PR on May 14, 2011, 05:54:18 PM
The Hangover 2


 
          ปล่อยออกมากันอีกแล้วกับโปสเตอร์หนังภาคต่อสุดฮาอย่าง The Hangover 2 ให้เราได้ชมกัน ซึ่งสำหรับ The Hangover 2 นี้ได้เดินทางมาถ่ายทำปักหลักกันที่ประเทศไทยของเรากันด้วย แถมประเทศไทยของเรายังเป็นโลเกชั่นหลักของภาค 2 นี้อีกด้วย

          สำหรับเรื่องราวของ The Hangover 2 นั้นเล่าถึงเพื่อนก๊วนฮาชุดเดิมอันประกอบไปด้วย Phil (แสดงโดย Bradley Cooper), Stu (แสดงโดย Ed Helms), Alan (แสดงโดย Zach Galifianakis) และ Doug (แสดงโดย Justin Bartha) หลังจากที่ไปก่อเรื่องวุ่นวายกันที่ Las Vegas มาใน The Hangover ภาคที่แล้ว ตอนนี้ทุกคนกลับมาใหม่ใน The Hangover 2 กับทริปสุดระทึกที่ประเทศไทย !!

          เหล่าก๊วน The Hangover เดินทางกันมาที่ไทยเพื่อฉลองงานแต่งงานของ Stu กันที่นี่ แต่หลังจากเหตุการณ์ที่ลืมไปลงกันในปาร์ตี้สละโสดที่ Las Vegas เกิดขึ้นไปแล้วนั้น ทำให้ Stu เกิดความเข็ดขยาดและตั้งใจจะจัดงานแต่งงานเรียบๆแบบกินอาหารควบมื้อ เช้า-กลางวันแทน แต่ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนไม่เป็นไปตามแผนการที่วางไว้ อะไรๆที่เคยเกิดขึ้นที่ Vegas นั้นน่าขยาดเพียงใด สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นที่กรุงเทพก็เกินกว่าจะจินตนาการได้เช่นกัน !!

          The Hangover 2 มีกำหนดฉายในไทยวันที่ 26 พฤษภาคม 2011 นำแสดงโดย Bradley Cooper, Zach Galifianakis, Ed Helms, Justin Bartha, Ken Jeong, Liam Neeson, Jamie Chung กำกับโดย Todd Phillips

PR on May 14, 2011, 05:56:48 PM
ภาพยนตร์ “The Hangover ภาค 2”


 
          ภาพยนตร์เรื่อง “The Hangover ภาค 2” เป็นภาคต่อจากภาพยนตร์สุดฮิตในปี 2009 ผลงานการกำกับโดย ทอดด์ ฟิลลิปส์ เรื่อง “The Hangover” ที่เป็นภาพยนตร์คอมเมดี้เรท R ที่กวาดรายได้สูงสุดตลอดกาล และยังคว้ารางวัล Golden Globe สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม – คอมเมดี้หรือดนตรี

          แบรดลี่ คูเปอร์, เอ็ด เฮล์มส, แซ็ค แกลิเฟียนาคิส รวมถึงจัสติน บาร์ธา กลับมารับบทบาทเดิมของพวกเขาจากเรื่อง “The Hangover” โดยมี เค็น จุง, เจฟฟรีย์ แทมเบอร์ และ ไมค์ ไทสัน กลับมารวมทีมนักแสดง และร่วมด้วย พอล จีอาแม็ตติ ผู้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Oscar®

          เรื่อง “The Hangover ภาค 2” ฟิล (แบรดลี่ คูเปอร์), สตู (เอ็ด เฮล์มส), อลัน (แซ็ค แกลิเฟียนาคิส) และดัก (จัสติน บาร์ธา) เดินทางมาที่ประเทศไทยจากดินแดนอื่น เพื่อมางานแต่งของสตู หลังจากปาร์ตี้ชายโสดที่ยากจะลืมในลาส เวกัส สตูจะไม่ปล่อยโอกาสไป และได้เลือกอาหารมื้อสายก่อนแต่งงานที่ปลอดภัยและเงียบสงบ แต่ถึงอย่างไรสิ่งต่างๆ มักไม่เกิดขึ้นไปตามแผน สิ่งที่เกิดขึ้นในเวกัสก็น่าจะอยู่ที่เวกัส แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองไทยก็นึกไม่ถึงเหมือนกัน

          ฟิลลิปส์กลับมากำกับอีกครั้ง จากบทภาพยนตร์ที่เขาร่วมเขียนขึ้นกับ เครก มาซิน (“Scary Movie 4”) และ สก็อต อาร์มสตรอง(“Old School”) ฟิลลิปส์ยังอำนวยการสร้างภาพยนตร์ภายใต้บริษัท Green Hat Films ของเขา ร่วมด้วย แดน โกล์ดเบิร์ก (“The Hangover,” “Due Date”) โธมัส ทัล, สก็อตต์ บัดนิค, คริส เบ็นเดอร์ และ เจ.ซี. สพิงค์ ทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างบริหาร พร้อมด้วย เดวิด เอ. ซีเกล และ เจฟฟรีย์ เว็ตเซล ทำหน้าที่เป็นผู้ร่วมอำนวยการสร้าง

          ผู้ร่วมงานเบื้อหลังฉากกับฟิลลิปส์ ได้แก่ ผู้กำกับภาพ ลอว์เรนซ์ เชอร์, ผู้ออกแบบฉาก บิล บรีซกี, ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย หลุยส์ มินเกนแบช, ผู้ลำดับภาพ เดบรา นีล-ฟิสเชอร์ และ ไมค์ เซลล์ และผู้ประพันธ์ดนตรี คริสโตเฟอร์ เบ็ค

          ภาพยนตร์เริ่มมีกำหนดฉาย 25 พฤษภาคม 2011 ภาพยนตร์เรื่อง “The Hangover Part ภาค 2” นำเสนอโดย วอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส ร่วมกับ เลเจนดารี่ พิกเจอร์ส จัดจำหน่ายโดย วอร์เนอร์ บราเดอร์ส หนึ่งในกลุ่มบริษัท วอร์เนอร์ บราเดอร์ส เอ็นเตอร์เทนเมนท์

          www.thehangoverpart2.co.uk

PR on May 14, 2011, 06:10:01 PM
The Hangover 2 ยกก๊วนชวนกันมาถ่ายทำที่ประเทศไทย
 
          ภาพยนตร์เรื่อง “The Hangover ภาค 2” พาเหล่านักแสดงและทีมงานเดินทางไกลกว่าครึ่งโลก มายังสถานที่ที่ก่อให้เกิดความรู้สึกถึงเรื่องราวบางอย่างได้ในตัวมันเอง และมีเนื้อหามากขึ้น “มันทำให้ทอดด์ต้องใช้เวลาคิดค้นอยู่นานว่าเขาอยากทำอะไรกับหนังเรื่องนี้ เพราะเขามีหลายอย่างที่ต้องทำให้สำเร็จ” โกล์ดเบิร์กกล่าว “และการเดินทางไปกรุงเทพยิ่งเสริมให้เราแกร่งขึ้น ที่นั่นเป็นสถานที่สุดท้ายในโลกที่พวกเขาควรจะไป ซึ่งแน่นอนว่ามันเป็นที่ที่เหมาะแก่การส่งพวกเขาไปแล้ว”
          เพื่อความเข้าใจและการซึมซับถึงสถานที่ถ่ายทำแห่งใหม่นี้ ทีมผู้สร้างภาพยนตร์เดินทางศึกษาข้อมูลหลายอย่างตามบทภาพยนตร์ที่ถูกเขียนขึ้นมาแล้ว ขณะที่การถ่ายทำภาพยนตร์ส่วนใหญ่จริงๆ แล้วใช้สถานที่ในเมืองไทย ผู้ออกแบบฉาก บิล บรีสกี เก็บภาพจำนวนหลายพันภาพเพื่อใช้ในการสร้างฉากหลักๆ หลายฉกในโรงถ่ายสตูดิโอ Warner Bros. ที่เบอร์แบงค์
          ช่วงเวลาที่สำคัญตอนทุกคนตื่นขึ้นมา คราวนี้ต้องหมดแรงอยู่ในห้องพักโรงแรมของกรุงเทพ ซึ่งโฟกัสไปที่ตึกขนาดใหญ่บนเวทีที่โรงถ่าย “นี่เป็นหนังเรื่องที่ 3 ตามลำดับที่ได้ร่วมงานกับบิล และเขาจะสามารถออกแบบสิ่งที่ดูเสื่อมโทรมได้ดีกว่าใคร ผมหมายถึงว่านั่นเป็นคำชมนะ” ฟิลลิปส์กล่าว “ฉากที่โรงแรมมันรู้สึกเหมือนว่าถูกสร้างขึ้นมากว่า 80 ปีโดยไม่มีใครทำความสะอาดหรือดูแลรักษามันเลย”
          บรีสกีและทีมงานของเขาสร้างรายละเอียดของสภาพแวดล้อมแท่นเหล็กด้านบนเพื่อแสดงให้เห็นถึงห้องพักโรงแรม 2 ห้อง บริเวณลานโรงแรมและลิฟต์ ทุกอย่างสร้างขึ้นด้วยลักษณะอิฐ และเปิดช่องให้แสงสามารถสาดส่องเข้ามาได้ “สิ่งที่เราต้องใช้ในบทคือ พวกผู้ชายตื่นขึ้นมาในห้องหนึ่ง และพวกเขาเตร็ดเตร่อยู่กับสิ่งแวดล้อมเพื่อค้นหาเงื่อนงำของสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนก่อน” บรีสกีบรรยาย “ฉะนั้นสภาพแวดล้อมนี้ต้องพอบอกเล่าเรื่องราวได้บ้าง”
          ระหว่างการเดินทางมาที่เมืองไทยของพวกเขา ผู้ออกแบบฉากพร้อมด้วยผู้ตกแต่งฉาก แดเนียล เบอร์แมน นำอุปกรณ์ตกแต่งฉากมากมายกลับมาด้วย “เรามีกล่องใส่อุปกรณ์ที่ใส่พวกชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้าสมัยก่อน ปลั๊กต่างๆ พัดลมโบราณ…” เขาเรียงลำดับว่า “นั่นคือสีสันทั้งหมดของฉาก โดยรวมทั้งหมดแล้วกรุงเทพไม่มีความรู้สึกถึงการเป็นโลกที่ 3 เลยจริงๆ ที่นั่นเป็นสถานที่ที่ซับซ้อนและงดงาม แต่หากเราเจาะลึกลงไปอีกนิด เราจะพบสิ่งกวนๆ แบบที่เรากำลังมองหาอยู่”
 
          เมื่อการถ่ายทำที่เบอร์แบงค์เสร็จสิ้นลง เหล่านักแสดงและทีมงานมุ่งหน้าสู่เมืองไทย โดยสองเมืองนั้นทำหน้าที่เป็นฉากหลังแห่งการผจญภัยที่กรุงเทพ ซึ่งทุกคนอยู่ในอาการหวาดกลัวกับการค้นหาตัวเท็ดดี้ และไล่เลียงว่ามีอะไรผิดพลาดไป และตรงกันข้ามกับอีกเหตุการณ์หนึ่งอย่างสิ้นเชิง บริเวณรีสอร์ทที่กระบี่เป็นสถานที่ที่จะจัดงานแต่ง ซึ่งเป็นบทสรุปแห่งความหรูหราที่เงียบสงบ
          การนำเสนอความแตกต่างระหว่าง 2 โลกนี้เป็นการมุ่งเน้นไปที่ทีมผู้ออกแบบ รวมไปถึงผู้กำกับภาพอย่างลอว์เรนซ์ เชอร์ ผู้ถ่ายทำภาพยนตร์ร่วมกับฟิลลิปส์เป็นเรื่องที่สาม “เราอยากทำให้ถูกต้องในเรื่องนั้นไปพร้อมกับทุกคนเพื่อถ่ายทอดบรรยากาศความบ้าของทั้งคู่ พร้อมด้วยความสับสนอลหม่านในการพยายามหาเส้นทางของเมืองที่สับสนวกวนนี้”
          เชอ์และทีมงานของเขายังต้องการซึมซับภาพยนตร์ ด้วยสิ่งที่ผู้กำกับพิจารณาถึงมุมมองที่สำคัญของเรื่องราวที่ได้พบเจอมาอีกด้วย “สิ่งที่แลร์รี่กับผมคุยกันโดยส่วนใหญ่ในหนังเรื่องนี้คือเรื่องของความร้อน ความรู้สึกของอากาศร้อนที่เราพบตอนที่เราบินลงสู่กรุงเทพ” ฟิลลิปส์กล่าว “แม้ว่าเราไม่สามารถสัมผัสได้จริงตอนกำลังดูหนัง แต่อุณหภูมิจะแสดงให้เห็นตลอดทุกฉาก”
          สภาพอากาศที่ร้อนชื้นเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นในเมืองหลวงที่มีความวุ่นวาย และเมืองที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์อย่างกรุงเทพ ซึ่งถูกแบ่งแยกอาณาเขตเป็นหลายบริเวณ จากตึกสูงเสียดฟ้าของใจกลางเมืองสู่ถนนการค้าที่มีชื่อเสียงและมีความแออัดอย่างไชน่าทาวน์ เป็นการนำมาวางเทียบเคียงกันของสิ่งที่ฟิลลิปส์หวังจะถ่ายทอดออกไปโดยผ่านสายตาของฟิล ดั๊ก และสตู
          ผู้จัดการด้านงบประมาณกองที่ประเทศไทย คริส โลเว็นสตีน ชี้ให้เห็นว่า “กรุงเทพเป็นเมืองที่มีความแตกต่างอย่างน่ามหัศจรรย์ มีบริเวณที่มีความทันสมัยที่สุด และเรายังมีส่วนที่เป็นไชน่าทาวน์ในสมัยโบราณ ซึ่งมีองค์ประกอบและเสน่ห์แห่งโลกสมัยก่อนในตัวของมันเอง อย่างที่เห็นกันว่ามันมีความอุดมสมบูรณ์ไปด้วยไอจากการแผงลอยที่ทำอาหารบนถนน และความพลุกพล่านโดยทั่วไปของชีวิตผู้คนมากมายที่ทำงานบริเวณนั้น”
 
          ฟิลลิปส์กล่าวเสริมว่า “ที่นี่เป็นเมืองเล็กๆ ในตัวมันเอง เราใช้เวลาอยู่ในตรอกซอกซอยอยู่นานและกลับมาที่ถนนของไชน่าทาวน์ มันมีความยิ่งใหญ่และบรรยากาศการทำงานที่น่าสนใจ ผมชอบสิ่งนั้นแต่เวลาเดียวกันมันก็เป็นการท้าทายความสามารถมากเลย”
          ผู้ร่วมอำนวยการสร้าง เจ.พี.เว็ตเซล กล่าวเสริมว่า “ผมคิดว่าทอดด์ประสบความสำเร็จในจุดนั้น เขาไม่กลัวที่จะนำตัวละครเหล่านี้ไปอยู่ในสถานการณ์ที่คาดไม่ถึง ทอดด์หยิบสถานที่ต่างๆ ขึ้นมาเพื่อความสดใหม่และเพื่อสิ่งที่เขาสามารถสร้างขึ้นที่นั่นได้ ที่นั่นมีกิจกรรมมากมาย มีรถแท็กซี่ มอเตอร์ไซค์ ตุ๊ก-ตุ๊ก และคนเดินตามถนน มันจึงเป็นการทำงานบนถนนที่ยากลำบากมาก แต่สิ่งที่เราได้รับในมุมของเราคือความงดงามและใจดีของผู้คน”
          ผู้จัดการด้านสถานที่แห่งประเทศไทย สมชาย สันติธรางกูร ได้ขออนุญาตมากกว่า 200 เขตเช่นเดียวกับร้านค้ากว่าพันร้าน และรวมถึงพื้นที่จัดตั้งรถบรรทุกและอุปกรณ์สำหรับการถ่ายทำในเมืองที่แออัด
          สิ่งที่อยู่สูงขึ้นเหนือถนนที่วุ่นวาย ด้วยความแตกต่างอย่างชัดเจนจากไชน่าทาวน์คือห้องอาหารซีรอคโคตั้งอยู่ที่ เลอบัว แอท สเตท ทาวเวอร์ ชั้น 63 พร้อมด้วยวิวรอบกรุงเทพเกือบ 360 องศา ที่นั่นเป็นสถานที่ที่น่าประทับใจเพราะทุกคนได้พบกับ คิงสลีย์ ซึ่งเป็นตัวละครของพอล จีอาแม็ตติ “เรารู้สึกปลื้มใจมากที่ได้รับการอนุญาติ เพราะไม่มีใครเคยได้รับอนุญาติให้ถ่ายทำที่นั่นมาก่อนเลย” สันติธรางกูร กล่าว “แต่เจ้าของกลับเป็นแฟนพันธุ์แท้ของหนังเรื่อง ‘Hangover’ ภาคแรก หลังจากที่ได้พบปะกับเรา เขารู้สึกดีใจมากที่โรงแรมและห้องอาหารของเขาได้อยู่ในฉากด้วย”
          การตามติดพฤติกรรมแสบของพวกเขายังพาพวกเขาไปสู่ซอยคาวบอย ซึ่งเป็นหนึ่งใน “แหล่งบันเทิง” ที่น่าอับอายของเมือง พวกเขพบกับร้านสักที่สตูได้หมึกและได้ค้นพบความลึกซึ้งที่พวกเขายิ่งจมดิ่งลึกลง
          บรีสกีและทีมงานของเขาเพิ่มความซับซ้อนเข้าไปในบรรยากาศของสถานที่ให้สอดคล้องกับมุมมองของฟิลลิปส์ ในตรอกซอกซอยที่เรียกกันว่า ซอย 7 กองถ่ายได้ยึดพื้นที่อันว่างเปล่า และสร้างบาร์ 2 แห่งกับร้านสักขึ้นมา ซึ่งมีนักท่องเที่ยวบางคนพยายามเข้าไปที่นั่นจริงๆ
จากเรื่องตลกมาจนถึงเรื่องความศรัทธา หนุ่มๆ พบว่าตัวเองมาอยู่ที่วัดของชาวพุทธ ฉากต่างๆ ถ่ายทำที่เมืองโบราณซึ่งเป็นบริเวณที่สร้างวัดและสิ่งก่อสร้างทางศาสนาขึ้นมาใหม่ “วัดวาอารามเป็นสถานที่ที่น่าเลื่อมใสมาก ฉะนั้นด้วยความเคารพแล้ว สถานที่แห่งนี้เป็นทางเลือกที่เหมาะสมที่สุด” บรีสกีอธิบาย “และเราสามารถสร้างสวัดจีนขึ้นมาเพื่อทำให้มันเข้ากับสิ่งที่ทอดด์กำลังมองหาได้ด้วย”
          เพื่อเป็นการถ่ายทอดการผจญภัยสุดประหลาดของทุกคนให้เพิ่มมากขึ้น ทีมผู้สร้างภาพยนตร์พบว่าตัวเองจะต้องสร้างสตั๊นท์มโหฬารในบริเวณที่แคบมากบางแห่งในกรุงเทพ “ในหนังมีฉากแอ็คชั่นมากกว่า ‘Hangover’ แบบเดิม” ผู้ประสานงานด้านสตั๊นท์ อัลลาน กรัฟ กล่าว “ทอดด์ได้ยกระดับหนังขึ้นอย่างแท้จริง และนักแสดงตกลงที่จะแสดงบทของตัวเองให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ด้วยความระมัดระวัง”
          “ทุกอย่างมันประหลาดและน่าตื่นเต้นสุดๆ” เฮล์มเฝ้าสังเกต “ผมไม่เคยเป็นส่วนหนึ่งของการทำหนังเรื่องไหนที่มีขนาดเท่านี้เลย และมันเป็นสิ่งที่วิเศษที่สุด เรามีการระเบิดสิ่งของ แข่งรถกันบนถนนและถูกอัดจนน่วม ทุกอย่างก็เพื่อความฮาแบบแสบๆ คันๆ ที่ไม่น่าเชื่อพวกนี้”
ฉากที่แสบที่สุดมีเพื่อนๆ ของมิสเตอร์เฉาที่ถูกหลอกลวงและไล่ล่ารถ Toyota Corolla ที่กำลังซิ่งทั่วถนนของกรุงเทพพร้อมด้วยลิงที่กำลังถูกแขวนอยู่ตรงหน้าต่าง และคนขายยาชาวรัสเซียบนมอเตอร์ไซค์ที่ตามมาอย่างกระชั้นชิด ผู้ควบคุมสเปเชียลเอ็ฟเฟ็กต์ อีฟ เดอ โบโน่ ประดิษฐ์ลวดแขวนพิเศษที่ทำให้สตั๊นท์ขับรถสามารถขับยานพาหนะอยู่ด้านล่างล้อไปพร้อมกับเหล่านักแสดงได้ เดอ โบโน่ สร้างรถหลากหลายรูปแบบ รวมไปถึงรถที่มีภายในขยายออกเพื่อปรับให้เข้ากับมุมกล้อง 360 องศา ฟิลลิปส์และเชอร์จึงสามารถ่ายทอดภาพฉากแอ็คชั่นจากมุมของตัวละครได้
          “ของเล่น” อีกชิ้นหนึ่งของมิสเตอร์เฉาคือเรือของเขาที่มีชื่อว่า Perfect Life ซึ่งถูกอลัน ฟิล และสตูยึดครองไป ในช่วงเวลาที่สำคัญเรือถูกปล่อยลงในน้ำและบนชายหาด “เราสร้างทางลาดขึ้นมาจากนั้นก็ถึงเวลาที่สตั๊นท์ต้องบังคับให้ลอยไปตามกระแสน้ำ เรามีระยะเวลาเพียงครึ่งชั่วโมงในตอนกลางวัน เพื่อปล่อยเรือลงน้ำให้เสร็จ มันจึงมีความกดดันหลายอย่างมาก” ผู้ควบคุมการเดินเรือ แลนซ์ จูเลียน กล่าวเขาทำงานอย่างใกล้ชิดกับฟิลลิปส์, เดอ โบโน่ และกรัฟเพื่อความมั่นใจว่าสตั๊นท์จะไปถึงจุดที่ถูกต้องได้อย่างแน่นอน
          มีเรือกล้อง 2 ตัวลอยไปตามทางของเรือ เรือลำหนึ่งถูกยึดไว้ด้วยเครน และอีกลำนึงเป็นเรือของทีมงานหลักรวมไปถึงเฮลิคอปเตอร์
          “สำหรับสตั๊นท์ทุกคน เราอยากให้มันรู้สึกว่าเหมือนจริง เราจึงแสดงจริงโดยส่วนใหญ่เท่าที่เราสามารถทำได้” ฟิลลิปส์กล่าว
บริเวณที่สตูและลอว์เร็นจะแต่งงานกันตั้งอยู่ที่รีสอร์ทเดี่ยวทางตอนใต้ของประเทศไทย ซึ่งอยู่บนชายฝั่งทะเลอันดามัน “กระบี่มีวิวที่สวยมากเหมาะสำหรับทุกอย่างที่เราต้องการ” ฟิลลิปส์นึกย้อนกลับไป “ตอนที่ผมจินตนาการถึงประเทศไทย มันเป็นเพียงเกาะหินปูนที่ยื่นออกมาตรงทะเล และเรามีวิวสวยๆ จากชายหาด”
          การถ่ายทำภาพยนตร์ใช้สถานที่รีสอร์ทที่สวยงามอย่างเต็มที่ เก็บภาพทางเดินรีสอร์ทที่เป็นส่วนตัว บาร์บนเกาะและสระน้ำขนาดใหญ่ที่ไม่มีขอบเขตเพื่อช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นและน่าประหลาดใจ ส่วนฉากรอบกองไฟพวกเขาย้ายไปที่ชายหาดซึ่งหากไป 200-300 หลา เพื่อสร้างฉากหลังที่มีความสมบูรณ์แบบ พวกเขาตกแต่งเรือยาวบนบก เพื่อสร้างแสงจันทร์ที่อยู่รายล้อมให้ถูกต้องพอเหมาะ เชอร์และทีมงานของเขาใช้ประโยชน์จากบอลลูนที่ตกแต่งขนาดใหญ่ที่ลอยอยู่ด้านบน ให้สาดแสงทั่วหาดทรายและน้ำทะเล
          ท้ายที่สุดทีมผู้ออกแบบผสมผสานสไตล์ตะวันตกและของไทยร่วมกัน เพื่อสร้างสิ่งก่อสร้าง เสื้อผ้าและฉากสำหรับงานแต่งงาน บรีสกีผสมผสานรูปแบบความเป็นไทย เช่น ร่มคันเล็กๆ และสถาปัตยกรรมของวัด ขณะที่แดเนียล เบอร์แมน รวบรวมดอกไม้ที่มีสีสันนับร้อยดอกโดยเฉพาะดอกกล้วยไม้ เพราะเป็นสิ่งที่หาได้ง่ายที่เมืองไทย
          ระหว่างการซักซ้อมด้านวัฒนธรรม พวกเขาผสมผสานเทศกาลโคมลอยจากจังหวัดเชียงใหม่ ตั้งอยู่ที่บริเวณภาคเหนือของประเทศไทยเข้ามาในเรื่องราวด้วย ซึ่งโคมไฟกระดาษนับร้อยถูกปล่อยขึ้นสู่ท้องฟ้า “นักแสดงบางคนและ 2 ใน 3 ของทีมงานของเราเป็นคนไทย และเรานำวัฒนธรรมไทยมาใช้จริงๆ” โกล์ดเบิร์กกล่าว “เรารู้สึกว่าเราเป็นแขกที่ประเทศไทยของพวกเขา และพวกเขามีน้ำใจต่อพวกเรามาก อารมณ์ขันของเราอาจเป็นการล่วงเกิน แต่เราแสดงออกมาด้วยความเคารพ”
          นอกจากนั้น ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย หลุยส์ มินเกนแบช ยังได้ผสมผสานเครื่องแต่งกายของคนไทยในสมัยก่อนมาใส่ในงานแต่งงาน พร้อมกับสไตล์ตะวันตกสำหรับแขกชาวอเมริกัน แต่เธอมีความสนุกสนานส่วนใหญ่กับอลัน
          ฟิลลิปส์กล่าวว่า แกลิเฟียนาคิส “เข้าใจตัวละครของเขาดีเช่นเดียวกับเราทุกคน เขาจึงใส่อะไรหลายอย่างเข้าไปในเครื่องแต่งกายของเขา หลุยส์กับผมเข้าไปหาเขาพร้อมกับไอเดียของเรา เราพูดถึงชุดเดินทางไปต่างประเทศของเขา ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาสวมใส่ที่สนามบิน และชุดที่สบายๆ ที่เขาใส่ในงานเลี้ยงค็อกเทล กางเกงที่เหมือนร่มชูชีพที่ดูเบาสบายมาก ชุดคนอื่นๆ อยู่ในเสื้อผ้าที่ปกติ แต่ชุดของอลันดูน่าตลกมาก เราจึงใส่ความสร้างสรรค์ไปได้เยอะมาก”
          สิ่งที่สร้างความโดดเด่นให้ประสบการณ์ทั้งหมดคือการคัดเลือกเพลงประกอบภาพยนตร์ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของฟิลลิปส์ เขาและผู้ควบคุมด้านดนตรี แรนดัล โพสเตอร์ และ จอร์จ เดรคูเลียส คัดแยกเพลงนับร้อยเพื่อค้นหาดนตรี เพื่อหาต้นตำรับของช่องทางดนตรีเพื่อคั่นเรื่องราว ผสมผสานกับเนื้อเพลงโดย คริสโตเฟอร์ เบ็ค ส่วนประกอบหนึ่งที่สำคัญคือวงดนตรีในงานแต่ง ฟิลลิปส์เลือกการคณะจากทางภาคเหนือของไทยที่มีชื่อว่า Ska Rangers ให้แสดงออกถึงมาตรฐานเพลงยุค 80 ที่สามารถร้องเป็นคาราโอเกะได้ “พวกเขาดังมากที่เชียงใหม่ ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของพวกเขา” เดรคูเลียสกล่าว “พวกเขาเก่งมากและลักษณะของพวกเขาดูมีพรสวรรค์”
          แน่นอนว่าการถ่ายภาพยนตร์เรื่อง “The Hangover ภาค 2” คงเสร็จสมบูรณ์ไปไม่ได้หากไม่มีภาพหลักฐานตอนท้ายเรื่องที่อ้างอิงถึงภาพยนตร์ภาคแรก สำหรับภาพเหล่านี้ฟิลลิปส์และลอว์เรนซ์ เชอร์ รวบรวมเหล่านักแสดง เพิ่มบางฉากเข้ามาและเขยิบภาพต่อไป “นั่นคือจุดที่สิ้นสุดการเดิมพันทุกอย่าง” ฟิลลิปส์กล่าว “มันเป็นแค่ความคิดสนุกๆ เพื่อให้นักแสดงได้แสดง ไม่ได้มีอยู่ในบทเลย มันเป็นการแสดงอิสระทั้งหมด”
          การจัดภาพนิ่รวมถึงการสร้างการแข่งขันที่สร้างสรรค์ในหมู่ทีมผู้สร้างภาพยนตร์ เหล่านักแสดงและทีมงานทุกคนพยายามหาความคิดมากลบซึ่งกันและกัน และสิ่งที่ผู้ชมน่าจะคาดหวัง ไม่มีไอเดียไหนที่ดูประหลาดจนเกินไป เช่นเดียวกับที่มันกระทำได้ มันกลายเป็นความกล้าที่จะได้เห็นว่าใครสามารถแสดงได้แรงที่สุด
          ฟิลลิปส์กล่าวทิ้งท้ายว่า “สำหรับภาพยนตร์เรื่อง ‘The Hangover ภาค 2’ เราไม่ได้พยายามเอาชนะว่าเราจะผลักดันทุกอย่างไปได้ไกลกว่าภาคแรกแค่ไหน มันเป็นเรื่องของการสร้างสิ่งที่สามารถยึดเหนี่ยวสถานที่ที่หนังภาคแรกเคยพาเราไป”

          The Hangover 2 - เดอะ แฮงค์โอเวอร์ ภาค 2
          ฮาหมดแม็คที่กรุงเทพฯ 26 พฤษภาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์เท่านั้น
          http://www.hangover2-thai.com

PR on May 25, 2011, 08:03:14 PM






PR on May 31, 2011, 03:30:22 PM
ทำลายสถิติรายได้วันเปิดตัวภาพยนตร์เรื่อง “เดอะ แฮงค์โอเวอร์ ภาค 2” ผลงานของผู้กำกับ ทอดด์ ฟิลลิปส์


 
         เพียงวันแรกภาพยนตร์ของ Warner Bros. Pictures และ Legendary Pictures เรื่อง “The Hangover ภาค 2” ทำลายหลายสถิติของภาพยนตร์ในวันเปิดตัวที่อเมริกา โดยมีการประกาศวันนี้โดย แดน เฟลแมน ประธานฝ่ายจัดจำหน่ายภายในประเทศของวอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส บ็อกซ์ ออฟฟิศ ทั่วประเทศได้ถูกปลุกให้ตื่นตอนเที่ยงคืน เมื่อภาพยนตร์คอมเมดี้ของผู้กำกับทอดด์ ฟิลลิปส์ ทำรายได้ 10.4 ล้านดอลลาร์ ทุบสถิติการเปิดตัวช่วงเที่ยงคืนของภาพยนตร์เรท R ภาคที่แล้ว รายได้รวมเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าจากสถิติวันเปิดตัวช่วงเที่ยงคืนของภาพยนตร์ทุกเรื่องของปี 2011 จนถึงปัจจุบัน ด้วยการเปิดตัวอย่างกว้างขวางที่สุดของภาพยนตร์เรท R ทุกเรื่อง ภาพยนตร์เรื่อง “The Hangover ภาค 2” กวาดรายได้รวมไป 31.7 ล้านดอลลาร์ในวันเปิดตัว ทำให้มีสถิติวันเปิดตัวของภาพยนตร์แนวคอมเมดี้ครั้งใหม่เกิดขึ้น

          ในการแถลงการณ์ เฟลแมนกล่าวว่า “ในช่วงที่ห่างหายไป เรารู้ดีว่าผู้ชมอดใจรอ ‘Hangover’ ภาคใหม่ไม่ไหว แต่ตัวเลขรายได้นี้มันพุ่งทะลุ จนทำให้ทอดด์ ฟิลลิปส์ เป็นผู้สร้างภาพยนตร์คอมเมดี้คนใหม่ที่ต้องไปชมผลงาน โดยมีผู้คนเข้าแถวรอที่บ็อกซ์ ออฟฟิศ และเดินวนไปมาแถวโรงภาพยนตร์ ขอแสดงความยินดีกับเขา เหล่านักแสดง และผู้มีความสามารถคนอื่นๆ ที่อยู่เบื้องการสร้างภาพยนตร์คอมเมดี้อีกเรื่องที่ยากจะลืมเลือน”

          ในภาพยนตร์เรื่อง “The Hangover ภาค 2” ฟิล (แบรดลีย์ คูเปอร์), สตู (เอ็ด เฮล์มส), อลัน (แซ็ค แกลิเฟียนาคิส) และ ดั๊ก (จัสติน บาร์ธ่า) เดินทางจากดินแดนอื่นสู่งานแต่งของสตูที่เมืองไทย ทั้งๆ ที่ความทรงจำเรื่องปาร์ตี้ชายโสดอันโหดร้ายที่ลาส เวกัสยังสดๆ ร้อนๆ หรืออย่างน้อยยังจำได้ดี สตูไม่มีทางเลือกใด เขาเลือกความปลอดภัย สงบอารมณ์ เลี้ยงอาหารมื้อสายก่อนการแต่งงานด้วยแทนเค้ก กาแฟ …และไม่มีแอลกอฮอล์ ถึงอย่างไรทุกสิ่งไม่ได้เป็นไปตามแผนเสมอ 2 คืนก่อนวันสำคัญที่รีสอร์ทสุดหรูของเมืองไทย สตูยอมใจอ่อน ทุกคนดื่มเบียร์คนละขวด ในขวดที่ปิดแน่นสนิท แล้วจะมีอะไรผิดพลาดได้?

          สิ่งที่เกิดขึ้นในเวกัสอาจคงอยู่ที่เวกัส แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในกรุงเทพมันแทบคาดไม่ถึง

          ภาพยนตร์เรื่อง “The Hangover ภาค 2” กำกับโดยทอดด์ ฟิลลิปส์ เป็นภาคต่อจากภาพยนตร์สุดฮิตในปี 2009 ของเขาเรื่อง “The Hangover” ที่เป็นภาพยนตร์คอมเมดี้เรท R ที่มีรายได้สูงสุดตลอดกาล และได้รับรางวัล Golden Globe สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม– แนวคอมเมดี้หรือละครเพลง

          แบรดลีย์ คูเปอร์, เอ็ด เฮล์มส, แซ็ค แกลิเฟียนาคิส และจัสติน บาร์ธ่า กลับมารับบทบาทของพวกเขาในภาพยนตร์ นักแสดงนำ ยังรวมถึง เค็น จุง และ เจฟฟรีย์ แทมเบอร์ ผู้กลับมารับบทบาทจากภาพยนตร์ภาคแรก และเมสัน ลี, เจมี่ ชุง รวมถึง พอล จีอาแม็ตติ ผู้มาร่วมงานกับเหล่านักแสดง

          บทภาพยนตร์เขียนขึ้นโดย เคร็ก แมซิน และ สก็อต อาร์มสตรอง และ ทอดด์ ฟิลลิปส์ ซึ่งฟิลลิปส์ยังอำนวยการสร้างภาพยนตร์ภายใต้บริษัท Green Hat Films ของเขาร่วมกับแดน โกล์ดเบิร์ก โดยมีโธมัส ทัล, สก็อตต์ บัดนิค, คริส เบ็นเดอร์ และ เจ.ซี.สพิงค์ ทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างบริหาร ร่วมกับเดวิด เอ. ซีเกล และ เจฟฟรีย์ เว็ตเซล ทำหน้าที่เป็นผู้ร่วมอำนวยการสร้าง

          ภาพยนตร์เรื่อง “The Hangover ภาค 2” นำเสนอโดยวอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส ร่วมกับ เลเจนดารี่ พิกเจอร์ส และจัดจำหน่ายโดยวอร์เนอร์ บราเดอร์ส พิกเจอร์ส หนึ่งในกลุ่มบริษัทวอร์เนอร์ บราเดอร์ส เอ็นเตอร์เทนเมนท์