ฮ่องกง) แกร่ง
โอกาสรับผลตอบแทนดี และมีการกระจายการลงทุนดีกว่าลงทุนในประเทศเดียวพร้อมเปิดตัว “กองทุนเปิด ไทย เกรทเทอร์ ไชน่า”
บลจ.ไอเอ็นจี เดินหน้าเปิดตัวกองทุนใหม่ “กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย เกรทเทอร์ ไชน่า” ลุยลงทุนหุ้นคุณภาพใน 3 ตลาดหลัก “จีน-ไต้หวันและฮ่องกง” หลังประเมินทิศทางเศรษฐกิจกลุ่มเกรทเทอร์ ไชน่า ยังคงมีโอกาสเติบโตอย่างแข็งแกร่ง มั่นใจนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลจีน การเป็นศูนย์กลางทางเงินของฮ่องกง และความเป็นผู้นำสินค้าไฮเทคของไต้หวัน ผลักดันให้เศรษฐกิจของทั้งสามประเทศเติบโตอย่างมีศักยภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมีความร่วมมือกันใน ภาคเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดกันของทั้งสามประเทศ ที่มีมากขึ้นจากนโยบาย “Greater cross-strait economic ties” เช่น การที่ฮ่องกงและไต้หวันสามารถเปิดสาขาธนาคารของตนในจีนได้ โดยมีสิทธิพิเศษเหนือธนาคารจากประเทศอื่นๆ หรือตลอดจนการส่งเสริมการท่องเที่ยวให้เกิดนักท่องเที่ยวจากจีนไปไต้หวันมากขึ้น เป็นต้น เผยรูปแบบลงทุนผ่าน กองทุนต้นทาง “ไอเอ็นจี (แอล) อินเวสท์ เกรทเทอร์ ไชน่า” ลั่นวางระบบคัดกรองหุ้นคุณภาพจาก 400 หลักทรัพย์ เหลือเพียง 40 - 60 หลักทรัพย์คุณภาพ เผยผลตอบแทน ณ วันที่ 29 พฤษภาคม ย้อนหลัง 3 เดือนสูงถึง 54.99% เสนอขายระหว่างวันที่ 8 - 17 กรกฎาคมนี้ จองขั้นต่ำแค่ 2,000 บาท
นายจุมพล สายมาลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายธุรกิจกองทุนรวมและที่ปรึกษาการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ในระหว่างวันที่ 8 - 17 กรกฎาคมนี้ บลจ.ไอเอ็นจี จะเสนอขายหน่วยลงทุนของ “กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย เกรทเทอร์ ไชน่า – ING Thai Greater China Fund” ซึ่งเป็นกองทุนที่จะเข้าลงทุนในหลักทรัพย์ของบริษัทที่จัดตั้ง ประกอบธุรกิจ หรือจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ไต้หวันและฮ่องกง ผ่านกองทุนเปิดไอเอ็นจี (แอล) อินเวสท์ เกรทเทอร์ ไชน่า ซึ่งเป็นกองทุนต้นทาง บริหารจัดการโดยกลุ่มไอเอ็นจี
“นับตั้งแต่ต้นปี 2552 ที่ผ่านนั้น ภาวะตลาดการลงทุนได้มีการเปลี่ยนแปลงไปในเชิงบวก เช่น ทิศทางของอัตราดอกเบี้ยจากปรับลดเปลี่ยนเป็นการชะลอการปรับลดและเตรียมปรับเพิ่มขึ้น ตลาดหุ้นมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 40% ทั้งหมดนี้เป็นการสะท้อนให้เห็นว่านักลงทุนเริ่มคลายความกังวลต่อวิกฤติเศรษฐกิจ โดยมีความเชื่อว่าทิศทางเศรษฐกิจ ทั่วโลกกำลังจะฟื้นตัวหรือผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว โดยจะเห็นได้จากอัตราผลตอบแทนของดัชนี MSCI Asia (ex-Japan) ที่มีผลตอบแทนนับจากต้นปีจนถึง 29 พ.ค.52 สูงถึง 34.93% ในขณะที่ MSCI World มีผลตอบแทนอยู่ที่ 5.41% และ S&P 500 มีผลตอบแทนที่ 1.76%” นายจุมพลกล่าว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งภูมิภาคเอเชียซึ่งมีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับภูมิภาคอื่นๆ ซึ่งเป็นเครื่องมือที่สะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจของประเทศในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งการฟื้นตัวของภูมิภาคเอเชียนั้น กลุ่มประเทศที่มีความเข้มแข็งมากที่สุดคือ กลุ่มประเทศ Greater China อันประกอบด้วยประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ฮ่องกง และไต้หวัน ซึ่งเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่มีการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและรวดเร็วทางเศรษฐกิจ
“เราเชื่อมั่นว่า กลุ่มประเทศเกรทเทอร์ ไชน่า ยังคงมีการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและรวดเร็วของเศรษฐกิจ โดยจีนนับเป็นผู้ผลิตและผู้บริโภครายใหญ่ของโลก ขณะที่ฮ่องกงเป็นศูนย์กลางทางการเงินและการค้าขายของเอเชียและเป็น จุดเชื่อมต่อระหว่างจีนกับตลาดโลก ส่วนไต้หวันก็เป็นผู้นำตลาดสินค้าเทคโนโลยี ซึ่งได้ประโยชน์จากการใช้จีนเป็นฐานผลิต ที่สำคัญ เราเชื่อมั่นว่าด้วยนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลจีนในช่วงที่ผ่านมา จะผลักดันให้เศรษฐกิจเติบโต อย่างต่อเนื่อง โดยประเมินว่ายอดการลงทุนจะเพิ่มขึ้นมหาศาล เช่นเดียวกับการปล่อยสินเชื่อของภาคธนาคารที่พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ เพราะจากตัวเลขปล่อยสินเชื่อของธนาคารในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2009 พบว่า ขยับสูงถึง 26.17 ล้านล้านบาท ด้านโครงการวางระบบสาธารณูปโภคของจีนในการขยายระบบทางหลวงอีก 40 ล้านกิโลเมตรในอีก 10 ปีข้างหน้า และนโยบายการพัฒนาและสร้างเมืองใหม่ (Urbanization) ของจีนที่จะทำให้ในอีก 15 ปีข้างหน้า ประชากรจีนจากชนบทจะย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองอีกกว่า 220 ล้านคน ซึ่งหมายความว่าโอกาสที่กลุ่มการเงิน-ธนาคาร อสังหาริมทรัพย์ และการบริการจะเติบโตเพิ่มขึ้นและต่อเนื่อง” นายจุมพลกล่าว
ทั้งนี้ นับตั้งแต่วันที่ 29 พ.ค. 52 ที่ผ่านมา ย้อนลงไปจะพบว่าผลตอบแทนจากการลงทุนในกองทุนต้นทาง “ไอเอ็นจี (แอล) อินเวสท์ เกรทเทอร์ ไชน่า” สามารถสร้างผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือนได้สูงถึง 54.99% และนับตั้งแต่ ต้นปีที่ผ่านมามีผลตอบแทนสูงถึง 39.34% เปรียบเทียบกับดัชนี MSCI AD Golden Dragon Index 3 เดือน มีผลตอบแทนอยู่ที่ 49.75% และ นับตั้งแต่ต้นปีผลตอบแทนอยู่ที่ 37.39%
ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส บลจ.ไอเอ็นจี กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า การกระจายการลงทุนไปในกลุ่มประเทศ เกรทเทอร์ ไชน่า นั้นจะทำให้นักลงทุนสร้างทางเลือกในการลงทุนกับกลุ่มประเทศที่มีศักยภาพและการเติบโต เพราะ ตลาดหุ้นทั้ง 3 ประเทศนับตั้งแต่ต้นปีมีอัตราการเติบโตในระดับที่สูง อีกทั้งนักลงทุนยังสามารถกระจายความเสี่ยงในกรณีที่มีการปรับตัวลดลงของตลาดหุ้นใดตลาดหุ้นหนึ่ง นักลงทุนก็ยังมีอีก 2 ตลาดที่ยังสามารถสร้างกำไรได้ จากเหตุผลดังกล่าวเชื่อว่าการลงทุนในกลุ่มเกรทเทอร์ ไชน่า มีโอกาสที่จะสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าและมีความเสี่ยงที่น้อยกว่าเมื่อเทียบกับ การลงทุนในประเทศจีนเพียงประเทศเดียว
“เรามั่นใจว่า ด้วยศักยภาพการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของกลุ่มประเทศเกรทเทอร์ ไชน่า และด้วยระบบการคัดกรองหุ้นอย่างมีคุณภาพโดยผู้จัดการกองทุนมืออาชีพ จะสามารถสร้างพอร์ตการลงทุนที่เหมาะสมสอดคล้องกับสถานการณ์ การลงทุน และเป็นทางเลือกที่น่าสนใจให้กับนักลงทุนที่แสวงหาผลตอบแทนจากการลงทุน” นายจุมพลกล่าว
สำหรับ “กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย เกรทเทอร์ ไชน่า” จะเสนอขายให้กับประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ในระหว่างวันที่ 8 -17 กรกฎาคม 2552 กำหนดการจองซื้อขั้นต่ำเพียง 2,000 บาท สำหรับผู้สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ได้ บลจ.ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด 02-688-7777 หรือ
www.ingfunds.co.th