PR on May 27, 2011, 06:04:17 PM


          ภาพยนตร์เรื่อง X-MEN: FIRST CLASS (เอ็กซ์-เม็น: รุ่นหนึ่ง) ผสมผสานความยิ่งใหญ่และภาพยนตร์แอ็คชั่นที่โด่งดังของช่วงซัมเมอร์เข้ากับตัวละครที่ขับเคลื่อนเรื่องราว ซึ่งปรากฏออกมาในตำนานของ X-Men ช่วงแรกเริ่ม ความเป็นมาของสงครามเย็นที่ถูกซ่อนเร้น และโลกของเราที่อยู่ภายใต้เหตุการณ์ที่อาจเกิดสงครามนิวเคลียร์ล้างโลก เมื่อมีการค้นพบและควบคุมรุ่นหนึ่ง จนมีพลังอำนาจที่น่ากลัว เหล่าสมาชิกก่อตัวกันขึ้นเพื่อสร้างสงครามนิรันดร์กาลระหว่างฮีโร่และเหล่าร้ายของโลก X-Men ดั่งเช่นเรื่อง X-Men ที่ยิ่งใหญ่ ภาพยนตร์เรื่อง X-MEN: FIRST CLASS (เอ็กซ์-เม็น: รุ่นหนึ่ง) เกี่ยวกับความยากลำบากและการปรากฏตัวขึ้นมา ขณะที่มีการนำเสนอความเข้มข้นและภาพลักษณ์เฉพาะตัวของเหล่าซูเปอร์ฮีโร่ที่ไม่ธรรมดา

          ภาพยนตร์เป็นฉากของในรุ่งอรุณแห่งยุคอวกาศ 1960 และเป็นช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความหวังในป้อมปรากการแห่ง JFK แต่มันก็เป็นจุดสูงสุดของสงครามเย็น เมื่อการคุกคามระหว่างอเมริกาและสหภาพโซเวียตได้คุกคามเพิ่มขึ้นทั่วโลก และเมื่อโลกค้นพบว่ามีมนุษย์กลายพันธุ์อยู่

          และในระหว่างช่วงยุคนี้ชาร์ลส์ ซาเวียร์ ได้พบกับเอริค เลห์นเชอร์ ก่อนที่ชาร์ลส์ (เจมส์ แม็คอวอย) และเอริค (ไมเคิล แฟสเบ็นเดอร์) ได้รับฉายา โพรเฟสเซอร์ เอ็กซ์ และ แม็กนีโต พวกเขาเป็นเพียง 2 หนุ่มที่พบพลกำลังของตัวเอง ก่อนที่พวกเขาจะกลายเป็นศัตรูตัวฉกาจ พวกเขาเคยเป็นเพื่อนรักกันมาก่อน ร่วมมือกับเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์คนอื่นเพื่อหยุดหยั้งการคุคามโลกครั้งยิ่งใหญ่กว่าที่เคยพบมาก่อน มนุษย์กลายพันธุ์รุ่นเยาว์ที่มารวมตัวกันบางคนเป็นที่โปรดปรานของแฟนๆ จากหนังเรื่อง X-Men ภาคก่อน ขณะที่ตัวละครอื่นเป็นฮีโร่อมตะจากหนังสือการ์ตูนที่แปลกใหม่สำหรับภาพยนตร์ซีรี่ส์ ภาพยนตร์เรื่อง X-MEN: FIRST CLASS (เอ็กซ์-เม็น: รุ่นหนึ่ง) เป็นคำตอบให้หลายข้อสงสัยที่แฟนหนังหรือการ์ตูนให้ความสนใจมาอย่างยาวนานว่า X-Men มารวมตัวกันได้อย่างไร? ทำไมชาร์ลส์ถึงอยู่บนเก้าอี้รถเข็น? คฤหาสน์เอ็กซ์และซีรีโบรมาจากไหน? แต่ประเด็นสำคัญและความเป็นมาของท้องเรื่องจะกึกก้องด้วยความแปลกใหม่จากภาพยนตร์เรื่องอื่นซีรี่ส์
« Last Edit: May 27, 2011, 06:08:13 PM by PR »

PR on May 27, 2011, 06:25:49 PM
จุดเริ่มต้น
          ภาพยนตร์เรื่อง X-MEN: FIRST CLASS (เอ็กซ์-เม็น: รุ่นหนึ่ง) เป็นจุดเริ่มต้นครั้งใหม่สำหรับเหล่า X-Men เรื่องราวเกิดขึ้นโดย เชลดัน เทอร์เนอร์ ผู้ร่วมเขียนบทภาพยนตร์เรื่อง Up in the Air ที่เข้าชิงรางวัล Academy Award และไบรอัน ซิงเกอร์ ผู้ทำหน้าที่เป็นผู้กำกับของภาพยนตร์ซีรี่ส์ 2 ภาคแรกของ X-Men และ X2: X-Men United ได้รับการต้อนรับจากเหล่านักวิจารณ์และผู้ชมทั่วโลกสำหรับทักษะแลการผสมผสานแนวดราม่า ฉากแอ็คชั่น ความยิ่งใหญ่และรูปแบบที่เกี่ยวข้องกับสังคม-การเมืองที่ไม่มีที่ติ ภาพยนตร์เรื่อง X-Men ของซิงเกอร์กลายต้นแบบการฟื้นคืนชีพของของการดัดแปลงหนังสือการ์ตูนมาสู่ ภาพยนตร์ และเป็นภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่ยุคใหม่ที่มีความโดดเด่น
          ส่วนใหญ่ของภาพยนตร์เรื่อง X-MEN: FIRST CLASS เริ่มต้นในยุค 1960 ซึ่งเป็นช่วงที่เหมาะสมสำหรับเรื่องราวจุดกำเนิด เพราะเป็นช่วงทศวรรษที่บรรณาธิการ หัวหน้าผู้เขียน และผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์ของ Marvel Comics อย่างสแตน ลี พร้อมด้วยแจ็ค เคอร์บี้ สร้างหนังสือการ์ตูนเรื่อง X-Men ออกมา โดยเรื่อง The X-Men เหมือนกับการ์ตูนเรื่องก่อนๆ ของ Marvel ที่เป็นกลุ่มเหล่าผู้กล้าที่ไม่ธรรมดา ณ ช่วงเวลาที่การต่อต้านสังคมมีการบิดเบือนและเสียดสี แต่ก็ยังมีการเห็นใจเกิดขึ้น เมื่อมีการสู้รบปรบมือกับเหล่าศัตรูในมุมที่เกี่ยวข้องกับชีวิตแห่งความรัก การต่อกรกับวิกฟติแห่งศักดิ์ศรี หรือการสยบเหล่าร้ายผู้ทรงพลัง ในโลกแห่งพลังวิเศษของพวกเขา พวกเขาเป็นลูกหลานอะตอมของสิ่งมีชีวิตที่เหนือกว่ามนุษย์ และเชื่อมโยงต่อไปถึงวิวัฒนาการที่ต่อเนื่องกันไป มนุษย์กลายพันธุ์แต่ละคนเกิดมาพร้อมยีนการกลายพันธุ์อันมีเอกลักษณ์ ซึ่งแสดงขีดพลังออกอย่างเต็มขั้นได้ชัดเจนเมื่อเข้าวัยหนุ่มสาว ในโลกที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง ความอคติและความหวาดกลัว พวกเขามีความแตกต่างในทางหลักวิทยาศาสตร์ …แปลกจากธรรมชาติ… ไม่เป็นที่ยอมรับ น่าหวาดกลัวและเป็นที่น่ารังเกียจของผู้ที่ยอมรับความต่างของพวกเขาไม่ได้
          “หลักการแรกแห่งธุรกิจในการนึกถึงเรื่องราว” ซิงเกอร์กล่าวว่า “คือการจินตนาการถึงยุคที่ทั้งชาร์ลส์และเอริคได้พบกัน ตอนที่พวกเขาอยู่ในช่วงอายุ 20 กลางๆ เราตินสินใจว่ามันน่าเป็นช่วงต้นยุค 60 จุดสูงสุดของการเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิมนุษยชนและสงครามเย็น ซึ่งปัญหาทั้งสองด้านในยุคนั้นทำให้เกิดจังหวะความน่าตื่นเต้นในการขุดคุ้ยเหตุการณ์ต่างๆ ที่ทำให้โลกสมัยใหม่ของเราเป็นรูปร่างขึ้นมา” สถานการณ์ความรุนแรงอย่างหนึ่งของสงครามเย็นคือวิกฤติขีปณาวุธคิวบา ในช่วงที่มีการคุกคามของในช่วงที่มีการล้างเผ่าพันธุ์โลกกระทันหันอย่างยิ่งใหญ่ และท้ายที่สุดทำให้เกิดเครื่องเดิมพันต่อมนุษย์กลายพันธุ์เพื่อเปิดเผยตัวสู่โลก และป้องกันไฟร้ายที่อาจเผากลืนโลกไปได้
          สภาพแวดล้อมที่มีความสำคัญเทียบเท่ากันของภาพยนตร์คือประเด็นของเรื่องสิทธิพลเมือง มนุษย์กลายพันธุ์จะเป็นที่ยอมรับของเหล่ามนุษย์ หรือพวกเขาจะถูกมองว่าเป็นภัยคุกคามที่ต้องคุมขังหรือทำลายให้สิ้นซาก? เหล่ามนุษย์กลายพันธุ์ควรยอมรับความแตกต่างของพวกเขาและปกครองผืนพิภพเยี่ยงมนุษย์ที่อยู่เหนือกว่าทุกคน หรือพวกเขาควรกลายเป็นส่วนหนึ่งขององค์ประกอบสังคม? “ผมรู้สึกหลงใหลคอนเซ็ปต์ของการปรับตัวเข้ากันของสังคมที่ตรงกันข้ามกับการบุกรุกมาโดยตลอด และเมื่อการเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิมนุษยชนในวันนี้กลายเป็นการเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิของเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์ในวันหน้า” ซิงเกอร์ กล่าว
          มิตรภาพระหว่างชาร์ลส์และเอริคเกี่ยวข้องกับประเด็นนั้น และเป็นตัวอย่างของความแตกต่างทางอุดมการณ์และหลักปรัชญาของยุคนั้น โดยพื้นฐานแล้วพวกเขามาจากพื้นเพเดียวกัน และทั้งคู่มองว่ามนุษย์กลายพันธุ์เป็นสิ่งที่อาจนำไปสู่การคุกคามได้ อย่างไรก็ตามชาร์ลส์ใช้ชีวิตเพื่อปกป้องผู้หวาดกลัวเขา ขณะที่เอริคใช้ชีวิตอยู่เพื่อทำลายพวกเขา ต่างเชื่อว่าด้านของตนถูกต้อง ต่างไม่ยอมประนีประนอมกัน แมทธิว วอนก์ ผู้กำกับกล่าวว่า “เอริคหวาดระแวงในเหล่ามนุษย์มาก ส่วนชาร์ลส์คิดว่าทุกอย่างต้องเป็นไปด้วยดี พวกเขาวางใจมนุษย์ให้ยอมรับเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์ที่มีอยู่ได้ เอริคโต้กลับว่า ‘พวกเขาจะปลุกเราขึ้นมาและเข่นฆ่าเรา’ ซึ่งเขาพูดถูก”         
          Infusing ภาพยนตร์เรื่อง X-MEN: FIRST CLASS (เอ็กซ์-เม็น: รุ่นหนึ่ง) ด้วยความเป็นมนุษย์ องค์ประกอบในการสร้างตัวละครเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่มีความสำคัญต่อวอนก์และซิงเกอร์ “ความวิเศษของภาพยนตร์แนวนี้คือเราสามารถถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับสถานภาพทางสังคมของมนุษย์จากจุดสังเกตุที่คาดไม่ถึง ใส่ภาพความน่าตื่นเต้นและความสงสัยลงไป” ซิงเกอร์กล่าว “สิ่งนั้นสำคัญเป็นพิเศษต่อหนังเรื่อง X-Men เพราะโลกใบนั้นแสดงถึงตัวละครที่มีความลึกซึ้ง เรื่องราว X-Men ที่มีความสุดยอดจะมีประเด็นที่ซับซ้อน และนั่นคือสิ่งที่พวกเราต้องการในหนังเรื่องนี้”
          “ในหนังทุกเรื่องที่ผมทำ” วอนก์ ผู้โด่งดังจากภาพยนตร์อินดี้ที่ได้รับการชมเชยอย่าง Layer Cake และ Kick-Ass กล่าวเสริม “ผมจะถามว่า ‘มุมมองของมนุษย์อยู่ตรงไหน? ทุกตัวละครและทุกจังหวะการเคลื่อนไหวต้องมีสิ่งนั้น หากผมหลุดเข้าไปในสิ่งที่ช่วยให้ผู้ชมเข้าถึงและสนใจตัวละครทุกตัวได้ มันจะยิ่งเพิ่มความรู้สึกในการชมภาพยนตร์ หากเราไม่สนใจเหล่าตัวละคร แล้วส่วนสำคัญคืออะไร?
          “ภาพยนตร์เรื่อง X-MEN: FIRST CLASS (เอ็กซ์-เม็น: รุ่นหนึ่ง) มีแนวคิดและช่วงเวลาที่สำคัญ” วอนก์กล่าวต่อไปว่า “เราไม่เชื่อใจวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์ขนาดใหญ่มาทำให้หนังประสบความสำเร็จเสมอไป เอ็ฟเฟ็กต์ช่วยสนับสนุนตัวละคร ภาพยนตร์เป็นผลงานโดดเด่นของตัวละครพร้อมฉากแอ็กชั่นขนาดมหึมา”
          ซิงเกอร์เริ่มคิดถึงจุดกำเนิดของเรื่องราวขณะกำลังกำกับภาพยนตร์เรื่อง X-Men สองภาคแรก “ผมคิดถึงประวัติความเป็นมาของพวกตัวละครทุกครั้งเวลาที่บอกวิธีแสดงลักษณะท่าทางตัวละครของพวกเขาให้กับนักแสดง ฉะนั้นการที่สามารถหวนกลับไปจัดการกับภูมิหลังเหล่านั้นที่ผมมีอยู่ในจินตนาการได้ มันเป็นความน่าพอใจมาก”
          หนึ่งในนักแสดงที่ถามประวัติความเป็นมาของตัวละครจากซิงเกอร์ คือ แพทริค สจ๊วต ผู้แสดงเป็นชาร์ลส์ ซาเวียร์ ในภาพยนตร์เรื่อง X-Men สามภาคแรก “แพทริคสงสัยที่มาของชาร์ลส์ จากนั้นผมก็มีความคิดถึงเรื่องนั้นที่ต่างจากเวอร์ชั่นของหนังสือการ์ตูนมาก” ซิงเกอร์จำได้ว่า “ผมอธิบายจุดเริ่มต้นในเวอร์ชั่นการ์ตูนที่เกิดขึ้นในธิเบต มีการรวมเจ้าหน้าที่สกัดมนุษย์ต่างดาวชื่อลูซิเฟอร์ หลังจากนั้นผมอธิบายแนวคิดของผม แพทริคบอกว่า ‘ผมชอบในแบบของคุณมากกว่า!’”
          ลอว์เร็น ชูเลอร์ ดอนเนอร์ ผู้อำนวยการสร้างผู้อยู่กับภาพยนตร์แฟรนไชส์เรื่อง X-Men ตั้งแต่เริ่มต้น ยังจำจุดกำเนิดของภาพยนตร์เรื่อง X-MEN: FIRST CLASS (เอ็กซ์-เม็น: รุ่นหนึ่ง) เมื่อย้อนไปสู่การสร้างภายพนตร์ต้นฉบับได้ว่า “ระหว่างการสร้างภาพยนตร์เรื่อง X2 เราพูดคุยกันระหว่างฉากถึงเรื่องเหล่านักแสดงวัยรุ่นของเรา และผมพูดว่า ‘ไม่ดีหรอถ้าเราได้เห็นโพรเฟสเซอร์ เอ็กซ์ หรือ แม็กนีโตตอนเป็นหนุ่ม เราน่าจะทำหนังเกี่ยวกับ X-Men ตอนที่พวกเขาเป็นวัยรุ่น’ ทุกคนพูดว่า ‘ใช่ เป็นความคิดที่ดี เป็นความคิดที่เยี่ยมเลย’ และพวกเราคุยถึงเรื่องนั้นกันอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็กลับไปทำ X2”
          ซิงเกอร์ไม่ได้ร่วมเขียนเรื่องให้ X-MEN: FIRST CLASS เท่านั้น เขายังร่วมงานในโปรเจ็กต์ในฐานะผู้อำนวยการสร้างร่วมกับชูเลอร์ ดอนเนอร์ และ ไซมอน คินเบิร์ก นักเขียนผู้มีความชำนาญโดยสิทธิส่วนบุคคลของเขา ผลงานที่มีชื่อเสียงอย่าง Mr. and Mrs. Smith และภาพยนตร์ที่กำลังจะเข้าฉายเรื่อง This Means War. แต่ใครจะกำกับหนัง? ซิงเกอร์ไม่สามารถทำได้เพราะตรงกับหน้าที่ในโปรเจ็กต์อื่น แต่โอกาสที่เขาได้พบวอนก์ที่ลอนดอนได้นำมาสู่ข้อตกลงในการเป็นผู้นำในต่อมา
          ภาพยนตร์เรื่อง X-MEN: FIRST CLASS (เอ็กซ์-เม็น: รุ่นหนึ่ง) ไม่ใช่การพบกับภาพยนตร์แฟรนไชส์เป็นครั้งแรกของวอนก์ หลังการกำกับภาพยนตร์อินดี้ที่ได้รับการชมเรื่อง Layer Cake เป็นครั้งแรก วอนก์ยิ่งใกล้การทำหน้าที่ควบคุมภาพยนตร์เรื่องที่ 3 ในภาพยนตร์ซีรี่ส์ X-Men เรื่อง X-Men: The Last Stand ก่อนย้ายมากำกับภาพยนตร์มหากาพย์แฟนตาซีที่ได้รับเสียงต้อนรับจากเหล่านักวิจารณ์ เรื่อง Stardust และภาพยนตร์ที่ดัดแปลงมาจากนิยายภาพ เรื่อง Kick-Ass
          วอนก์กล่าวว่าเขามารับหน้าที่ในภาพยนตร์ เรื่อง X-MEN: FIRST CLASS (เอ็กซ์-เม็น: รุ่นหนึ่ง) เพราะเขาเกิดประกายกับความคิดของซิงเกอร์เรื่องการวางเรื่องให้อยู่ในช่วงสงครามเย็น “ผมติดอยู่กับไอเดียของไบรอันโดยทันที ซึ่งเป็นวิธีการผสมผสานตัวละครเข้ากับเรื่องราวที่ผ่านมาไม่นานนี้ได้อย่างน่าสนใจ_” วอนก์จดจำได้ เจน โกล์ดแมน ผู้ร่วมเขียนบทของผู้กำกับกล่าวเสริมว่า “สิ่งหนึ่งที่ทำให้เราตื่นเต้นมากที่สุดเกี่ยวกับโปรเจ็กต์คือภูมิหลังเรื่องการเมือง ไอเดียของการผสมผสานมุมมองนั้นเข้ากับพื้นหลังของ X-Men จับจินตนาการของเราไว้ได้จริงๆ” (แอชลีย์ เอ็ดเวิร์ด มิลเลอร์ และ แซ็ค สเต็นซ์ คู่หูนักเขียนบทภาพยนตร์ที่ล่าสุดร่วมเขียนเรื่อง Thor ได้รับเครดิตด้านารเขียนบทร่วมกับวอนก์และโกล์ดแมน)
          ขณะยืดขยายเรื่องการเมืองและมนุษยชาติออกไป วอนก์และโกล์ดยังได้นำองค์ประกอบอื่นเข้ามาผสมผสานในยุคนั้นด้วย “ภาพยนตร์คือการที่ X-Men เผชิญกับวิกฤติขีปณาวุธคิวบาและผสานกับเจมส์ บอนด์” วอนก์กล่าว “มันมีการผสมผสานของภาพยนตร์เรื่องเจมส์ บอนด์ ในยุค 60 ที่นำแสดงโดย ฌอน คอนเนอรี่ ความเท่ห์ ฉากแอ็คชั่น การเสี่ยงภัย ลักษณะทั้ง 3 อย่างมาผสมเข้าด้วยกันหมด”
          ด้วยการผสมผสานหลายประเภทของเขา วอนก์ผู้เขียนบทไม่ทำให้อะไรๆ ง่ายต่อวอนก์ผู้กำกับอย่างแน่นอน “เราต้องคัดเลือกตัวแสดงใหม่ทุกบท สร้างบรรยากาศยุค 60 และสร้างฉาก X-Men ที่โดดเด่นรวมถึงเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายขึ้นมาใหม่” เขาอธิบาย แต่การท้าทายความสามารถที่ใหญ่ที่สุดของเขาคือการคัดเลือกตัวนักแสดงนำทั้งสอง เพื่อมารับบทเป็นชาร์ลส์และเอริคที่หลายปีต่อมาต้องกลายเป็นโพรเฟสเซอร์ เอ็กซ์ และ แม็กนีโต และตามที่เห็นในจักรวาล X-Men อันยิ่งใหญ่ของหนังสือการ์ตูนและภาพยนตร์ คือการเป็นปรปักษ์กันด้วยทัศนคติที่ไม่ลงรอยกัน

PR on May 27, 2011, 06:27:35 PM
เมื่อชาร์ลส์พบเอริค
          ในการคัดเลือกตัวละครของชาร์ลส์ บัณฑิตหนุ่มผู้มีความสามารถจาก Oxford ด้านพันธุศาสตร์ ผู้สามารถโทรจิตได้อย่างทรงพลังที่สุดของโลก ส่วนเอริคเป็นชายหนุ่มผู้อยู่ภายใต้สถานการณ์ที่น่ากลัว เขาค้นพบพลังของเขาในการควบคุมอำนาจแม่เหล็ก ผู้สร้างภาพยนตร์สนใจว่าพวกเขาต้องหา 2 นักแสดงหนุ่มที่ผู้ชมจะยอมรับในการมาแสดงบทบาทของแพทริค สจ๊วต และ เอียน แม็คเคลเลน ได้
เจมส์ แม็คอวอย ผู้เปลี่ยนบทบาทจากภาพยนตร์อินดี้อย่างเรื่อง Atonement และ The Last King of Scotland รวมถึงภาพยนตร์ เรื่องดังอย่าง The Chronicles of Narnia: The Voyage of the Dawn Treader และ Wanted ได้รับการยอมรับให้มารับบทชาร์ลส์ แม็คอวอยยอมรับการท้าทายความสามารถของการบรรยายตัวละครช่วงการเปลี่ยนแปลงของชีวิตเขา บทซาเวียร์ของเขามีความแตกต่างในแบบเฉพาะจากผู้นำซาเวียร์ที่มีความมั่นใจจากต้นฉบับไตรภาค “ในหนังพวกนั้น” แม็คอวอยอธิบาย “โพรเฟสเซอร์ เอ็กซ์ ไม่มีความเห็นแก่ตัวและปราศจากอีโก้ เขาให้ความสนใจเหล่ามนุษย์ในโลกส่วนที่เหลือและการช่วยเหลือผู้อื่น เมื่อเราพบเขาในภาคนี้ตอนเขาเป็นวัยรุ่น เขาเป็นคนสนใจแต่ตัวเอง มีอีโก้ และค่อนข้างสิ้นหวัง ภาพยนตร์เรื่อง X-MEN: FIRST CLASS (เอ็กซ์-เม็น: รุ่นหนึ่ง) เกี่ยวกับการค้นหาจุดมุ่งหมายของชาร์ลส์ และนั่นเป็นสิ่งที่ทำให้ผมสนใจในบทนี้ ได้เห็นว่าชาร์ลส์เคยเป็นคนอย่างไร และหาเหตุผลว่าทำไมเขาจึงกลายเป็นคนแบบนั้น แมทธิวสร้างมันได้อย่างชัดเจนในช่วงเริ่มต้น เขาต้องการให้ทั้งผมและไมเคิล [แฟสเบ็นเดอร์ผู้รับบทเป็นเอริค] มาแสดงบทบาท และไม่แสดงเหมือนเป็นแพทริค สจ๊วต หรือ เอียน แม็คเคลเลน ตอนหนุ่ม”
          “ผมคิดว่าเจมส์มีทุกสิ่งที่ต้องการในตัวละคร” วอนก์กล่าว “ในหนังเรื่องก่อนๆ ชาร์ลส์เป็นครูใหญ่ที่รายล้อมด้วยบรรยากาศคล้ายคลึงกับศาสนา Zen ชาร์ลส์ในวัยหนุ่มของเราดูมีความสนุกสนานมากขึ้น เขาเคลื่อนไหวไปทุกที่และอยู่เหนือสถานการณ์ ชาร์ลส์ตื่นตัวกับตัวตนของเขา เขาพอใจกับความสำเร็จและเป็นความภูมิใจของเขา” เจน โกล์ดแมน กล่าวเสริมว่า “การท้าทายความสามารถที่แท้จริงในการบรรยายตัวละครชาร์ลส์ คือการค้นหาข้อบกพร่องของเขาและทำให้เขาเป็นตัวละครที่มีความซับซ้อนหลากหลาย เจมส์ แม็คอวอย มาพร้อมกับไอเดียสุดมหัศจรรย์หลายอย่างเกี่ยวกับตัวละคร เพราะเขาเขามีรับมือกับชาร์ลส์ได้เป็นอย่างดี”
          เมื่อเราได้พบชาร์ลส์ในเรื่อง X-MEN: FIRST CLASS (เอ็กซ์-เม็น: รุ่นหนึ่ง) เหล่ามนุษย์กลายพันธุ์ยังไม่เปิดเผยตัวเองต่อโลก อันที่จริงชาร์ลส์ไม่แน่ใจว่าจะมีมนุษย์กลายพันธุ์คนอื่นนอกจากตัวเองหรือเปล่า และเขาได้เป็นเพื่อนกับสาวที่ชื่อว่าเรเว็นหลายปีก่อนหน้านี้ “ยิ่งนานเรายิ่งรู้จักชาร์ลส์” แม็คอวอยกล่าว “เขาเป็นคนเดียวที่อ่านใจออก และระหว่างที่เขาหวังว่าจะมีมนุษย์กลายพันธุ์คนอื่น เส้นทางของเขายังไม่ถูกตั้งให้เป็นเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์ที่ดูมีชีวิตชีวา และเขาค้นหาการยอมรับจากมนุษยชาติ”
          ชาร์ลส์พบจุดมุ่งหมายของพลังอันน่าเกรงขามของเขา เมื่อเขาติดต่อกับมนุษย์กลายพันธุ์ทั่วโลกด้วยการโทรจิต เขาลงมือผ่านอุปกรณ์ที่รู้จักกันมาอย่างยาวนานในตำนานของแฟนๆ X-Men คือซีรีโบร หมวกโลหะสุดไฮเทคที่เพิ่มพลังการโทรจิตของชาร์ลส์ ซีรีโบรในภาพยนตร์เรื่อง X-MEN: FIRST CLASS (เอ็กซ์-เม็น: รุ่นหนึ่ง) เป็นอุปกรณ์ทันสมัยต้นแบบในช่วงแรกที่พบในภาพยนตร์เรื่อง X-Men ในยุคร่วมสมัย ซีรีโบรในยุค 60 ของชาร์ลส์ในวัยหนุ่มที่ถูกหลอมรวมด้วยเทคโนโลยีและอุปกรณ์จากยุคนั้น รวมถึงสวิตช์เปิดปิด หลอดรังสีแคโธดและเสาอากาศสมัยก่อน ผู้ออกแบบฉาก คริส ซีเกอร์ส backward-engineered ซีรีโบรของภาพยนตร์ต้นฉบับ โดยผู้ออกแบบกล่าวว่าให้มันเป็น “โครงสร้างที่เรียบง่ายสุดๆ พร้อมส่วนสำคัญที่มาจากการออกแบบของภาพยนตร์ภาคก่อน หลังคาโดมของมันอิงมาจากหอดูดาวที่เต็มไปด้วยจุดรายล้อมที่ชนบทของประเทศอังกฤษทั่วไป”
          ซีรีโบรเปรียบเสมือนความหมายบางอย่างของชาร์ลส์ “ช่วงแรกเขาเข้าใจว่ามีมนุษย์กลายพันธุ์เป็นพันคนในโลก ไม่ใช่หลักล้าน ซึ่งนั่นทำให้เขาถ่อมตัว” แม็คอวอยกล่าว “มันทำให้ภารกิจและจุดประสงค์ของเขาเป็นรูปร่างขึ้นมา นั่นคือการค้นหามนุษย์กลายพันธุ์คนอื่นและช่วยเหลือพวกเขา”
          ชาร์ลส์เข้ามาพัวพันในสงครามที่ค่อยๆ เป็นรูปร่างขึ้นมาระหว่างอเมริกาและสหภาพโซเวียตอยู่แล้ว เมื่อตอนที่เขาช่วยชีวิตมนุษย์กลายพันธุ์ผู้มีพลังความสามารถที่น่ากลัว และอดีตที่หลอกหลอนที่กำหนดไว้ในมนุษย์กลายพันธุ์อยู่แล้วอย่างเอริค เลห์นเชอร์ บทเส้นทางที่จะพาเขาไปสู่การต่อสู้กับชาร์ลส์ แต่สำหรับตอนนี้พวกเขาเป็นเพื่อนและรู้สึกเหมือนเป็นพี่น้องกัน “นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตของพวกเขาที่พวกเขาได้พบคนที่มีคุณสมบัติเหมือนกัน คนที่เข้าใจและสามารถผลักดันอีกฝ่ายได้ด้วย” แม็คอวอยกล่าว “ชาร์ลส์หลงใหลความสามารถที่ซ่อนอยู่ในตัวเอริค”
          ในความเป็นจริงชาร์ลส์เป็นคนแรกที่เอริคเคยติดต่อ ไมเคิล แฟสเบ็นเดอร์ ผู้แสดงเป็นเอริคกล่าวว่า “มันมีสายสัมพันธ์ที่หนักแน่นระหว่างชาร์ลส์และเอริค และมีความนับถือกันอย่างลึกซึ้ง แต่จากจุดเริ่มต้นอุดมการณ์ของพวกเขามีความไม่ลงรอยกัน เอริคเฝ้าระวังสิ่งแปลกใหม่ในชีวิตของเขา และการใกล้ชิดคนอื่นอีกครั้ง เขาทำกับชาร์ลส์แบบนั้นเหมือนที่ทำกับคนอื่น เราอยากได้วิธีการเข้าถึงจุดเริ่มต้นของรอยร้าวที่เป็นตัวทำลายของพวกเขาที่ดูน่าเชื่อถือ เมื่อเอริคและชาร์ลส์เกิดการแตกคอกัน ผู้ชมจะรู้สึกว่าเรื่องดีๆ คงเกิดขึ้นได้หากพวกเขารวมพลังกันตลอดไป”
          เอริคลังเลใจต่อการร่วมมือกับชาร์ลส์ในภารกิจปกป้องโลกจากตัวมันเอง เอริคถามว่าทำไมมนุษยชาติถึงควรค่าต่อการรักษาเอาไว้? “เอริคค่อนข้างเป็นคนมีเล่ห์เหลี่ยม เขาชื่อในจุดสุดท้ายจะเป็นเหตุผลเพียงพอในการกระทำ” แฟสเบ็นเดอร์อธิบาย “เขาไม่สนใจมนุษย์และรู้สึกว่าพวกเขาต่ำต้อยกว่า”
          ความรู้สึกอันห้าวหาญของเอริคเกี่ยวกับมนุษย์ในวัยเด็กของเขาไม่แตกต่างไปจากชีวิตที่มากด้วยโอกาสของชาร์ลส์มากนัก เอริคต้องใช้ชีวิตโดยไม่มีพ่อแม่และเป็นเด็กวัยรุ่นที่ถูกบังคับให้อยู่กับความทุกข์ทรมาณที่ยากเกินกว่าจะเข้าใจได้ ภาพยนตร์เรื่อง X-MEN: FIRST CLASS (เอ็กซ์-เม็น: รุ่นหนึ่ง) แนะนำตัวเอริคด้วยฉากสนุกสนานที่เปิดตัวในภาพยนตร์ต้นฉบับของ X-Men มีการเริ่มต้นที่ค่ายกักกัน Auschwitz ในปี 1940 ตอนนั้นหนุ่มน้อยเอริคเกิดความหวาดกลัวเมื่อพวกนาซีแยกเขาออกจากพ่อแม่ และแสดงความสามารถของมนุษย์กลายพันธุ์ออกมาให้เห็นโดยการงอรั้วโลหะของแคมป์ ภาพยนตร์เรื่อง X-MEN: FIRST CLASS (เอ็กซ์-เม็น: รุ่นหนึ่ง) หยิบฉากหลังจากนั้นขึ้นมา ตอนที่เอริคยังเป็นหนุ่มน้อยที่กลายเป็นเครื่องมือทดสอบของ ดร.ชมิด ผู้มุ่งมั่นปลดปล่อยและควบคุมพลังของเอริคอย่างเต็มที่ “แมทธิวกับผมยกย่องในพลังและอิทธิพลของฉากค่ายกักกันในเรื่อง X-Men ซึ่งเป็นตัวแสดงถึงตัวละครของเอริค” ผู้ร่วมเขียนบท เจน โกล์ดแมน กล่าวว่า “และแมทธิวอยากค้นหาว่าต่อมาเกิดอะไรขึ้นกับเอริค สิ่งที่เราเห็นจะเปลี่ยนความรู้สึกของเราเกี่ยวกับเอริค และทำให้เรามองเขาผ่านแง่มุมที่แปลกใหม่”
          20 ปีต่อมา ตอนนี้เอริคเติบโตขึ้นพร้อมภารกิจอย่างหนึ่งในชีวิต คือสะกดรอยและสังหาร ดร.ชมิด (ผู้ที่เราจะพบอีกครั้งในรูปแบบที่แตกต่างออกไปมาก) เอริคไล่ล่าชมิดและนายแพทย์นาซีคนอื่นๆ ที่เขาเชื่อว่าเป็นคนแปลงร่างเขาให้กลายเป็นปีศาจแฟรงเกนสไตน์ด้วยความโกรธและเกลียด แม้แต่เมื่อเอริคได้พบเพื่อนคนแรกในตัวชาร์ลส์ และเป็นที่ยอมรับของสมาชิกในทีมคนอื่นๆ ที่จะกลายเป็น X-Men เขาก็ไม่เคยเบี่ยงเบนภารกิจของเขา “เอริคมีความมุ่งมั่นอย่างเต็มที่ หากชาร์ลส์หรือใครก็ตามมาขวางทางเขา เขาจะสยบพวกนั้นลง” แฟสเบ็นเดอร์กล่าว
          วอนก์ได้เห็นการแสดงที่ได้รับคำชมจากเหล่านักวิจารณ์ของแฟสเบ็นเดอร์ในภาพยนตร์ เรื่อง 300, Hunger และ Inglourious Basterds หลังการออดิชั่นอันน่าประทับใจของแฟสเบ็นเดอร์ที่มาคัดเลือกตัวนักแสดงในบทของเอริค เขากล่าวว่า “ไมเคิลแสดงลักษณะท่าทางของเอริคได้น่าสนใจ และเอริคดูเป็นคนตรงไปตรงมาที่มีมาด” ผู้กำกับกล่าว “ผลงานของไมเคิลในภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้นึกถึงการแสดงของฌอน คอนเนอรี่ ในภาพยนตร์เรื่อง James Bond เอริคเหมือนสายลับมาก นึกถึงภาพบอนด์…แต่มีพลังวิเศษ”
          แฟสเบ็นเดอร์มีความกระตือรือร้นในการแสดงตัวละครที่มีความซับซ้อน เขากล่าวว่าตอนที่เขาได้รับบทภาพยนตร์ เขาคิดว่ามัน “อัจฉริยะที่สุด การแสดงแต่ละอย่างในหนังเรื่องนี้มีความสำคัญจริงๆ ทั้งหมดไม่ใช่การระเบิดปืนใส่ มีอะไรเกิดขึ้นมากกว่านั้น เป็นการเขียนเรื่องที่มีความซับซ้อนหลายอย่าง และผมประทับใจกับสิ่งนั้นมาก” แฟสเบ็นเดอร์ยังกล่าวอีกว่า สำหรับการพัฒนาการแสดงในบทของเอริค เขาไม่ได้สนใจภาพยนตร์เรื่องก่อนๆ เลย “แหล่งข้อมูลที่สำคัญอยู่ในหนังสือการ์ตูน จริงๆ แล้วเราเริ่มจากการขัดเกลาเพื่อนำเสนอเนื้อหาในมุมมองที่แปลกใหม่”
          เหล่า X-MEN มารวมตัวกัน
          หลังชาร์ลส์ร่วมมือกับเอริคเพื่อรับสมาชิกเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์หนุ่มสาว “รุ่นหนึ่ง” นักเรียนผู้มีพรสวรรค์เหล่านี้เรียนรู้การควบคุมและบังคับพลังของพวกเขาเพื่อคุณงามความดีอันใหญ่หลวงแห่งมนุษยชาติ แต่การควบคุมพลังเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องง่าย และไม่ใช่การรวมตัวเป็นทีมของพวกเขาด้วย
          ในภาพยนตร์ไตรภาคเรื่อง X-Men เริ่มแรก เหล่ามนุษย์กลายพันธุ์มีจุดมุ่งหมายด้วยศักยภาพของพวกเขาและเป็นทีมที่ (ส่วนใหญ่) มีความราบรื่น แต่เมื่อเราพบเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์รุ่นเยาว์ในภาพยนตร์ เรื่อง X-MEN: FIRST CLASS พลังของพวกเขายังไม่อาจควบคุมและปรับได้ ยิ่งไปกว่านั้นไบรอัน ซิงเกอร์ ผู้เป็นเหมือนวัยรุ่นส่วนใหญ่กล่าวว่า เหล่ามนุษย์กลายพันธุ์รู้สึกไม่สบายใจที่มีความแตกต่างจากเพื่อนของพวกเขา “สถานการณ์ของพวกเขาเป็นการเปรียบเทียบว่าพวกหนุ่มสาวจะรู้สึกอึดอัดในความเป็นตัวตนแค่ไหน และมันยากลำบากเพียงใดเมื่อเรา ‘แตกต่าง’ จากอุดมการณ์ทางสังคม”
          มนุษย์กลายพันธุ์ผู้เป็นสมาชิกในกลุ่มคนแรกของชาร์ลส์คือเรเว็น ผู้มีผิวสีน้ำเงิน สามารถแปลงร่างได้พร้อมกับความว่องไวเหนือมนุษย์ มนุษย์กลายพันธุ์ทั้งสองพบกันเมื่อตอนวัยรุ่น ตอนที่ชาร์ลส์พบเรเว็นกำลังรื้อข้าวของกระจุยกระจายผ่านห้องครัวของเขาในแมนชั่นของครอบครัว (ยิ่งไปกว่านั้นเพื่อปูความสัมพันธ์ที่สำคัญระหว่างชาร์ลส์และเรเว็น ฉากที่เรียบง่ายและงดงามของบ้านสุดหรูของซาเวียร์ เป็นจุดแทงใจดำถึงสภาพของเอริคในช่วงวัยเด็ก)
          ชาร์ลส์ทำให้เรเว็นเป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวของเขา พวกเขาโตมาเหมือนพี่ชายกับน้องสาว แต่เรารู้ดีจากภาพยนตร์ภาคแรกๆ ว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาจะเปลี่ยนไปอย่างน่าตื่นเต้น ไบรอัน ซิงเกอร์ อธิบายว่า “เพราะชาร์ลส์ยังเป็นและตอนนั้นยังอ่อนประสบการณ์ บางครั้งเขาไม่ได้เอาใจใส่เรเว็นมากอย่างที่ควร และบางครั้งเธอเองก็ไม่พอใจ และนั่นทำให้เธอมีเส้นทางอย่างที่เราพบเธอในภาพยนตร์ไตรภาคต้นฉบับ [แสดงไว้โดยรีเบ็คก้า โรมิน] ที่เหมือนพี่น้องของแม็กนีโตที่จากกันไป”
          เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ นักแสดงหญิงยอดเยี่ยมผู้เข้าชิงรางวัล Academy Award® จากการแสดงที่โดดเด่นของเธอเมื่อปี 2010 ในภาพยนตร์ดราม่าเรื่อง Winter’s Bone แสดงเป็นเรเว็น ผู้มีฉายาของมนุษย์กลายพันธุ์ว่ามิสทีก “เคเว็นเรียนรู้การอยู่ร่วมกับความลับของเธอ เธอเหมือนกับวัยรุ่นส่วนใหญ่ที่รู้สึกไม่ปลอดภัย เธอมีปฏิกิริยาต่อสิ่งที่รู้ว่าทำให้พวกเขามีความแตกต่าง เธอไม่เผชิญหน้ากับความสามารถพิเศษของเธอ” เธอกล่าว “เรเว็นอับอายในความสามารถมาก เธอเริ่มเข้าใจช้าๆ ว่ามันเป็นพรอย่างหนึ่ง และกลับรู้สึกภูมิใจในความสามารถการกลายพันธุ์ของเธอ เช่นเดียวกับพลังของมนุษย์กลายพันธุ์คนอื่น ในช่วงแรกเริ่มเราอ้างว้างและโดดเด่น มนุษย์กลายพันธุ์แต่ละคนผ่านพ้นวิวัฒนาการอันยิ่งใหญ่ เราร่วมมือกันเพื่อกลายเป็นกลุ่ม X-Men ที่มีเอกลักษณ์จากนั้นได้แยกตัวกันไป มันเป็นเสน่ห์ที่ได้เห็นการเดินทางของตัวละครแต่ละตัว และฝ่ายที่พวกเขาจะเข้าร่วมมือในท้ายที่สุด”
          เมื่อชาร์ลส์และเอริครู้ว่ายังมีมนุษย์กลายพันธุ์คนอื่นอยู่ พวกเขาหาอุบายที่พาพวกเขาไปอยู่ท่ามกลางความตึงเครียดที่มากขึ้นระหว่างอเมริกาและสหภาพโซเวียต ซึ่งเป็นการนำโลกสู่หายนะอย่างรวดเร็ว ในทางตรงกันข้ามนี่เป็นการสร้างพันธมิตรระหว่างมนุษย์กลายพันธุ์และตัวแทนรัฐบาลอเมริกาอย่างน่าเป็นห่วง ชาร์ลส์และเอริคได้พบกับแฮงค์ที่องค์กร ผู้เป็นนักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะที่มาพร้อมคุณสมบัติของมนุษย์กลายพันธุ์บางอย่าง จนกระทั่งเซรั่มตัวหนึ่งไม่อาจควบคุมความสามารถเหนือมนุษย์ที่อยู่ภายในตัวบีสได้อย่างไม่คาดฝัน
สำหรับแฮงค์ พลังแห่งการเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ของเขายังไม่เป็นที่เปิดเผย เขาทำงานที่องค์กรลับสุดยอดเพื่อการพัฒนาเทคโนโลยีสำหรับการเปลี่ยนแปลงโลก เช่น ซีรีโบรและ X-Jet แฮงค์อยู่อย่างโดดเดี่ยวในชีวิตเป็นส่วนใหญ่ เพื่อปิดบังและอับอายนิ้วเท้าที่มีขนาดใหญ่ดูเหมือนลิงรวมถึงความสามารถเหนือมนุษย์ของเขา เมื่อเขาได้พบชาร์ลส์และเอริค ชีวิตของแฮงค์เปลี่ยนไปอย่างไม่คาดฝัน นิโคลาส เฮาล์ต นักแสดงดาวรุ่งผู้รับบทของมนุษย์กาลยพันธุ์ที่แฟนๆ จะต้องหลงรักอย่างบีสอธิบายว่า “ชาร์ลส์บอกแฮงค์ว่าเขาต้องปลดปล่อยพลังการกลายพันธุ์ของเขาออกมาอย่างเต็มที่ แฮงค์ได้พยายามยับยั้งพลังและกล่อมตัวเองว่าพวกเขาไม่มีตัวตนอยู่ เขาหวาดกลัวมากว่าสิ่งที่เขามีความสามารถ หากเขาไม่ควบคุมมัน ชาร์ลส์ทำให้แฮงค์เผชิญหน้ากับความสามารถด้านการกลายพันธุ์ของเขา เรียนรู้การควบคุมมัน และใช้มันเพื่อช่วยเหลือทั้งเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์และมนุษยชาติ”
          สำหรับเฮาล์ต ตอนนี้เขาอยู่หน้ากล้องของภาพยนตร์ผจญภัยของไบรอัน ซิงเกอร์ เรื่อง Jack the Giant Killer เข้าใจว่าแฮงค์รู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับความสามารถเฉพาะตัวของเขาที่มีความเชื่อมโยงว่า “ทุกคนต้องรู้สึกอับอายหรือรู้สึกเหมือนเป็นคนนอกในช่วงหนึ่งของชีวิตพวกเขา ความรู้สึกที่มนุษย์กลายพันธุ์เหล่านี้มีต่อพลังของพวกเขาก็ไม่ต่าง เมื่อพวกเขาได้พบและร่วมแชร์พรสวรรค์ของพวกเขา ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาภูมิใจกับสิ่งที่เขาเป็น”
          ทีมงานผู้อยู่รายล้อมที่กลายเป็นรุ่นหนึ่งของภาพยนตร์ X-Men ได้แก่ ลูคัส ทิล ผู้รับบทเป็นอเล็กซ์ ซัมเมอร์ส ฉายาฮาว็อค ผู้สามารถปลดปล่อยวงแหวนที่เป็นศูนย์รวมคลื่นพลังความร้อนสูง ที่ทำให้เป้าหมายของเขาระเบิดเป็นเปลวไฟได้ และผู้ที่ชาร์ลส์และเอริคปล่อยตัวจากการกักตัวอย่างโดดเดี่ยวในสถานกักกัน คือแคเล็บ แลนดรี้ โจนส์ ผู้รับบทเป็น ฌอน แคสสิดี้ ฉายาแบนชี่ ผู้สามารถแผดเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ที่ทำให้เขาบินได้ และอีดี้ แกเธกี้ ผู้รับบทเป็นอาร์มอนโด มูนอซ ฉายาดาร์วิน เจ้าของ "ปฏิกิริยาวิวัฒนาการ” ที่ทำให้เขาสามารถปรับตัวสู่สถานการณ์หรือสภาพแวดล้อมใดๆ ได้

PR on May 27, 2011, 06:29:31 PM
HELLFIRE!
          ชาร์ลส์และเอริคนำเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์สู่การต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่กับเซบาสเตียน ชอว์ มนุษย์กลายพันธุ์ผู้ทรงพลังที่สามารถดูดซึมพลังงานและถ่ายเทใหม่ให้เป็นพลังที่เหนือมนุษย์ ชอว์จะเคลื่อนตัวอย่างลึกลับด้วยหมายกำหนดลับที่เป็นการคุกคามโลกทั้งใบ เขาจะไม่รั้งรอสิ่งใดเพื่อเริ่มศึกสงคราม และหากเขาทำสำเร็จเหล่ามนุษยชาติจะต้องถูกพิพากษา
          ภาพยนตร์เรื่อง X-MEN: FIRST CLASS (เอ็กซ์-เม็น: รุ่นหนึ่ง) เป็นการสร้างภาพชอว์ให้กลายเป็น puppet master ผู้อยู่เบื้องหลังวิกฤติขีปณาวุธคิวบา ที่ประเทศคิวบาสหภาพโซเวียตได้เริ่มติดตั้งขีปณาวุธวิสัยกลาง ที่สามารถบรรทุกน้ำหนักอาวุธนิวเคลียร์ไปยังอเมริกาได้ ซึ่งต้องการให้การติดตั้งพวกนี้ถูกรื้อถอนไปโดยทันที การประจัญหน้าที่ดำเนินต่อไประหว่างประเทศมหาอำนาจทั้งสองได้นำโลกสู่การทำลายล้างอย่างช้าๆ “แผนการของชอว์” เควิน เบคอน ผู้รับบทบาทกล่าวว่า “คือการเพิ่มระดับวิกฤติขีปณาวุธคิวบาได้นำพาเรือรัสเซียและเรือดำน้ำไปสู่อ่าว Bay of Pigs มีชาวอเมริกันและชาวรัสเซียสาดกระสุนใส่กัน จุดชนวนสงครามนิวเคลียร์ที่จะขจัดเหล่า มนุษยชาติ และทำให้เหล่ามนุษย์กลายพันธุ์ได้ครองโลก มันเป็นเค้าโครงแผนการที่สุดเฉียบ มันเป็นช่วงเวลาแห่งความตึงเครียดในประวัติศาสตร์โลกที่ไม่น่าเชื่อ และบอกถึงไอเดียของชอว์เป็นวิธีการสุดเฉียบเพื่อสร้างโลกของ X-Men ขึ้นมาในระหว่างยุคนี้
          “ชอว์เป็นคนที่มีพลังอำนาจอย่างสูงและที่สำคัญเป็นผู้ต่อต้านสังคมด้วย” เบคอนกล่าวต่อว่า “แต่เขาเชื่อมั่นอย่างแท้จริงว่าเขากำลังพยายามสร้างโลกที่ดีขึ้น ซึ่งปราศจากมนุษย์ มีมนุษย์กลายพันธุ์ปกครองและอาศัยอยู่ทั้งหมด ธรรมเนียมปฏิบัติตามศีลธรรมนำมาใช้กับชอว์ไม่ได้ ความคิดของเขาเชื่อว่ามนุษย์กลายพันธุ์และมนุษย์ไม่มีทางอาศัยร่วมกันได้ ฉะนั้นนี่คือการเอาตัวรอดที่เหมาะสมที่สุด และชอว์มุ่งมั่นปกป้องประชากรมนุษย์กลายพันธุ์ เขาถูกผลักดันโดยความเชื่อที่หนักแน่น โดยเขาคิดว่าเขาคือผู้นำที่เหมาะสมสำหรับโลกใบใหม่”
          มนุษย์กลายพันธุ์…ผู้เป็นมือขวาของชอว์…และมีเรื่องความรักเข้ามาเกี่ยวข้อง คือ เอ็มม่า ฟรอสต์ ผู้มีชื่อเสียงมาอย่างยาวนานว่าเป็นผู้หญิงที่เซ็กซี่ที่สุดในยุค 60 จากการถ่ายทอดของหนังสือการ์ตูน ซึ่งอยู่เหนือบทนางร้ายใดๆ เช่น แคทวูแมนและอิเล็คตร้า ผู้แสดงบทบาทของ เอ็มม่า ผู้สามารถโทรจิตพร้อมมีผิวที่ไม่สามารถทำลายได้เหมือนเพชรคือแจนยัวรี่ โจนส์ โจนส์ยอมรับว่ากรแสดงเป็นตัวละครที่มีความโดดเด่นนี้เป็นโอกาสหนึ่งที่ฉีกมาจากภาพยนตร์ซีรี่ส์ทางทีวีเกี่ยวกับโลกในยุค 60 ซึ่งได้รับการชมเชยอย่างเรื่อง “Mad Men” ซึ่งเธอแสดงเป็นเบ็ตตี้ เดรเปอร์ กล่าวได้ว่าโจนส์รู้สึกประหลาดใจเมื่อเธอได้อ่านบทภาพยนตร์เรื่อง he X-MEN: FIRST CLASS (เอ็กซ์-เม็น: รุ่นหนึ่ง) โดยแน่นอนว่าฉากเป็นช่วงยุคสมัยเดียวกันกับซีรี่ส์ที่ได้รับการชมเชย เหมือนเป็นการถ่อมตนว่า “โอ้ พระเจ้า คุณต้องล้อกันเล่นแน่เลย!” เธอจำการอุทานของตัวเธอได้ แต่โจนส์เข้าใจอย่างรวดเร็วว่าเอ็มม่ามีความแตกต่างจากเบ็ตตี้ “ฉันตื่นเต้นมากที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโลกสุดเหลือเชื่อของ X-Men”เธอกล่าว “มันเป็ฯสิ่งที่ใหม่มากสำหรับฉัน การผสมผสานการท้าทายความสามารถทางด้านร่างกายทั้งหมดที่บทเสนอมา เช่นเดียวกับมุมมองด้านบทละคร เอ็มม่าเป็นตัวร้ายที่มีศิลปะ แต่ฉันคิดว่าจุดมุ่งหมายของเธอมีความชัดเจนและออกมาจากใจ เธอคิดว่าเธอกำลังทำสิ่งที่ดีที่สุดต่อเผ่าพันธุ์ของเธอ และจะทำทุกสิ่งเพื่อรักษาเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์ให้คงอยู่และเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีความแข็งแกร่งขึ้น”
          อันที่จริงเอ็มม่าจากหนังสือการ์ตูนที่ลงมาเกิดใหม่มีลักษณะที่แตกต่างอย่างน่าประทับใจ และไม่ค่อยทำให้โจนส์เป็นกังวลมากนัก เธอรู้สึกดีใจที่ได้สวมเสื้อผ้าที่ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย แซมมี่ เชลดัน สร้างขึ้นมาเพื่อเธอ “ในหนังสือการ์ตูนเสื้อผ้าของเอ็มม่าดูเหมือนเป็นสีที่ทาเอาไว้” โจนส์กล่าวพร้อมหัวเราะ “แต่แซมมี่สร้างผลงานได้อย่างน่าอัศจรรย์ เธอทำให้เสื้อผ้าดูสมจริงกับตัวละคร และเป็นเสื้อผ้าที่ฉันสามารถเคลื่อนไหวไปรอบๆ ได้ด้วย” เชลดันกล่าวเสริมว่า “เราอยากทำให้เอ็มม่ามีช่วงเวลาแห่ง ‘ความเท่ห์’ และมีหลายครั้งที่เธอสวมชุดบิกินี่, เสื้อคลุมที่ดูยั่วยวน, ชุดนางแมว, ชุดชั้นในคริสตัล และรองเท้าบูทยาวมาถึงต้นขาที่ประกอบกับเสื้อผ้าของเธอ”
          ผู้มาร่วมมือกับชอว์และเอ็มม่าโดยเป็นส่วนหนึ่งของ Hellfire Club ของชอว์ ได้แก่ อาซาเซล (เจสัสน เฟลมิ่ง) ผู้เหมือนปีศาจที่สามารถเคลื่อนไหวตัวได้จากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง โดยการเปิดประตูไปสู่อีกมิติ; แองเจิล (โซอี้ เครวิตซ์) ผู้มีรอยสักของปีกแมลงอันงดงามที่กลายเป็นปีกของจริงขึ้นมาจากหลัง ทำให้เธอมีความสามารถในการบิน และริพไทด์ (อเล็กซ์ กอนซาเลซ) ผู้สร้างกระแสลมอันทรงพลังที่สามารถถอนรากถอนโคนเหล่าศัตรูได้อย่างน่าสะพรึงกลัวที่สุด
          X พบหน่วย MIB
          เพื่อสกัดการคุกคามชอว์และการเคลื่อนไหวของทีมเขา ชาร์ลส์ เอริค และมนุษย์กลายพันธุ์รุ่นเยาว์ของเขาต้องรวมตัวกับกลุ่มลับเฉพาะภายใน CIA ที่รู้จักกันว่า Division X ซึ่งมีหน้าที่สืบเสาะวิธีการใช้พลังโทรจิตและพลังเหนือธรรมชาติในกองกำลังทหาร ช่องทางการติดต่อของเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์ที่สำคัญมีอยู่ทางเดียวโดยรู้จักกันในนาม MIB รับบทแสดงโดยโอลิเวอร์ แพลตต์ “สมาชิกตลกของ MIB ของหน่วยงานมาอย่างยาวนานเพราะการสืบสวนของเขาในจุดนั้น” นักแสดงผู้ชนะรางวัลและผู้มีการเคลื่อนไหวจากจุดหนึ่งอธิบายว่า “เมื่อชาร์ลส์กับมิสทีกติดกับองค์กร MIB เบี่ยงเบนความสนใจของพวกเขามาสู่หน่วยงานที่ครอบคลุมด้วยบรรยากาศแห่งการเมือง ในไม่นานเอริคมาร่วมมือกับพวกเขา และ X-Men ก็เฟื่องฟูภายใต้การคุ้มกันของ MIB”
          เหล่ามนุษย์กลายพันธุ์และ MIB ทำงานร่วมกับมอยร่า แม็คแท็กเกิร์ต รับบทแสดงโดย โรส บริน สายลับ CIA ในช่วงเวลาที่มีสายลับหญิงเพียงไม่กี่คน หลังจากที่มอยร่ากลายเป็นมนุษย์คนแรกในบรรดาผู้ที่รู้เห็นพลังอำนาจของเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์ เธอเฝ้าติดตามชาร์ลส์ผู้ช่วยมอยร่าจูงใจผู้บังคับบัญชาของเธอเกี่ยวกับเรื่องมนุษย์กลายพันธุ์ที่ยังมีอยู่ และพวกสายลับควรทำงานร่วมกับเขาเพื่อหยุดยั้งชอว์ “มอยร่าเป็นคนหนักแน่นมาก มีความพยายามสูงและมีแรงผลักดันเมื่อเธอต้องมีชีวิตอยู่ในโลกของมนุษย์” โรส บริน ผู้แสดงภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียงมาแล้วมากมาย เช่น Get Him to the Greek และภาพยนตร์ยอดนิยมล่าสุด Insidious กล่าวว่า “เธอเป็นคนพลิกโฉมเรื่องนั้นและมีแรงดลใจ แถมค่อนข้างใจกล้าด้วย”
          เกี่ยวกับการสร้าง
          การเปิดกล้องเริ่มต้นเมื่อเดือนสิงหาคม 2010 ที่ Pinewood Studios ในประเทศอังกฤษ ผู้ออกแบบฉาก คริส ซีเกอร์ส สร้างฉากมากกว่า 80 ฉาก รวมไปถึงฉากที่มีส่วนประกอบซับซ้อนอีก 20 ฉากใน Pinewood และสถานที่ต่างๆ ตลอดทั่วประเทศอังกฤษและอเมริกา
          ผลงานของซีเกอร์สมีความชำนาญจากการมองโลกในยุค 60 อย่างแง่ดี “ในยุคนั้นมีการเลื่องชื่อด้านการออกแบบ” ซีเกอร์สอธิบาย “ทุกอย่างเป็นความใหม่ ทั้งสี รูปร่าง และวัสดุน้ำหนักเบาที่ทันสมัยอย่างพลาสติกที่ระเบิดขึ้นในฉาก เราเริ่มจาการมองวัสดุใหม่ๆ เหล่านี้ในงานสถาปัตยกรรม แมทธิวมีความกระตือรือร้นกับการใส่สไตล์แบบเจมส์ บอนด์ ลงไปในภาพลักษณ์ของภาพยนตร์ ขณะที่ยังคงรักษาภาพลักษณ์ที่ดูมืดหม่นของโลก X-Men เอาไว้”
          เพื่อรักษาความต่อเนื่องของภาพยนตร์เรื่อง X-Men ก่อนหน้านี้ การออกแบบเป็นพิเศษถูกสร้างขึ้นตลอดขั้นตอนการประดิษฐ์ย้อนหลัง “เรามองจากการออกแบบที่มีเอกลักษณ์บางอย่างของภาพยนตร์เหล่านั้น เช่น ซีรีโบร, X-Jet, หมวกหุ้มเกราะของแม็กนีโต เช่นเดียวกับตัวละครของพวกเขา และถามตัวเราว่าต้นแบบของพวกเขาดูเหมือนอะไร” ที่ปรึกษาด้านภาพ รัสเซล เดอ โรซาริโอ กล่าวว่า “เรารู้สึกถึงความรับผิดชอบในการสร้างวิวัฒนาการของการออกแบบที่ดูน่าเชื่อถือ”
          ฉากหนึ่งในภาพยนตร์ที่เป็นสิ่งคาดหวังด้วยความกระตือรือร้นที่สุด คือ X-Jet ซึ่งสร้างขึ้นในฉากที่ Longcross Studios ในเซอร์รีย์ โดยอ้างอิงจาก XB-70 ต้นแบบวิสัยไกล เครื่องบินทิ้งระเบิดไวเหนือเสียงที่พัฒนาในอเมริกาช่วงปลายปี 1950s โครงสร้างขนาดใหญ่วัดได้ขนาดประมาณ 80 ฟุตตามยาว สถานที่/ฉากที่เป็นเอกลักษณ์อีกอย่าง คือ คฤหาสน์ของชาร์ลส์ ซึ่งตั้งอยู่ที่เวสต์เชสเตอร์ เมืองนิวยอร์ค ที่กลายเป็นโรงเรียนของซาเวียร์สำหรับหนุ่มสาวผู้มีพรสวรรค์ เด็กกลายพันธุ์จะมีการเรียนรู้เพื่อหาถิ่นฐานในสังคมที่รังเกียจพวกเขา โดยพบบ้านหลังหนึ่งในประเทศอังกฤษที่เหมือนกับคฤหาสน์ของภาพยนตร์ต้นฉบับที่ถ่ายทำในแคนาดา ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าเป็นการท้าทายความสามารถที่สำคัญ เพราะคฤหาสน์ชาวอังกฤษมีความเก่าแก่กว่าคฤหาสน์ที่คล้ายกันของชาวแคนาดา ในที่สุดผู้สร้างภาพยนตร์เลือก Englefield House คฤหาสน์ Tudor แสนสวยในเบิร์คเชียร์ที่มีประวัติความเป็นมาอย่างยาวนานและมีเสน่ห์ในตัวมันเอง ซึ่งทำให้มีวิวเมืองชนบทชาวอังกฤษที่ดูน่าทึ่ง           
          ฉากสำคัญอื่นๆ ถูกสร้างขึ้นที่ Pinewood รวมถึงสำนักงานใหญ่ MIB และเรือดำน้ำขนาดใหญ่ สำหรับที่ Pinewood ผู้สร้างภาพยนตร์ยังสร้างค่ายกักกันที่มีประโยชน์ในภาพยนตร์เรื่อง X-Men ต้นฉบับขึ้นมาใหม่ด้วยความพยายาม “มันเป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่พวกเขาสามารถสร้างฉากขึ้นมาใหม่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ” ไบรอัน ซิงเกอร์ กล่าวว่า “ผมคิดว่าพวกเขาได้เห็นการถ่ายทำประจำวันบนจอมอนิเตอร์ขณะที่ผมกำลังดูฉากที่ถ่ายทำในเรื่อง X-MEN: FIRST CLASS (เอ็กซ์-เม็น: รุ่นหนึ่ง)”
          จากนั้นยังมีจุดอันตรายของ The Hellfire Club ที่ทันสมัยในยุค 60 ที่เป็นกองบัญชาการของเซบาสเตียน ชอว์และเหล่าบริวารของเขา ฉาก The Hellfire Club ทั้งหมดรวมถึงทางเข้าคาซิโนที่มีสไตล์เหมือนเวกัส (สร้างขึ้นที่อเมริกา); บนสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ Café de Paris ในลอนดอนมีผู้หญิงสวมชุดชั้นในหลายร้อยคนเป็นนักแสดงประกอบ และห้องลับภายในของชอว์ซึ่งเป็นฉากวงกลมสร้างขึ้นที่ Pinewood สีสันที่โดดเด่นและสดใสของคลับรวมถึงการใช้ศิลปะป๊อปซึ่งสะท้อนให้เห็นความรู้สึกและกลิ่นไอของยุค 1960
เพื่อเป็นการเพิ่มขอบเขตสากลของภาพยนตร์ ผู้สร้างภาพยนตร์ยังสร้างสถานที่ต่างๆ ขึ้นมาใหม่ในอาร์เจนติน่า ลอนดอน สวิตเซอร์แลนด์และรัสเซีย ในช่วงต้นเดือนธันวาคมกองถ่ายที่ถูกย่อส่วนย้ายสถานที่ไปอเมริกาเพื่อถ่ายทำฉากชายหาดคิวบาที่ Jekyll Island ในตอนปลายทางใต้ของจอร์เจีย
          ผู้ควบคุมวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์ในตำนานอย่าง จอห์น ไดค์สตรา ผู้สร้างผลงานสุดวิเศษเอาไว้ในภาพยนตร์เรื่อง Star Wars Episode IV- A New Hope และ Spider-Man และบรรดาผู้มีชื่อเสียงในวงการภาพยนตร์คนอื่นๆ มาร่วมกันใส่ชีวิตชีวาของพลังมนุษย์กลายพันธุ์ ซึ่งบางสิ่งยังไม่เคยได้เห็นในภาพยนตร์แฟรนไชส์ “เรามีตัวละครใหม่บางตัวในภาพยนตร์เรื่อง X-Men และพลังของพวกเขาต้องกระตุ้นความสนใจได้” ไดค์สตรากล่าวว่า “มันต้องมีจุดเชื่อมโยงระหว่างลักษณะเฉพาะของมนุษย์กลายพันธุ์และพลังของเขาหรือเธอโดยธรรมชาติ เราอยากให้ตัวละครและความสามารถของพวกเขาเป็นมากกว่าพลังอำนาจที่ประจักษ์แก่สายตา มันต้องมีความฉลาดอยู่เบื้องหลังกลยุทธ์ของพวกเขา”
          ไดค์สตรากล่าวชื่นชมภาพยนตร์เรื่อง X-Men โดยเฉพาะภาคนี้ว่า “จุดประการความเชื่อว่าการมพลังเป็นเรื่องดีเสมอ ภาพยนตร์ซีรี่ส์เรื่อง X-Men บรรยายเรื่องถึงมนุษย์กลายพันธุ์ว่าพวกเขามีความพิเศษ และมาพร้อมกับความรู้สึกของการเป็นผู้ที่ไม่สามารถปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมได้” เขากล่าว
          ผลงานด้านดิจิตอลของไดค์สตรามีความสมบูรณ์แบบได้ด้วยเอ็ฟเฟ็กต์พิเศษ (ที่มีความเป็นไปได้) ที่สร้างขึ้นโดยผู้ชนะรางวัล Academy Award® คริส คอร์โบล์ด เจ้าของผลงานเลื่องชื่อล่าสุดอย่าง The Dark Knight, Inception และ Casino Royale เอ็ฟเฟ็กต์อันน่าสนใจที่ประจักษ์แก่สายตาของคอร์โบล์ดในภาพยนตร์เรื่อง X-MEN: FIRST CLASS (เอ็กซ์-เม็น: รุ่นหนึ่ง) สามารถพบได้ในฉากค่ายกักกันที่สร้างขึ้นมา ใน X-Jet (ซึ่งการหมุนเป็นวง 360 องศาถูกสร้างขึ้นอย่างสมบูรณ์แบบก่อนหน้านี้ในเรื่อง Inception) และในเรือดำน้ำของชอว์ด้วย
          และสำหรับการเพิ่มสีสันภาษาภาพเข้ามาในภาพยนตร์เป็นผลงานของผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย แซมมี่ เชลดัน ผู้ทำหน้าที่โดยการคงรูปแบบ “ที่ทันสมัย” ของยุค 60 และความรู้สึกที่เหมือนเจมส์ บอนด์ การท้าทายความสามารถที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเชลดันคือการพัฒนาชุด X ที่สวมโดยชาร์ลส์ เอริค และสมาชิกหนุ่มสาวคนใหม่ระหว่างการต่อสู้อันยิ่งใหญ่ครั้งสำคัญกับชอว์และ Hellfire Club วอนก์ต้องการรักษาศรัทธาต่อหน้าปกของหนังสือการ์ตูน X-Men ภาคแรก ที่ได้เห็นมนุษย์กลายพันธุ์สวมชุดสีฟ้าและสีเหลือง “แมทธิวกับผมมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าในการสร้างชุดที่นึกถึงประโยชน์ใช้สอยเป็นส่วนสำคัญ โดยการใช้เทคโนโลยีจากยุค 1960” เชลดันกล่าวว่า “มันเลยกลายเป็นว่าเคฟล่า, เนื้อสารป้องกันกระสุนที่ถูกพัฒนาขึ้นมาในช่วงต้นยุค 60 และวัตถุถูกนำมาพัฒนาต่อให้มีสีเหลือง (เชลดินเพิ่มสีฟ้าเข้ามาในเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายในตอนท้าย)
          ผลงานในช่วงโพสต์-โพรดักชั่น ได้แก่ เพลงประกอบภาพยนตร์ของเฮนรี่ แจ็คแมน ที่รวมถึงประเด็นของ “X-Men” และ “Magneto” แบบใหม่ที่กำลังจะสิ้นสุดลง วอนก์ใช้เวลา 2-3 นาทีเพื่อคุยถึงความหวังและมาตรฐานที่คาดหวังไว้ในหนังเมื่อเข้าฉายในโรงภาพยนตร์เดือนมิถุนายน “ผมว่าสิ่งที่สร้างความแตกต่างของ X-MEN: FIRST CLASS (เอ็กซ์-เม็น: รุ่นหนึ่ง) จากภาพยนตร์หนังสือการ์ตูนเรื่องอื่น คือเรามีตัวละครที่หลากหลาย” เขาชี้ชัดว่า “และตัวละครของเราแต่ละตัวมีพลัง บุคลิกลักษณะ ความน่าตื่นเต้น อุดมการณ์ จริยธรรมและความสัมพันธ์ในแบบเฉพาะตัว และทั้งหมดนั่นคือสิ่งที่จำเป็นต่อจักรวาล X-Men”

PR on May 30, 2011, 07:33:32 PM
X-MEN: FIRST CLASS (เอ็กซ์-เม็น: รุ่นหนึ่ง)

          ด้วยความสงสัยที่มาของ ชาร์ลส์ จึงทำให้มีกำเนิดที่มาของ X-MEN: FIRST CLASS (เอ็กซ์-เม็น: รุ่นหนึ่ง)



          หนึ่งในนักแสดงที่ถามประวัติความเป็นมาของตัวละครจากซิงเกอร์ คือ แพทริค สจ๊วต ผู้แสดงเป็นชาร์ลส์ ซาเวียร์ ในภาพยนตร์เรื่อง X-Men สามภาคแรก “แพทริคสงสัยที่มาของชาร์ลส์ จากนั้นผมก็มีความคิดถึงเรื่องนั้นที่ต่างจากเวอร์ชั่นของหนังสือการ์ตูนมาก” ซิงเกอร์จำได้ว่า “ผมอธิบายจุดเริ่มต้นในเวอร์ชั่นการ์ตูนที่เกิดขึ้นในธิเบต มีการรวมเจ้าหน้าที่สกัดมนุษย์ต่างดาวชื่อลูซิเฟอร์ หลังจากนั้นผมอธิบายแนวคิดของผม แพทริคบอกว่า ‘ผมชอบในแบบของคุณมากกว่า!’”

          ลอว์เร็น ชูเลอร์ ดอนเนอร์ ผู้อำนวยการสร้างผู้อยู่กับภาพยนตร์แฟรนไชส์เรื่อง X-Men ตั้งแต่เริ่มต้น ยังจำจุดกำเนิดของภาพยนตร์เรื่อง X-MEN: FIRST CLASS (เอ็กซ์-เม็น: รุ่นหนึ่ง) เมื่อย้อนไปสู่การสร้างภายพนตร์ต้นฉบับได้ว่า “ระหว่างการสร้างภาพยนตร์เรื่อง X2 เราพูดคุยกันระหว่างฉากถึงเรื่องเหล่านักแสดงวัยรุ่นของเรา และผมพูดว่า ‘ไม่ดีหรอถ้าเราได้เห็นโพรเฟสเซอร์ เอ็กซ์ หรือ แม็กนีโตตอนเป็นหนุ่ม เราน่าจะทำหนังเกี่ยวกับ X-Men ตอนที่พวกเขาเป็นวัยรุ่น’ ทุกคนพูดว่า ‘ใช่ เป็นความคิดที่ดี เป็นความคิดที่เยี่ยมเลย’ และพวกเราคุยถึงเรื่องนั้นกันอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็กลับไปทำ X2”

          วอนก์กล่าวว่าเขามารับหน้าที่ในภาพยนตร์ เรื่อง X-MEN: FIRST CLASS (เอ็กซ์-เม็น: รุ่นหนึ่ง) เพราะเขาเกิดประกายกับความคิดของซิงเกอร์เรื่องการวางเรื่องให้อยู่ในช่วงสงครามเย็น “ผมติดอยู่กับไอเดียของไบรอันโดยทันที ซึ่งเป็นวิธีการผสมผสานตัวละครเข้ากับเรื่องราวที่ผ่านมาไม่นานนี้ได้อย่างน่าสนใจ_” วอนก์จดจำได้ เจน โกล์ดแมน ผู้ร่วมเขียนบทของผู้กำกับกล่าวเสริมว่า “สิ่งหนึ่งที่ทำให้เราตื่นเต้นมากที่สุดเกี่ยวกับโปรเจ็กต์คือภูมิหลังเรื่องการเมือง ไอเดียของการผสมผสานมุมมองนั้นเข้ากับพื้นหลังของ X-Men จับจินตนาการของเราไว้ได้จริงๆ” (แอชลีย์ เอ็ดเวิร์ด มิลเลอร์ และ แซ็ค สเต็นซ์ คู่หูนักเขียนบทภาพยนตร์ที่ล่าสุดร่วมเขียนเรื่อง Thor ได้รับเครดิตด้านารเขียนบทร่วมกับวอนก์และโกล์ดแมน)

          ขณะยืดขยายเรื่องการเมืองและมนุษยชาติออกไป วอนก์และโกล์ดยังได้นำองค์ประกอบอื่นเข้ามาผสมผสานในยุคนั้นด้วย “ภาพยนตร์คือการที่ X-Men เผชิญกับวิกฤติขีปณาวุธคิวบาและผสานกับเจมส์ บอนด์” วอนก์กล่าว “มันมีการผสมผสานของภาพยนตร์เรื่องเจมส์ บอนด์ ในยุค 60 ที่นำแสดงโดย ฌอน คอนเนอรี่ ความเท่ห์ ฉากแอ็คชั่น การเสี่ยงภัย ลักษณะทั้ง 3 อย่างมาผสมเข้าด้วยกันหมด”

          ด้วยการผสมผสานหลายประเภทของเขา วอนก์ผู้เขียนบทไม่ทำให้อะไรๆ ง่ายต่อวอนก์ผู้กำกับอย่างแน่นอน “เราต้องคัดเลือกตัวแสดงใหม่ทุกบท สร้างบรรยากาศยุค 60 และสร้างฉาก X-Men ที่โดดเด่นรวมถึงเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายขึ้นมาใหม่” เขาอธิบาย แต่การท้าทายความสามารถที่ใหญ่ที่สุดของเขาคือการคัดเลือกตัวนักแสดงนำทั้งสอง เพื่อมารับบทเป็นชาร์ลส์และเอริคที่หลายปีต่อมาต้องกลายเป็นโพรเฟสเซอร์ เอ็กซ์ และ แม็กนีโต และตามที่เห็นในจักรวาล X-Men อันยิ่งใหญ่ของหนังสือการ์ตูนและภาพยนตร์ คือการเป็นปรปักษ์กันด้วยทัศนคติที่ไม่ลงรอยกัน_เมื่อชาร์ลส์พบเอริค

          ติดตามการความสัมพันธ์ ระหว่างเพื่อนของชาร์ลส์และเอริค อะไรคือสาเหตุที่ทำให้เค้าทั้งคู่กลายมาเป็นศัตรูกัน เพราะอะไรนั้น ค้นหาคำตอบได้ใน X-MEN: FIRST CLASS (เอ็กซ์-เม็น: รุ่นหนึ่ง) 2 มิถุนายนนี้ ในโรงภาพยนตร์เท่านั้น

เว็บ http://www.xmenfirstclass-thai.com/

PR on June 02, 2011, 12:15:42 PM
X-MEN: FIRST CLASS (เอ็กซ์-เม็น: รุ่นหนึ่ง) – ตำนานอันทรงเกียรติ


 
          แรกเริ่มถูกสร้างขึ้นเมื่อปี 1963 โดยผู้เขียน สแตน ลี และศิลปินอย่างแจ็ค เคอร์บี้ โลกของ X-MEN เป็นเอกสารประกอบอยู่ในหนังสือการณ์ตูนนับพันเล่ม ไม่ได้รับการอ้างอิงถึงรายการแอนิเมชั่นทางทีวี วีดีโอเกมและหนังสือต่างๆ แต่อย่างใด สำหรับผลงานทางจอหนัง ภาพยนตร์แฟรนไชส์ได้ผลิตออกมาเป็นภาพยนตร์ไม่น้อยกว่า 4 ภาคในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา เริ่มต้นจากภาพยนตร์เรื่อง X-MEN ของไบรอัน ซิงเกอร์ ในปี 2000 และตามมาด้วยเรื่องล่าสุดในปี 2009 ที่มีการอิงจากเรื่อง X-MEN ORIGINS: WOLVERINE

          ภาพยนตร์เรื่อง X-MEN: FIRST CLASS (เอ็กซ์-เม็น: รุ่นหนึ่ง) สร้างความต่อเนื่องในทิศทางใหม่ โดยการเคลื่อนแอ็คชั่นสู่ 1962 ภาพยนตร์สำรวจการเผชิญหน้ากันครั้งแรกระหว่างคู่อริคนสำคัญของภาพยนตร์ชุด เช่น โพรเฟสเซอร์ ชาร์ลส์ ซาเวียร์ และ เอริค เลห์นเชอร์ และมิตรภาพช่วงวัยรุ่นที่มีความตึงเครียดที่เปลี่ยนพวกเขาเป็นอริคู่อาฆาตที่ดุเดือด

          ผู้กำกับ แมทธิว วอนก์ เล่าว่ามันเป็นความแตกต่างของตำนาน X-MEN ที่ผู้ชมภาพยนตร์คุ้นเคยกับมัน “สิ่งที่ผมทำเป็นสิ่งที่ไม่มีใครเคยทำกับหนังซูเปอร์ฮีโร่มาก่อน” เขาเปิดเผยในฉากของภาพยนตร์ที่ Pinewood Studios ในลอนดอน “มันเหมือนกับภาพยนตร์เรื่องเจมส์ บอนด์ ในยุค 60 มันเป็นเรื่องระทึกขวัญเกี่ยวกับรัฐบาล แต่นี่คือหนังเรื่อง X-Men ผมไม่หันหลังกลับไปหาเรื่องนั้นแน่”

          ภาพยนตร์โดยส่วนใหญ่แล้วเหมาะสมอย่างลงตัวกับโลกแห่ง X-MEN บนจอยักษ์ ซึ่งได้รับการยอมรับโดยไบรอัน ซิงเกอร์ ด้วยภาพยนตร์เรื่อง X-MEN ภาคแรก โดยอนัที่จริงผู้กำกับท่านนั้นหวนสู่เรื่อง X-MEN: FIRST CLASS (เอ็กซ์-เม็น: รุ่นหนึ่ง) ในฐานะผู้อำนวยการสร้าง “แต่มันไม่เหมือนหนังเรื่อง X-MEN ภาคอื่น ซึ่งผมคิดว่านั่นคือประเด็นสำคัญ” วอนก์กล่าว “ผมคิดว่าพวกเขาต้องการอย่างที่ BATMAN BEGINS ถูกสร้างขึ้นมาหลังเรื่อง BATMAN ทุกตอน ผมไม่ได้พูดว่าเรื่องนี้จะต้องดีเหมือนกับ BATMAN BEGINS แต่มันเป็นรูปแบบเดียวกัน”

          สำหรับผู้เขียนบทภาพยนตร์ เจน โกล์ดแมน ซึ่งเป็นแฟนหนังสือการ์ตูนมาอย่างยาวนาน กล่าวว่าการถูกเรียกตัวให้มาเขียนภาพยนตร์เรื่อง X-MEN เหมือนฝันที่เป็นจริง และเธอรู้ตัวดีว่าไม่อยากทำให้แฟนๆ จำนวนมาก ซึ่งรวมถึงตัวเธอต้องผิดหวัง แต่เธอกล่าวว่า “สิ่งที่แมทธิวและฉันซึ่งเป็นแฟนหนังสือการ์ตูนทั้งคู่รู้สึกได้ คือเมื่อนักเขียนหรือศิลปินหน้าใหม่เข้ามาอยู่ในภาพยนตร์ชุด มันต้องมีการนึกถึงสิ่งที่มีอยู่ก่อนหน้านั้น แต่ก็ต้องค้นหาแง่มุมอื่นๆ ด้วย”

          ผู้เขียนกล่าวว่ามันคงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ หากจะเล่าเรื่องราวใดๆ ภายในโลก X-MEN โดยทำการเปลี่ยนแปลงหนังสือการ์ตูนที่สร้างขึ้นมาหลายต่อหลายปีให้เป็นที่ยอมรับ “ฉันว่ามันเป็นเรื่องดีที่รู้สึกยึดติดกับประเด็นนั้นเอาไว้มากและเข้าใจมัน แต่ในเวลาเดียวกันหากเราอ่านหลักการทั้งหมดของ X-Men ในเรื่องมีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง ไม่ใช่แค่ในโลกอย่างที่เห็น แต่มันคือทุกส่วนที่มีการสลับสับเปลี่ยนอย่างที่ผู้เขียนได้ทำขึ้น” เธอให้เหตุผลว่า “ฉันคิดว่าจริงๆ แล้วมันก็ดีที่มีอิสรภาพที่แตกต่างกันไป ขณะที่ยังคงความเคารพในประวัติความเป็นมาของมันไว้ด้วย”

          สิ่งสุดท้ายคือทักษะด้านการดัดแปลงที่ต้องสร้างให้ถูกอารมณ์และตรงจังหวะ ซึ่งนั่นหมายถึงความอ่อนโยนที่สำคัญเพื่อสร้างโลกขึ้นมาในแบบของเรา “ประเด็นหลักของเรื่อง ฉันคิดว่าไอเดียของการค้นหาชาร์ลส์ ซาเวียร์ และ เอริค เลห์นเชอร์ ก่อนที่เขาจะกลายเป็นคนที่ดึงดูดความสนใจฉันได้มาก”

          วอนก์ชี้ให้เห็นถึงความเหมือนและความต่างระหว่างซาเวียร์กับเลห์นเชอร์ และหนังสือการร์ตูนต้นฉบับเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งเรื่องสิทธิเสรีภาพ ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อ X-MEN สร้างขึ้นเป็นครั้งแรกในหนังสือการ์ตูนที่มีรูปแบบของยุค 60 “ทุกอย่างที่เกี่ยวข้อง [กับความสัมพันธ์นั้น] เป็นสิ่งที่อ้างอิงจากมาร์ติน ลูเธอร์ คิง และ มัลคอล์ม เอ็กซ์” เขาให้เหตุผล “ในหนังของเรา พวกเขาได้พบปะกันและเราเราเห็นคนหนึ่งเดินตามรอยทางของลูเธอร์ คิง และอีกคนหนึ่งเดินตามรอยมัลคอล์ม เอ็กซ์ นั่นคือส่วนที่มีอยู่แล้วโดยธรรมชาติของโลก X-MEN”

          “วิธีที่พวกเขาแสดงถึงอุดมการณ์ที่แบ่งแยกกันนี้” โกล์ดแมนกล่าวต่อ “มันค่อนข้างน่าสนุกที่ได้เฝ้าดูตัวละครทุกตัวนี้ในช่วงที่กำลังก่อร่างอุดมการณ์ขึ้นมา มากกว่าที่พวกเขาจะแบ่งแยกเป็นฝ่ายดีและฝ่ายชั่วอย่างเด่นชัด จากมุมมองการสร้างสรรค์ที่ทำให้ผมหลงใหล และมันน่าตื่นเต้นมากที่ได้ทำให้ตัวละครเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา”

          สำหรับนักแสดงอย่างเจมส์ แม็คอวอย ผู้รับบทแสดงเป็น ชาร์ลส์ ซาเวียร์ ฉายาโพรเฟสเซอร์ เอ็กซ์ พัฒนาการของตัวละครคือเหตุผลที่ทำให้เขาร่วมลงชื่อรับบทบาท “มันไม่ใช่แค่หนังซูเปอร์ฮีโร่” เขายืนยัน “นั่นคือสิ่งที่เราต้องการจากหนังของเราทุกเรื่อง เราอยากให้ตัวละครมีพันาการและมีการสืบสาวราวเรื่องอย่างแท้จริง ซึ่งเราได้รับสิ่งนั้นมามาก และโดยส่วนใหญ่มาจากข้อเท็จจริงที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่ามันมีเรื่องของเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์ หรือการกลายพันธุ์ที่เกิดขึ้นกับคนอื่นๆ นอกเหนือจากพวกเขา ผมว่ามันเป็นความโดดเดี่ยวหลายอย่าง ฉะนั้นพัฒนาการของตัวละครเกิดจากการรับรู้ว่าเราไม่ได้อยู่อย่างโดดเดี่ยว และมีการสื่อสารกับคนอื่นเป็นครั้งแรกว่าเราผ่านพ้นอะไรมาบ้าง เพราะพวกเขามีการแบ่งปันประสบการณ์กัน”

          โรส บริน ผู้นำความโด่งดังของมอยร่า แม็คแท็กการ์ต มาสู่จอภาพยนตร์เชื่อว่าประเด็นสำคัญของหนังอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมแล้ว “ประเด็นสำคัญคือมิตรภาพระหว่างชาร์ลส์กับเอริค และสาเหตุที่บาดหมางและแตกแยกกัน สำหรับแฟนๆ นั่นเป็นการบอกเล่าเรื่องราวครั้งยิ่งใหญ่ สำหรับฉันนั่นคือแก่นแท้ที่สำคัญของเรื่องราว ส่วนเจมส์ แม็คอวอยและไมเคิล แฟสเบ็นเดอร์ ทั้งคู่ต่างเป็นนักแสดงที่มีฝีมือ พวกเขาใส่มิติลงไปในตัวละครได้จริงๆ ซึ่งฉันคิดว่าแฟนๆ ต้องชอบแน่”

          ไมเคิล แฟสเบ็นเดอร์ ผู้แสดงเป็นเอริค เลห์นเชอร์ ฉายาแม็กนีโต มีความจริงจังกับเรื่องแฟนๆ จะตอบสนองต่อภาพยนตร์ซีรี่ส์อย่างไร “ผมชอบโลกใบนั้นและแฟนๆ เหล่านี้มากเพราะพวกเขาเอาใจจดจ่อกับขอบเขตของพวกเขา” เขากล่าว “พวกเขารักมัน แถมพวกเขายังเปล่งเสียงวิจารณ์ออกมาด้วยความกระตือรือร้นอย่างเปิดเผย พวกเขาเป็นแฟนที่เหนียวแน่นที่ติดตามซีรี่ส์จากหนังสือการ์ตูนมาสู่ภาพยนตร์ ฉะนั้นหวังว่าพวกเขาจะมีความสุขกับมัน ถึงอย่างไรมันต้องมีความแตกต่าง และนั่นคือสิ่งความสดใหม่ที่หนังต้องการให้ใส่ลงไป”

          แม็คอวอยกล่าวเช่นกันว่า การท้าทายความสามารถคือการสร้างความมั่นใจว่าภาพยนตร์ไม่ได้ดึงดูดความสนใจได้แค่แฟนๆ ที่เหนียวแน่น แต่ยังไปถึงผู้ชมทั่วไปด้วย “ความสำเร็จของภาพยนตร์เรื่อง X-MEN และความสำเร็จที่อาจเป็นไปได้ของภาพยนตร์แนวนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับผู้คนที่คุ้นเคยกับมันอยู่แล้วเท่านั้น” เขากล่าว “ต้องมีเด็กอายุน้อยๆ หลายคนที่ไม่เคยอ่านหนังสือการ์ตูน และหวังว่าจะสนุกไปกับหนังได้อยู่ เราอยากทำงานภายในสภาพแวดล้อมวงจำกัดให้ดี”

          กรณีความผูกพันที่คล้ายคลึงกันกับเหล่านักแสดงทุกคนที่ทำงานอย่างหนักเพื่อความมั่นใจว่า ภาพยนตร์เรื่อง X-MEN: FIRST CLASS (เอ็กซ์-เม็น: รุ่นหนึ่ง) เป็นหนังซูเปอร์ฮีโร่ซึ่งเป็นที่ต้องการของแฟนๆ คาเล็บ แลนดรี้ โจนส์ ที่รับบทของแบนชี่เป็นตัวบ่งชี้ถึงมุมมองตัวละครที่มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างหนึ่ง ในหนังสือการ์ตูน ฌอน แคสซิดี้ ฉายาแบนชี่ มีการพูดด้วยสำเนียงที่มีการเน้นเสียงแบบไอริช ขณะที่ในหนังแลนดรี้ โจนส์ ใช้สำเนียงชาวเท็กซัสของเขาเอง

          แต่นักแสดงหนุ่มเลี่ยงออกจากแนวทางของเขา เพื่อสร้างความมั่นใจว่าการสวมบทแบนชี่ของเขาสะท้อนถึงตัวละครในหนังสือการ์ตูนได้อย่างเหมาะสม และเจาะลึกตัวละครอย่างรีบเร่งด้วยการอ่านศึกษาข้อมูลลักษณะท่าทางของแบนชี่จากกองกระดาษกว่า 500 หน้า

          และตัวเขาเป็นหนึ่งในแฟนซีรี่ส์เรื่อง X-MEN แลนดรี้ โจนส์ จดจำท่าทางตัวละครเหล่านี้ในยุคของแฟนๆ ได้อย่างแม่นยำ ซึ่งได้เชื่อมโยงตัวเองเข้ากับสิ่งประดิษฐ์อันทรงอานุภาพที่ถูกถ่ายทอดผ่านหลายจุดแห่งความเป็นจริง ที่เราสามารถเข้าใจมันได้ “ผมพร้อมจะมีภาพลักษณ์แบบแนวแอ็คชั่นแล้ว” เขากล่าว “ผมคงจะชอบมันมาก และเด็กๆ ที่มีผมสีแดงจะออกไปข้างนอกด้วยความรู้สึกรักและสามารถซื้อตุ๊กตาแอ็คชั่นที่มีผมสีแดงได้”

          ติดตามเรื่องราวของ X-MEN: FIRST CLASS (เอ็กซ์-เม็น: รุ่นหนึ่ง)

          2 มิถุนายนนี้ ในโรงภาพยนตร์เท่านั้น

PR on June 02, 2011, 12:18:03 PM
X-MEN: FIRST CLASS (เอ็กซ์-เม็น: รุ่นหนึ่ง) – ขั้นตอนการสร้าง

 
 
         ช่วงเดือนพฤศจิกายนปี 2010 ที่ Pinewood Studios ในลอนดอน การต่อสู้ของมนุษย์กลายพันธุ์เพื่อเอาชีวิตอยู่รอดได้เริ่มขึ้น ในฉากซับซ้อนที่เป็นสำนักงานของ MIB ซึ่งตอนนี้เป็นที่ซ่อนตัวของเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์ทั้งบีส (นิโคลาส เฮาล์ต), มิสทีก (เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์), ดาร์วิน (อีดี้ กาเธกี้), เท็มเปสต์ (โซอี้ เครวิตซ์), ฮาว็อค (ลูคัส ทิล) และแบนชี่ (คาเล็บ แลนดรี้ โจนส์) โดยพลังอำนาจแห่ง Hellfire Club ของเซบาสเตียน ชอว์ ที่นำทีมโดยอาซาเซล (เจสัน เฟลมมิ่ง) และริพไทด์ (อเล็กซ์ กอนซาเลซ) ที่พวกเขากำลังเข้าโจมตี

          ยินดีต้อนรับสู่โลกที่ก้าวไปอย่างรวดเร็วของ X-MEN: FIRST CLASS (เอ็กซ์-เม็น: รุ่นหนึ่ง) มุมมองใหม่ของซีรี่ส์ที่โด่งดัง จากความสำเร็จสดๆ ร้อนๆ ของภาพยนตร์คอมเมดี้ซูเปอร์ฮีโร่ปี 2010 เรื่อง KICK-ASS กำกับโดยแมทธิว วอนก์ ผู้ทำหน้าที่ควบคุมภาพยนตร์แฟรนไชส์ที่โด่งดังที่สุดเรื่อง X-MEN ภาคที่ 5 และเป็นการหวนกลับสู่รากฐานของซีรี่ส์

          ฉากหลังเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับวิกฤติขีปณาวุธคิวบาในปี 1962 ภาพยนตร์มีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับการเผชิญหน้าครั้งแรกระหว่างคู่อริที่สำคัญของภาพยนตร์ X-MEN สามภาคแรกอย่าง โพรเฟสเซอร์ ชาร์ลส์ ซาเวียร์ (แสดงโดย เจมส์ แม็คอวอย) และเอริค เลห์นเชอร์ ฉายาแม็กนีโต (ไมเคิล แฟสเบ็นเดอร์) ห่างไกลจากความเป็นศัตรูคู่อาฆาต ตอนนี้เราพบพวกเขาเป็นเพื่อนใหม่ของกันและกัน ร่วมมือกันค้นหาโลกแห่งมนุษย์กลายพันธุ์ทั้งใบที่เป็นเหมือนกับพวกเขา

          “ผมจำตอนที่ดูเรื่อง THIRTEEN DAYS ได้ และนั่นคือช่วงที่พบเรื่องวิกฤติขีปณาวุธคิวบาเป็นครั้งแรก และผมคิดว่านั่นคือภาพยนตร์ที่ยอดเยี่ยม” ผู้กำกับแมทธิว วอนก์ อธิบาย “ผมรักไอเดียของการหยิบเรื่องนั้นมา และการมีมนุษย์กลายพันธุ์ที่พยายามก่อสงครามโลกครั้งที่ 3 เพราะสิ่งที่เรากำลังพูดถึงคือรังสีที่ก่อให้เกิดการกลายพันธุ์ มันเป็นเนื้อเรื่องที่เหมือนเจมส์ บอนด์ เขาเป็นคนร้ายที่แสดงเป็นชาวรัสเซียที่เป็นปรปักษ์ต่อชาวอเมริกัน แต่เราเล่นกับเรื่องวิกฤติขีปณาวุธคิวบา”

          สำหรับเจมส์ แม็คอวอย แม้ว่าอาจมีลักษณะที่แตกต่างกัน ภาคนี้มีความเป็นต้นกำเนิดมากกว่าภาพยนตร์ X-MEN สามภาคแรก “เราอาจไม่ได้สิ่งที่เราคาดคิดในสิ่งที่กำลังจะทำ_ ‘ถูกต้อง เรากำลังจะสร้างให้มันมืดหม่นและลึกซึ้งมากๆ เรากำลังจะลงมือทำอีกครั้งและให้คำจำกัดความของวิธีเดินเรื่องของเราในหนังแบบนี้’” เขากล่าว “แต่เราเริ่มลงมือทำในช่วงที่แตกต่างมาก และเรายังพาคนพวกนี้ไปสู่จุดเริ่มต้นของพัฒนาการส่วนตัว เช่นเดียวกับพัฒนาการที่สุดยอดอย่างที่ผมคาดคิด”

          เจน โกล์ดแมน ผู้เขียนบทภาพยนตร์อธิบายว่า ”เรื่องราวสร้างขึ้นจากคอนเซ็ปต์ดั้งเดิมของไบรอัน ซิงเกอร์ สำหรับฉากในยุคนั้น มันมีเรื่องราวที่น่าประทับใจในขณะที่เห็นได้ชัดถึงความเป็นแนวแฟนตาซีอย่างเต็มที่

          “เรานึกถึงใครที่รับบทเป็นซาเวียร์กับแม็กนีโตไปดีกว่านี้ไม่ได้เลย และมันเหมือนความฝันเมื่อเจมส์กับไมเคิลตอบตกลง ครั้งแรกที่ผมเห็นทั้งคู่ฝึกซ้อม ผมต้องพยายามไม่ยิ้มแบบเพี้ยนๆ ด้วยความยากลำบาก เพราะได้ยินมาว่าพวกเขาแสดงให้สมจริงอย่างไม่น่าเชื่อ”

          เจมส์ แม็คอวอย พูดถึงการรับบทเป็น โพรเฟสเซอร์ เอ็กซ์ ว่าเป็นความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากจากบทของเซอร์ แพทริค สจ๊วต ในขณะที่หนังเรื่อง X-MEN สามภาคแรก ซาเวียร์เป็นผู้สูงอายุและฉลาดปราดเปรื่องที่สุดในเหล่า X-Men ในหนังเรื่อง X-MEN: FIRST CLASS (เอ็กซ์-เม็น: รุ่นหนึ่ง) เขายังคงพยายามสานอิสรภาพของพลังที่เขามี

          “มันเป็นความสนุกสดใสที่ได้ใส่ความโรแมนติกเข้าไปในชีวิตของชาร์ลส์ แถมยังไม่เห็นเขายินยอมต้อนรับมันทุกครั้ง” แม็คอวอยกล่าว “เขายังหนุ่มและมีความจริงจัง แถมยังไม่ชอบตอบปฏิเสธ ผมคิดว่าเขาเคยใช้พลังของเขาเพื่อให้ได้ในสิ่งที่เขาต้องการ และผมว่าเขาเคยใช้พลังในแบบผิดๆ มาแล้วบ้าง 2-3 ครั้ง”

          ไมเคิล แฟสเบ็นเดอร์ กล่าวถึงขั้นตอนการกำหนดบทบาทแม็กนีโตของเขาต้องมีการผสมผสานกัน “ก่อนที่เราเริ่มแสดง มันมีช่วงเวลาของการเตรียมตัวที่ยากลำบาก พวกเราทุกคนมารวมตัวและพูดคุยกันว่า เราคิดว่าจุด่อนของมันมีตรงไหนบ้าง เมื่อความสัมพันธ์มีความซับซ้อนมากขึ้นและทำให้เกิดการต่อต้านที่รุนแรงขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ปรากฏอย่างลื่นไหลในบทภาพยนตร์”

          วอนก์ตื่นเต้นกับสิ่งที่แม็คอวอยและแฟสเบ็นเดอร์หยิบมาแสดงในภาพยนตร์ “สิ่งที่ไบรอันแสดงอยู่บนพื้นฐานของการคัดเลือกนักแสดงเรื่อง X-MEN ที่ไม่น่าเชื่อเลย” เขากล่าว “การคัดเลือกนักแสดงเป็นไปด้วยดีมาก และผมคิดว่าผมต้องคอยติดตามเรื่องนั้น มันเป็นเรื่องที่ยากลำบากมาก หากเราเป็นนักแสดงคนหนึ่ง การที่เราจะสวมบทบาทเวลามีหลายสิ่งหลายอย่างถูกกำหนดตำแหน่งเอาไว้แล้ว แต่หลังจากนั้นเพียง 2 นาทีมันกลับทำให้ต้องร้อง ‘ว้าว”

          แฟสเบ็นเดอร์กล่าวว่า แฟนๆ จะประทับใจไปกับระดับอารมณ์ของวอนก์และทีมงานของเขาที่นำมาใส่ในภาพยนตร์ และมันเป็นฉากของยุค _60 ด้วย “เวลาที่เราทำอะไรสักอย่างในระดับนี้ ส่วนประกอบทั้งหมดที่อยู่ในนั้นคือสิ่งสำคัญและมันเป็นสิ่งวิเศษที่ได้เห็นในช่วงทำงาน ลักษณะพิเศษที่ถูกสร้างขึ้นมาและวิธีการถ่ายทำของแมทธิวทำให้รู้สึกถึงความเป็นยุค 60 จริงๆ เราได้บรรยากาศของยุค 60 มันเป็นเรื่องวิเศษที่ได้อินเข้าไปกับยุคนั้นจริงๆ และรวมถึงการนำมาใส่ในโลกของซูเปอร์ฮีโร่ด้วย มันเป็นความเท่ห์ที่ตอนนี้เราอยู่ในปี 2010 เพื่อหวนกลับไปทำหนังซูเปอร์ฮีโร่”

          มีการรวมตัวของเหล่านักแสดงจากต่างประเทศอย่าง นักแสดงหญิงชาวออสเตรเลีย โรส บริน ผู้รับบทเป็น มอยร่า แม็คแท็กการ์ต เธอถึงกับตกตะลึงกับความน่าสนใจในรายละเอียดที่ปรากฏอยู่ในฉาก “มันไม่ได้รู้สึกถึงเทคนิค CGI หรือดูประหลาดจนเกินไป” เธอกล่าว ”มันมีความคลาสสิคมากขึ้น ฉันว่ามันเป็นความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมต่อทุกสิ่งทุกอย่าง”

          หนึ่งในนักแสดงมนุษย์กลายพันธุ์ ลูคัส ทิล ผู้แสดงเป็น ฮาว็อค น้องชายของไซคล็อพส์จากภาพยนตร์เรื่อง X-MEN สามภาคแรกเห็นด้วยที่ภาพยนตร์ภาคนี้แสดงให้เห็นถึงแง่มุมที่แตกต่างบนโลกของ X-MEN “ในเรื่องมีสไตล์ที่แตกต่างไปอย่างชัดเจน นั่นเป็นเรื่องแน่นอน” เขากล่าว “แมทธิวรายล้อมไปด้วยผู้คนที่รู้ดีว่าพวกเขากำลังทำอะไร และมีการรวมกลุ่มคนมาใหม่ทั้งหมด พวกเขากำลังจะสร้างให้มันดูดี”

          อีดี้ กาเธกี้ ผู้แสดงเป็น ดาร์วิน คิดว่าลักษณะการกำกับหนังของวอนก์ไม่เหมือนอย่างที่เขาเคยเจอ “เขามีมุมมองที่วิเศษ ผมค่อนข้างชอบการเปลี่ยนสไตล์ เขาเข้าได้ถึงประเด็น ชอบเสียดสีและมีความสนุกสนาน เขาเป็นคนไม่ชอบเรื่องเหลวไหล แต่เขาเป็นคนน่ารัก แต่แน่นอนว่าเขาคงไม่ชอบให้ผมเรียกเขาแบบนั้นหรอก!”

          วอนก์กล่าวว่าเขาเป็นมืออาชีพ ในเรื่องการจัดการกับการรวมตัวของเหล่านักแสดงที่อยู่กระจัดกระจายที่ถูกคาดหวังจากหนังเรื่อง X-MEN “หนังทุกเรื่องที่ผมทำ เมื่อนึกถึงแล้วมันมีการรวมกลุ่มนักแสดงขนาดใหญ่” เขากล่าว “เทคนิคคือสร้างความสมดุลให้มันอย่างเหมาะสม และต้องมั่นใจว่าทุกเรื่องเป็นสิ่งที่น่าสนใจ และทุกองค์ประกอบสร้างความสมดุลมากกว่าการขโมยบทบาทกัน”

          ตารางการถ่ายทำที่เร่งรีบและการถ่ายหนังที่แสนวุ่นวายทำให้นักแสดงเกาะกลุ่มรวมตัวกัน และมีความผูกพันกันทุกวัน และโดยเฉพาะเหล่านักแสดงวัยรุ่นที่ดูเหมือนกำลังเกาะกลุ่มกันเพื่อทำการค้นคว้าเกี่ยวกับช่วงเวลาสำคัญ เพื่อตอกย้ำอารมณ์แห่งความเป็นยุค 60 ในช่วงพักระหว่างฉาก สามารถพบตัวพวกเขาได้ในรถเทรลเลอร์ของเจมส์ แม็คอวอย กำลังเล่นเกม CALL OF DUTY: BLACK OPS ซึ่งเป็นเกม Xbox ของแม็คอวอยที่มีฉากของยุค 60 “เรามีการย้อนรำลึกถึงเกม CALL OF DUTY” นิโคลาส เฮาล์ต ผู้แสดงเป็น บีส หัวเราะ “มันมีฉากของสงครามเย็นด้วย ฉะนั้นในทางเทคนิคแล้วเวลาที่เรากำลังเล่นกับภารกิจสำคัญต่างๆ มันเหมือนการศึกษาข้อมูล เวลาที่เราฆ่าซอมบี้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง”

          สำหรับบทบาทของเขา แม็คอวอยยอมรับด้วยใจจริงว่าเขาไม่ใช่คนเก่งที่สุด “ผมไม่ได้เล่นวีดีโอเกมมานาน 4 ปีแล้ว” เขายืนยัน “สำหรับลูคัส ทิล เราพูดได้เลยว่าเขาเป็นยอดนักเล่นเกม ความว่องไวในการปฏิบัติภารกิจของเขาช่างน่าทึ่ง แต่ก็จริงนะ แทนที่จะอ่านบทภาพยนตร์และฝึกฝนความชำนาญ ผมกลับฆ่าซอมบี้กับพวกเขาอยู่บ่อยๆ”

          สำหรับโซอี้ เครวิตซ์ ผู้แสดงหนังต้นทุนสูงในเรื่อง X-MEN: FIRST CLASS (เอ็กซ์-เม็น: รุ่นหนึ่ง) เป็นครั้งแรก มิตรภาพระหว่างเธอกับเหล่านักแสดงช่วยทำให้รู้สึกหวาดกลัวน้อยลง “มันเป็นความวิตกกังวลที่ต้องแสดงในหนังใหญ่แบบนี้” เธอกล่าว “บางทีเราต้องมีช่วงที่เข้าใจอย่างแท้จริง ในตอนที่เราต้องแสดงฉากผาดโผนหรือเดินเคียงข้างกับเควิน เบคอน แต่ความพิเศษคือทุกคนน่ารักมาก เราอาจกลัวไปได้บ้างแต่ทุกคนเป็นคนที่น่าทึ่งและมีความแตกต่าง ฉะนั้นตอนนี้มันเหมือนกับเราอยู่ในบ้านอีกหลังหนึ่งที่ห่างจากบ้านที่แท้จริงของเรา”

          ติดตามเรื่องราวของ X-MEN: FIRST CLASS (เอ็กซ์-เม็น: รุ่นหนึ่ง)
          2 มิถุนายนนี้ ในโรงภาพยนตร์เท่านั้น

PR on June 02, 2011, 12:39:30 PM
X-Men : First Class Red Carpet ที่นิวยอร์ค



          ผ่านพ้นไปแล้วสำหรับงานเปิดตัวภาพยนตร์ X-Men: First Class ที่จัดขึ้นที่ New York สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งงานนี้มีเหล่าดารานำของเรื่องมากันอย่างคับคั่ง ทั้ง 2 นักแสดงนำอย่าง เจมส์ แม็คเอวอย ผู้รับบท ชาร์ลส์ ซาเวียร์ (ศาสตราจารย์เอ็กซ์) และ ไมเคิล ฟาสเบนเดอร์ ผู้รับบท เอริก (แมกนีโต) นอก จากนี้เหล่านักแสดงสมทบคนอื่นก็ต่างถอดคราบของมนุษย์กลายพันธุ์ มาร่วมงานเดินพรมแดงกับพร้อมหน้า ทั้ง แจนยัวรี่ โจนส์ (รับบท เอ็มม่า ฟรอสต์) , โซอี้ คราวิทซ์ (รับบท แองเจิ้ล) , ลูคัส ทิล (รับบท ฮาว็อค) , โรส ไบร์น (รับบท มัวร่า) และนักแสดงสุดเก๋า เควิน เบคอน (รับบท เซบาสเตียน ชอว์) งานนี้มีเหล่าแฟนคลับและกองทับสื่อมวลชนแห่มาให้กำลังใจเหล่านักแสดงและผู้กำกับกันอย่างเนืองแน่น

          ภาพยนตร์เรื่อง X-MEN: FIRST CLASS (เอ็กซ์-เม็น: รุ่นหนึ่ง) เป็นคำตอบให้หลายข้อสงสัยที่แฟนหนังหรือการ์ตูนให้ความสนใจมาอย่างยาวนานว่า X-Men มารวมตัวกันได้อย่างไร? ทำไม ชาร์ลส์ถึงอยู่บนเก้าอี้รถเข็น? คฤหาสน์เอ็กซ์และซีรีโบรมาจากไหน? แต่ประเด็นสำคัญและความเป็นมาของท้องเรื่องจะกึกก้องด้วยความแปลกใหม่จาก ภาพยนตร์เรื่องอื่นซีรี่ส์

          X-MEN: FIRST CLASS (เอ็กซ์-เม็น: รุ่นหนึ่ง)
          2 มิถุนายนนี้ ในโรงภาพยนตร์เท่านั้น

PR on June 03, 2011, 04:07:57 PM
X-MEN: FIRST CLASS (เอ็กซ์-เม็น: รุ่นหนึ่ง) – คุณมีพลังของมนุษย์กลายพันธุ์แบบใด?


 
          จับเหล่านักแสดงของเรื่อง X-MEN: FIRST CLASS (เอ็กซ์-เม็น: รุ่นหนึ่ง) มาสู่บททดสอบ เจมส์ แม็คอวอย, ไมเคิล แฟสเบ็นเดอร์, โรส บริน, เจสัน เฟลมิ่ง, นิโคลาส เฮาล์ต, เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์, อเล็กซ์ กอนซาเลซ, อีดี้ กาเธกี้, โซอี้ เครวิตซ์, ลูคัส ทิล และ คาเล็บ แลนดรี้ เลือกพลังของมนุษย์กลายพันธุ์ที่พวกเขาอยากมีหากจะทำได้

          เจมส์ แม็คอวอย (ชาร์ลส์ ซาเวียร์/โพรเฟสเซอร เอ็กซ์) – “พลังของเอริคเป็นพลังที่ดี แต่ในเวลาเดียวกันผมไม่ค่อยประทับใจนักกับการที่ผู้ชายสามารถงอพวกโลหะได้ มันไม่ได้สื่อถึงความเป็นดราม่าให้ผมสักเท่าไหร่ ผมจะชอบอะไรสักอย่างที่เกี่ยวกับการบิน ไม่มีสิ่งอื่นใดในชีวิตที่จะขอ นอกจากเราสามารถหย่อนตัวลงที่ร้านค้าต่างๆ โดดยไม่ต้องหยุดชะงักกับการจราจร และผมค่อนข้างชอบการรักษาผู้คนด้วยเหมือนกับเอลิเซอร์ เราเกือบจะมีเอลิเซอร์ มาอยู่ในหนังเรื่องนี้แล้ว แต่ท้ายที่สุดเราก็เลือกไม่ทำแบบนั้น ผมคิดว่ามันทำให้ทุกอย่างยากเกินไป เพื่อให้กลายเป็นเรื่องราวที่มีชีวิตและมีความรู้สึกแห่งความสูญเสียที่ปวดร้าว หากมีใครที่ทำได้แค่รักษาผู้คน”

          ไมเคิล แฟสเบ็นเดอร์ (เอริค เลห์นเชอร์/แม็กนีโต) – “ผมคิดว่าพลังที่ทำให้พูดภาษาได้หลากหลาย นั่นถือเป็นซูเปอร์พาวเวอร์หรือเปล่า? มีหางก็ดูเท่ห์นะ เราสามารถทรงตัวและเล่นกายกรรมได้ด้วยหางที่เหมือนกับลิง หรือใช้เพื่อการปีนป่าย การบินก็ดูน่าทึ่งดีแต่เราบินได้ด้วยหาง… จากต้นไม้หนึ่งไปอีกต้นหนึ่งเหมือนลิงที่ไต่แบบแมงมุม จะเป็นมนุษย์มีหาง ผู้ชำนาญการด้านภาษาที่มีหาง การบินเป็นสิ่งที่ทำให้เราเป็นสัตว์อะไรก็ได้หากเราจะเป็น จะป็นนกก็ได้ เพราะการบินเป็นสิ่งเดียวที่เราทำไม่ได้”

          โรส บริน (มอยร่า แม็คแท็กการ์ต) – “ฉันชอบการผสมผสานกัน ฉันชอบพลังของชาร์ลส์ที่สามารถอ่านและปิดกั้นความคิดของมนุษย์ได้ แต่ฉันก็ชอบพลังของแองเจิล ซัลวาดอร์ที่สามมาถพ่นกรดอาเจียนได้! ฉันว่ามันมีประโยชน์ เราบอกกับผู้ช่วยผู้กำกับได้ว่า “ชาของฉันอยู่ที่ไหน?” บูม! ชื่อเสียงของเราอาจพังพินาศได้ เราอาจเผาสะพาน 2-3 แห่งได้ จริงๆ แล้วอาจเป็นแค่การเตือน โดยการแสดงข้อบกพร่องเพื่อจะได้เห็นว่าคุณจะมีคุณสมบัติด้านใดบ้าง … แต่ก็จริงนะ ฉันว่าการผสมผสานพลัง 2-3 อย่างของพวกเขาน่าจะเจ๋งที่สุด”

          เจสัน เฟลมิ่ง (อาซาเซล) – “มันน่าจะเป็นไมสโตร ซึ่งหมายถึงผมสามารถขโมยบัตรเครดิตใครก็ได้ด้วยพลังจิตของผม หรือออยสโตรที่จะแปลงสภาพท่อได้ หรืออัลฟาเบติโกซึ่งอาจเป็นหนังสือ ดีวีดีหรือที่เก็บเพลง และผมสามารถจัดเรียงตัวอักษรได้แบบนั้นได้ ออยสโร ซึ่งเป็น X-Men ที่อ่อนด้อยที่สุดตลอดกาล ผมชอบไอเดียของ สุดยอดพลังที่ดูด้อย ผู้คนทำเรื่องประหลาดได้ เช่น การเคลื่อนย้ายตัวและสิ่งของ แต่อะไรพวกนี้ก็ยังเป็นพลังอยู่ มันเป็นเรื่องไร้สาระ”

          นิโคลาส เฮาล์ต (แฮงค์ แม็คคอย/บีส) – “พลังที่ผมมีในหนังก็วิเศษสุดแล้ว ถึงแม้ต้องมีการต้านทานกับเท้าขนาดใหญ่และทำบางสิ่งได้ดว้ยฝ่าเท้าของเราก็ดี แต่นี่เป็นคำถามที่ยากจริงๆ เห็นได้ชัดว่าการพรางตัวได้มันก็ดี การบินได้ก็วิเศษ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ดีกว่านั้น ผมอยากควบคุมชะตาชีวิตคนได้ … ฟังดูเหมือนผมอยากเป็นพระเจ้าใช่มั้ย? ผมอยากเป็นพระเจ้า! และนั่นแหละ _ ผมอยากพูดออกมาด้วยความเข้าใจปัญหาที่เกิดขึ้นว่า มันเป็นเรื่องตลกที่จะพูดถึง! ผมค่อนข้างชอบการเปลี่ยนภาพด้วยคอมพิวเตอร์อย่างมิสทีก อันที่จริงมันเจ๋งมาก”

          เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ (เรเว็น ดาร์คโฮล์ม/มิสทีก) - “ฉันห้ามพูดถึงการเปลี่ยนแปลงรูปร่างใช่มั้ย? ฉันคงรักการวิ่งขึ้นบันไดได้โดยไม่ตกลงมา แต่ฉันไม่คิดว่านั่นคือพลังของซูเปอร์ฮีโร่ ฉันตกบันไดทุกครั้งที่ฉันวิ่งขึ้นบันได มันเป็นเรื่องที่แปลกพิลึกมาก มันเป็นการสร้างสมดุลพื้นฐานของมนุษย์ โซอี้สามารถบินได้ การบินน่าจะเป็นเรื่องวิเศษ แต่มันมีสิ่งที่วิเศษกว่าการบิน… หากฉันบินได้มันจะช่วยแก้ปัญหาเรื่องการวิ่งขึ้นบันไดและข้ามปัญหานั้นไป เพราะฉันบินขึ้นบันไดได้_ … และฉันจะยึดติดกับสิ่งเหล่านั้น และเหลาดินสอด้วยสายตาของฉัน”

          อีดี้ กาเธกี้ (อาร์แมนโด มูนอซ/ดาร์วิน) – “ผมจะเล่าให้คุณฟังอย่างหนึ่ง ผมเติบโตมาด้วยการเป็นแฟนของ X-MEN ผมตื่นขึ้นมาทุกเช้าวันเสาร์และติดอยู๋หน้าทีวีเวลาที่ฉายการ์ตูนเรื่อง X-MEN พอมีหนังออกมาผมก็รักมัน มันเป็นการสร้างภาพลักษณ์ของซูเปอร์ฮีโร่คนเก่งขึ้นมาใหม่อย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน ผมรักซีรี่ส์ X-MEN วูลฟ์เวอรีนเป็นคนที่ผมชอบตอนเป็นเด็ก ด้วยเหตุผลบางประการ เหล็กไหลที่แหลมคมทั้งหมดล้วนเกี่ยวกับวูลฟ์เวอรีน ตัวละครของผมค่อนข้างใหม่ เขาถูกส้รางขึ้นเมื่อ 5 ปีที่แล้ว และหากตัวละครของผมมาวนเวียนอยู่ตอนที่ผมเป็นเด็ก เขาจะเป็นตัวละครโปรดของผมแน่นอน ผมจะบอกคุณว่าพลังคืออะไร และคุณจะพูดว่า ‘เดี๋ยวก่อนนะ มันยอดไปเลย’ เขาไม่ได้วนเวียนอยู่ตอนที่ผมยังเป็นเด็ก หากเขามีตัวตนอยู่ตอนนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างต้องเกี่ยวกับดาร์วินแน่นอน”


          โซอี้ เครวิตซ์ (แองเจิล ซัลวาดอร์/เท็มเปสต์) – “ฉันคิดว่ามันน่าจะเป็นการบิน จริงๆ แล้วฉันคิดว่าฉันมีพลังที่วิเศษที่สุด ทุกคนไม่อยากบินได้หรอ? มันเป็นสิ่งที่วิเศษที่สุด และฉันพ่นกรดอาเจียนได้ด้วย!”

          ลูคัส ทิล (อเล็กซ์ ซัมเมอร์ส/ฮาว็อค) – “อย่างละครึ่งๆ ผมว่าเราอยากได้พลังที่เหมือนพลังของชอว์ ที่เขาสามารถดูดพลังการเคลื่อนไหวและปล่อยไปที่อะไรก็ได้ นั่นเป็นสิ่งที่ทรงอานุภาพ แต่ก็อยากได้สไตล์ที่เหมือนกับแม็กนีโตอยู่บ้าง ซึ่งถึงแม้มันไม่ได้มีอานุภาพขนาดนั้น เขางอโลหะได้ แต่ก็มีหลายสิ่งที่เราสามารถจัดการกับมันได้ ผมชอบพลังของแม็กนีโตมาโดยตลอด”

          คาเล็บ แลนดรี้ โจนส์ (ฌอน แคสซิดี้/แบนชี่) – “ผมสงสัยว่าจะมีสักกี่คนพูดถึงการโทรจิต … ผมคิดว่ามันน่าจะเป็นสิ่งที่วิเศษที่สุด ผมจะได้ร่ำรวย ได้เดินทางไปทั่วโลกหรืออาจจะเป็นอวกาศ ผมสามารถทำทุกอย่างได้ด้วยสิ่งนั้น”

PR on June 03, 2011, 04:09:02 PM
ป้อง – กัน พา มีสทีก 2 เวอร์ชั่น มาร่วมงาน X-Men: First Class Thailand Premiere





          ผ่านไปแล้วกับงานเปิดตัวภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ ที่คนทั้งโลกรอคอยกับ X-MEN: FIRST CLASS (เอ็กซ์-เม็น: รุ่นหนึ่ง) งานนี้เหล่าแฟนคลับ X-Men และเหล่ากองทัพสื่อมวลชน แห่มาร่วมงานกันอย่างคับคั่ง นำโดย เมย์ เฟื่องอารมณ์ ที่แม้งานนี้จะต้องมาหน้าที่เป็นพิธีกร แต่ก็ขอจัดเต็มแต่งชุดคล้าย เอ็มม่า ฟรอสต์ หนึ่งในตัวละคร X-Men: First Class ตามมาด้วย ป้อง ณวัฒน์ กุลรัตนรักษ์ และ กัน กันตถาวร ที่ชื่นชอบและติดตาม X-Men มาตั้งแต่ภาคแรก อาสาขอเป็นส่วนหนึ่งของงานเปิดตัวในครั้งนี้ พร้อมทั้งพา มีสทิก สองเวอร์ชั่น (แบบใส่ชุด X กับ ไม่ใส่ชุด) อีกหนึ่งในตัวละครของ X-Men มาร่วมงานในครั้งนี้ด้วย
 
          พร้อมกับเรียกแสงแฟลชจากตากล้องสื่อมวลชนและผู้ที่มาร่วมงานกัน เรียกได้ว่าไม่ขาดสายกันเลยทีเดียว พร้อมกันนี้ คุณเฮนรี่ ทราน ผู้จัดการทั่วไปทเวนตี้ เซนจูรี่ ฟ๊อกซ์ ประเทศไทย ยังมาให้ข้อมูลดีๆ เกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ ที่ใครหลายคนไม่เคยรู้มาก่อน ที่พอได้ฟังกันแล้วถึงกับอึ้งกันเลยทีเดียว ก่อนที่จะปิดงานเปิดตัวภาพยนตร์ ทางสปอนเซอร์และทางค่ายหนัง ก็มอบของรางวัลแก่ผู้โชคดี ที่มาร่วมงานในครั้งนี้ด้วย และปิดท้ายถ่ายภาพหมู่ร่วมกัน

          ภาพยนตร์เรื่อง X-MEN: FIRST CLASS (เอ็กซ์-เม็น: รุ่นหนึ่ง) เป็นคำตอบให้หลายข้อสงสัยที่แฟนหนังหรือการ์ตูนให้ความสนใจมาอย่างยาวนานว่า X-Men มารวมตัวกันได้อย่างไร? ทำไม ชาร์ลส์ถึงอยู่บนเก้าอี้รถเข็น? คฤหาสน์เอ็กซ์และซีรีโบรมาจากไหน? ค้นหาคำตอบได้ใน X-MEN: FIRST CLASS (เอ็กซ์-เม็น: รุ่นหนึ่ง) 2 มิถุนายนนี้ ในโรงภาพยนตร์เท่านั้น

Google on June 08, 2011, 06:59:53 PM
X-MEN: FIRST CLASS (เอ็กซ์-เม็น: รุ่นหนึ่ง) – คำถามและคำตอบ เจมส์ แม็คอวอย

          หลังจากได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล British Comedy Awards สำหรับบทบาทของเขาในซีรี่ส์ที่ได้รับการชมเชย ผลงานของพอล แอ็บบอตต์ เรื่อง SHAMELESS ของทาง Channel 4 ที่อังกฤษไปแล้ว นักแสดงชาวสก็อตต์อย่าง เจมส์ แม็คอวอย เริ่มประสบความสำเร็จในโลกมายาอย่างรวดเร็ว ซึ่งมีการยืนยันในปี 2005 เมื่อนักแสดงหนุ่มรับบทเป็นฟอนที่มีชื่อว่า มิสเตอร์ทัมนัส ในภาพยนตร์ที่เป็นการดัดแปลงสู่จอยักษ์ของแอนดรูว์ อดัมสัน เรื่อง THE CHRONICLES OF NARNIA: THE LION, THE WITCH AND THE WARDROBE

          ปี 2006 นักแสดงหนุ่มร่วมกับฟอเรสต์ ไวเทคเกอร์ ด้วยการนำเข้าชิงรางวัล Oscar และ BAFTA ในภายพนตร์เรื่อง THE LAST KING OF SCOTLAND โดยการรับบทแสดงเป็นจิตแพทย์ส่วนตัวของผู้เผด็จการชาวอูกันดา Idi Ami ตั้งแต่ปีนั้นมาแม็คอวอยได้รับการยอมรับในผลงานที่น่าตื่นเต้นอย่างภาพยนตร์เรื่อง STARTER FOR 10, BECOMING JANE และ ATONEMENT

          ปี 2008 แม็คอวอยรับบทนำในภาพยนตร์ของทิมัวร์ เบ็คแมมบีทอฟ ที่ดัดแปลงมาจากหนังสือการ์ตูนของมาร์ค มิลลาร์ เรื่อง WANTED นำแสดงโดย แองเจลีน่า โจลี่ และ มอร์แกน ฟรีแมน ซึ่งรับบทเป็นสมาชิกใหม่ของสมาคมนักฆ่า

          ภาพยนตร์เรื่อง X-MEN: FIRST CLASS (เอ็กซ์-เม็น: รุ่นหนึ่ง) เป็นการหวนคืนสู่วงการภาพยนตร์ที่ยิ่งใหญ่ของนักแสดงหนุ่ม และคัดเลือกตัวแม็คอวอยให้รับบทเป็น โพรเฟสเซอร์ ชาร์ลส์ ซาเวียร์ ผู้นำดี-แฟ็คโตของ X-Men ซึ่งเป็นบทบาทที่ถือกำเนิดโดย แพทริค สจ๊วต ในภาพยนตร์เรื่อง X-MEN, X2 และ X-MEN: THE LAST STAND

          คุณเพลิดเพลินกับความยิ่งใหญ่ของภาพยนตร์เรื่องนี้มั้ย?
          สนุกดี มันเหมือนภาพยนตร์เรื่องใหญ่ทุกเรื่อง มันเป็นจุดกำเนิดของความสับสนวุ่นวาย แต่ก็ดี มันเป็นจุดกำเนิดเรื่องวุ่นๆ ที่สนุกสนาน ผมว่าภาพยนตร์เรื่อง NARNIA น่าจะเป็นภาพยนตร์เรื่องใหญ่ที่สุดที่ผมเคยแสดงมาแล้ว มันมีขนาดความยิ่งใหญ่ที่น่าขำมาก แต่ครั้งนี้มันยิ่งใหญ่กว่านั้น

          แต่ผมคิดว่าผมมีเวลา 30 วันในการแสดงเรื่อง NARNIA และผมอยู่ที่นั่นเป็นเวลา 5 เดือนครึ่ง มันเลยแทบคลั่ง ตอนนี้ไมเคิล แฟสเบ็นเดอร์กับผมกำลังรับบทแสดงนำ ซึ่งค่อนข้างสนุก ค่อนข้างดีเหมือนกันที่ได้เป็นตัวนำการแตกแยก มันสนุกที่มีเรา 2 คนรับบทที่ไม่ค่อยเหมือนเซอร์ แพทริค กับ เซอร์ เอียน สองคู่ผู้อาวุโส

          คุณเป็นแฟนพันธุ์แท้ของ STAR TREK คุณจะตั้งสติกับการแสดงตัวละครที่สร้างชื่อเสียงไว้โดยแพทริค สจ๊วต ในภาพยนตร์เรื่อง X-MEN สามภาคแรกอย่างไรบ้าง?
          ผมเข้าใจดี! เราต้องหยุดความประทับใจในตัวแพทริค สจ๊วต เอาไว้แล้ว [หัวเราะ] แต่มันค่อนข้างตื่นเต้นดีนะ ในจุดหนึ่งของการฝึกซ้อมช่วงแรกๆ แมทธิวคุยกับไมเคิลและผมถึงเรื่องการทำเสียงเลียนแบบบางอย่าง เราก็ทำอยู่ประมาณ 2 นาที และเขาก็อึ้งทันที

          มันถือเป็นความแตกต่างเพราะเราได้เห็นจุดเริ่มต้นของพวกเขา และความสนุกสนานของภาพยนตร์เรื่องนี้คือการได้เห็นความแตกต่างทั้งหลาย มันแทบไม่มีประเด็นของการทำหนังเลย หากตัวละครนำ 2 ตัวของเรื่อง ซึ่งเป็นตัวละครที่หวนกลับมาจากภาพยนตร์เรื่องอื่นมาแสดงเหมือนเดิมอย่างที่เคยแสดง

          ตัวละครชาร์ลส์ ซาเวียร์ ของคุณมีพัฒนาการน้อยกว่าการกลับมาของแพทริค สจ๊วต หรือเปล่า?
          ใช่ ในภาพยนตร์สามภาคแรกชาร์ลส์ ซาเวียร์ เป็นเหมือนผู้ทรงศีล เขาไม่มีความเห็นแก่ตัว ไม่มีการถือตัวและแทบไม่รังเกียจเพศใด ในการปรับปรุงความเป็นมนุษย์และมนุษย์กลายพันธุ์ให้ดีขึ้น ต้องบอกว่า “เอาล่ะ เขาจะดูแตกต่างออกไปจากเดิม” มันค่อนข้างสนุกดี เพราะการตรงข้ามอย่างสิ้นเชิงคือการถือตัว มีการแยกแยะระหว่างเพศ เป็นคนที่มั่นใจเกินตัว เราไม่ได้หมกมุ่นกับมันจนเกินไป แต่เราต้องสร้างมันขึ้นมาค่อนข้างเยอะ และเห็นได้ชัดว่าเขามีอีโก้และมีแรงผลักดัน และเขาเป็นคนที่น่ารำคาญตอนนี้! เขาเป็นคนที่ไม่ค่อยเรียบร้อยเท่าไหร่

          คุณคิดว่าพลังของเขาทำให้เขามีความรู้สึกเหมือนเทพเจ้าหรือเปล่า?
          ผมคิดแบบนั้นแน่นอน นั่นเป็นสิ่งที่หวังว่าเราจะมีความสนุกสนานกับภาพยนตร์ภาคต่อ บนเส้นทางของการกลายเป็นแพทริค สจ๊วต ผู้ที่เป็นที่สุด!

          คุณรู้จักหนังสือการ์ตูนเรื่อง X-MEN ขนาดไหนก่อนมาเริ่มแสดง?
          บอกตามตรงเลยว่าผมไม่รู้จัก เพราะช่วงที่ผมโตขึ้นมาเราไม่มีหนังสือการ์ตูนเลย มันเป็นเพียงชีวิตช่วงเล็กๆ ของผมที่เราไม่มีหนังสือการ์ตูนหรือเปล่า แต่ไม่มีเพื่อนร่วมชั้นของผมคนไหนที่มีหรือติดหนังสือการ์ตูน และผมไม่คิดจะไขว่คว้าหรืออะไรเลย แต่ผมเป็นแฟนตัวยงของการ์ตูนมาตั้งแต่อายุประมาณ 10 ปีขึ้นไป ซึ่งมันฉายตอนเช้าวันเสาร์ทางช่อง Going Live และนั่นคือเรื่องราวทั้งหมด มันน่าขำดี ตัวละครโปรดของผมคือแกมบิต มันเลยเป็นเรื่องค่อนข้างดีที่ได้มีส่วนร่วมกับภาพยนตร์เรื่อง X-MEN ด้วยเหตุผลทั้งหมด และแน่นอนว่าผมเป็นแฟนคนหนึ่งของภาพยนตร์ภาคแรกทั้งหมดด้วย

          มีการพูดกันว่าเส้นขนานที่เดินไประหว่างชาร์ลส์กับเอริคมีความแตกต่างอย่างใกล้เคียงกับมาร์ติน ลูเธอร์ คิง และ มัลคอล์ม เอ็กซ์ คุณเห็นสิ่งนั้นในภาพยนตร์หรือเปล่า?
          ผมคิดแบบนั้นนะ ผมว่าแรงผลักดันบางอย่างระหว่างทั้งสองคนนั้น ในหนังสือการ์ตูนเอริคเข้ามาและก็จากไป เขากลับไปกลับมาระหว่างสิ่งที่เขากำลังจะลุล่วงสำเร็จและวิธีที่เขาจะลุล่วงสำเร็จได้ ในหนังเรื่องนี้เราจะได้พบเขาในช่วงแรกที่พวกเขายังอยู่ในช่วงการพัฒนา และพวกเขายังค้นหาอยู่ว่าพวกเขาเป็นใคร เราจะได้เห็นเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้พวกเขาเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา ไม่ใช่แค่ชีวิตในช่วงแรก แต่เหตุการณ์สำคัญบางอย่างในความขัดแย้งเพื่อสิทธิความทัดเทียมกันของพวกเขาที่ช่วยทำให้เขาเป็นรูปร่างขึ้นได้ นั่นเป็นสิ่งที่ไมเคิลกับผมได้พูดคุยกันมากมายในเรื่องแรงผลักดันนั้น

          เราหมกมุ่นกับมันมากเนไปไม่ได้ เพราะจะไม่มีทางใดที่คุณอยากตั้งโจทย์เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิส่วนบุคคล แต่อันที่จริงมันเปลี่ยนแปลงได้มากมาย เราต้องลองมองว่าโลกส่วนที่เหลือมีปฏิกิริยาต่อมันอย่างไร และมันแสดงถึงโลกส่วนที่เหลือมีปฏิกิริยาต่อการดิ้นรนของมนุษย์กลายพันธุ์ในหนังภาคนี้อย่างไร

          มีความคลุมเครือระหว่างความดีและความชั่วในภาคนี้มากขึ้นมั้ย?
          ใช่ แน่นอนเลยว่าเอริคไม่ใช่พลังแห่งความชั่วร้าย สิ่งที่เขาทำเป็นสิ่งที่ดี เราเถียงได้ว่าการฆ่าคนไม่ใช่เรื่องที่ดี แต่เขาฆ่าคนที่ชั่วร้าย ซึ่งเป็นคนที่สร้างเรื่องสับสนวุ่นวายให้แก่เขา ถึงอย่างไรเขาเป็นคนที่มีความเห็นอกเห็นใจมากว่าแน่นอน ไม่ว่าเขาจะทำสิ่งชั่วร้ายหรือสิ่งดีก็ตาม

          ครั้งแรกเราเห็นเขาเป็นผู้ใหญ่ที่ไล่ล่าเหล่านาซีและทั้งหมดนั้น เรารู้ว่าทำไมเขาถึงทำเช่นนั้น แม้เราจะเป็นผู้รักสันติภาพและไม่เลื่อมใสในการสังหาร เราสามารถรับรู้และเข้าใจสิ่งที่เขาผ่านพ้นมาได้ สิ่งที่พาเขามาอยู่ในหนังเรื่องนี้เป็นสิ่งที่พวกเราทุกคนล้วนหวาดกลัว เพราะเขามีการกระทำที่ค่อนข้างรุนแรง

          ผมว่าโพรเฟสเซอร์ เอ็กซ์ รับรู้ได้ว่าเขาเป็นคนที่มองโลกในแง่ดี เชื่อว่าเขาสามารถช่วยเหลือได้ เขาสามารถปรับเปลี่ยนและวางแผนให้ห่างจากด้านมืดได้ และจัดการกับอีโก้ภายในตัวชาร์ลส์ เขาอยากเป็นผู้นำและอยากควบคุมมนุษย์เหล่านั้น เขาอยากสร้างครอบครัวและเป็นผู้นำ เขาคิดว่าเขาควบคุมทุกคนได้ เขามีอภิมหาพลังที่น่าประหลาด แต่โดยพื้นฐานแล้วมันเป็นแค่การเอาใจใส่มากขึ้น ผมคิดว่าเขาเชื่อว่าเขาสามารถเข้าใจและควบคุมทุกคนได้ ซึ่งผิดมหันต์และพิสูจน์ถึงความหายนะของเขากับเอริค

          ภาพยนตร์เป็นฉากของในปี 1962 เราได้นำเสนอประเด็นด้านการเมืองและเหตุการณ์ในยุค 60 มากเพียงใด?
          มันเป็นความยิ่งใหญ่ สงครามเย็นเป็นส่วนสำคัญของในยุคนั้น และการปรับประวัติศาสตร์ให้เหมาะสมก็เป็นเรื่องที่ค่อนข้างดี เราผูกตัวเองเข้ากับประวัติศาสตร์อย่างใกล้ชิดด้วยวิธีที่ค่อนข้างชัดเจน จากนั้นเราก็สร้างความวุ่นวายให้กับประวัติศาสตร์หลายอย่างและเขียนมันขึ้นมาใหม่นิดหน่อย เราไม่ได้เปลี่ยนบทสรุปของเหตุการณ์ชาวโลกแต่อย่างใด แต่การอธิบายและกลุ่มคนที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ของโลกที่เรากล่าวถึงได้เข้าจัดการกับเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์ ซึ่งเป็นเรื่องที่สนุกดี
« Last Edit: June 08, 2011, 07:01:24 PM by Google »

Google on June 08, 2011, 07:01:53 PM
X-MEN: FIRST CLASS (เอ็กซ์-เม็น: รุ่นหนึ่ง) – คำถามและคำตอบ ไมเคิล แฟสเบ็นเดอร์

          ไมเคิล แฟสเบ็นเดอร์ เป็นนักแสดงชาวไอริชเกิดที่เยอรมัน รับบทนำเป็นครั้งแรกในภาพยนตร์ที่อำนวยการสร้างโดยสตีเฟ่น สปีลเบิร์ก เรื่อง BAND OF BROTHERS เมื่อปี 2001 ภาพยนตร์ซีรี่ส์ที่แสดงร่วมกับเพื่อนร่วมนักแสดงในภาพยนตร์เรื่อง X-MEN: FIRST CLASS (เอ็กซ์-เม็น: รุ่นหนึ่ง) อย่างเจมส์ แม็คอวอย

          เขาเป็นที่รู้จักดีสำหรับผู้ชมทั่วโลกจากบทบาทในมหากาพย์ภาพยนตร์เกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 2 ผลงานของเคว็นติน ตารานติโน่ เรื่อง INGLOURIOUS BASTERDS โดยรับบทเป็นคนงานชาวอังกฤษและนักวิจารณ์ภาพยนตร์ นายร้อย อาร์ชี่ ไฮค็อกซ์ และในภาพยนตร์สไตล์แอ็คชั่นของแซ็ค สไนเดอร์ เรื่อง 300

          เขาได้รับคำชมจากเหล่านักวิจารณ์สำหรับบทบาทของเขาในภาพยนตร์ของผู้กำกับ สตีฟ แม็คควีน ในปี 2008 เรื่อง HUNGER ที่สร้างขึ้นจากความต้องการหยุดงานประท้วงของผู้ต้องหาชาวไอริชอย่าง บ็อบบี้ แซนด์ส ซึ่งเขารับบทแสดงนำ แฟสเบ็นเดอร์กวาดรางวัล British Independent Film Award สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม บทบาทที่เลื่องชื่อในภาพยนตร์เรื่องอื่น ได้แก่ FISH TANK, EDEN LAKE and JONAH HEX

          แฟสเบ็นเดอร์ร่วมกับเหล่านักแสดงเรื่อง X-MEN: FIRST CLASS (เอ็กซ์-เม็น: รุ่นหนึ่ง) โดยรับบทเป็น เอริค เลห์นเชอร์/แม็กนีโต บทบาทที่ถูกสร้างให้มีชื่อเสียงขึ้นมาโดย เซอร์ เอียน แม็คเคลเล็น ในภาพยนตร์ซีรี่ส์เรื่อง X-MEN สามภาคแรก แฟสเบ็นเดอร์พูดคุยถึงบทบาทของเขาในฉากของภาพยนตร์ที่ลอนดอน

          ภาพยนตร์เรื่อง X-Men เข้ามาหาคุณได้อย่างไร?
          แมทธิว วอนก์ บอกว่าเขาเห็นผมออดิชั่นในภาพยนตร์เรื่องอื่นของเขา จากนั้นคิดว่าผมเหมาะสมกับเรื่องนี้ ผมเลยคุยกับเขาทางโทรศัพท์ พวกเขาส่งบทภาพยนตร์มาให้ซึ่งเป็นความลับสุดยอด มีคนมาพร้อมกับบท รอเราอ่านบท 2-3 ชั่วโมงจากนั้นก็กลับไป ผมเลยได้อ่านและชอบมันมาก ผมเดินทางมาเทสต์หน้ากล้องที่นี่และพยายามทำให้ผู้อำนวยการสร้างมั่นใจ มันเริ่มต้นจากจุดนั้นจริงๆ

          เห็นได้ชัดว่าแม็กนีโตมีความโดดเด่นขึ้นมาในภาพยนตร์เรื่อง X-MEN สามภาคแรกโดย เซอร์ เอียน แม็คเคลเล็น คุณยึดหลักการแสดงมาจากเขาหรือเปล่า?
          ผมดูหนังและได้รับกลิ่นไอของหนัง ผมชอบสิ่งที่เขาแสดงมาก แต่ผมตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะวาดลวดลายใหม่ แน่นอนว่าเราอยากเคารพสิ่งที่คนอื่นเคยแสดงเอาไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ฐานแฟนๆ คลั่งไคล้และยอมรับสิ่งที่เขาเคยแสดงเอาไว้ เขาเป็นนักแสดงที่มีฝีมือ ผมสามารถไปเรียนรู้จากเขาได้ในฐานะเด็กคนหนึ่งและหยิบมันมาใส่ในการแสดงได้ แต่ผมไม่คิดว่าแมทธิวจะรู้สึกดีกับแบบนั้นมากนัก และยิ่งเขาบอกว่าเขาไม่มีปฏิกิริยาต่อสิ่งนั้น ผมคิดว่าเอาล่ะ ผมจะลืมทุกสิ่งทุกอย่างและแสดงไปในแบบของตัวเอง ผมเลยแสดงทุกอย่างที่อยู่ในหนังสือการ์ตูนและบทภาพยนตร์ขึ้นมา

          คุณแสดงแม็กนีโตที่เป็นคนดีใช่มั้ย?
          ผมไม่ได้คิดในถึงเรื่องดีหรือเลว ผมคิดถึงในส่วนของสิ่งที่เขาต้องการและเขาเป็นมีแรงกระตุ้นขนาดไหน รวมถึงลักษณะแนวปฏิบัติที่เขามีในจุดนั้น

          ผมมองว่าเขาเป็นตัวละครที่มีเล่ห์เหลี่ยมมาก นั่นเป็นคำอธิบายในท้ายที่สุด และเขาอยู่ในสถานการร์ที่เขาเหมาะสมแล้วจริงๆ เหมือนกับมนุษย์เผชิญหน้ากับมนุษย์ยุคหิน และเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์คือเวอร์ชั่นใหม่ ทุกอย่างที่เขาพูดเป็นสิ่งที่ถูกต้อง

          ประวัติความเป็นมาของมนุษยชาติ คือพวกเราทำลายทุกอย่างไปค่อนข้างมาก ซึ่งรวมถึงตัวเองด้วย เขากล่าวว่านั่นเป็นการทำลายโดยธรรมชาติและเป็นการทำลายเผ่าพันธุ์ตัวเอง มุนษย์กลายพันธุ์คือสิ่งที่รุดหน้า มันรู้สึกได้ถึงสิ่งที่เขากำลังพูดถึง

          คุณสังเกตจากหนังสือการ์ตูนเพื่อให้คำนิยามต่อแม็กนีโตหรือเปล่า?
          ในหนังมีการดึงภูมิหลังของแม็กนีโตมาหลายอย่าง และสิ่งที่น่าสนใจมากคือเขาแต่งงานกับสาวยิปซีที่เขาพบในค่ายกักกัน พวกเขามีลูกด้วยกัน และเขาพยายามใช้ชีวิตแบบมนุษย์ปกติ แต่ความคิดของคนที่บ้าคลั่งกลับมาคุ้มคลั่งอีกครั้ง สุดท้ายลูกชายของเขาถูกเผาทั้งเป็น เขาฆ่าทุกคน และภรรยาได้ทิ้งเขาไป เขาไม่ศรัทธาในความเป็นมนุษย์อีกต่อไป ผมคิดว่านั่นคือสาเหตุของเรื่องนั้น ผมมั่นใจนะ เราไม่ได้สัมผัสกับเรื่องภรรยาและลูกมากนัก แต่นั่นคือสิ่งที่ผมมีอยู่ในจิตใต้สำนึกมาโดยตลอด เขาต้องทำสิ่งนี้ เขาต้องมีการแก้แค้นชอว์

          เควิน เบคอน หยิบอะไรมาใส่ในบทของ ชอว์ บ้าง?
          กล่าวอีกครั้งหนึ่งว่าผมคิดว่าเราคาดหวังกับคนที่เป็นนักแสดง ที่ค้นหาความถูกต้องในสิ่งที่เขาทำเกือบทุกอย่าง และประสบการณ์ที่โชกโชนจากภาพยนตร์ประมาณ 70 เรื่องที่เขาแสดง มันเป็นเรื่องวิเศษที่ได้เห็นคนที่ยังอยู่ในวงการมาเป็นเวลานาน เป็นเรื่องที่ดีมาก เขาแค่ต้องการให้งานสำเร็จเสร็จสิ้น เขาเป็นคนพูดจาว่าง่าย เขาพยายามหาความถูกต้องในทุกฉาก เพราะประเด็นที่ว่านั่นคือโลกแห่งจินตนาการ แต่เราต้องการความหลอน สิ่งที่จับต้องไม่ได้ ให้สองสิ่งนี้ยังคงอยู่อย่างมั่นคงได้มากเท่าที่ทำได้ ทุกอย่างควรดูเหมาะสมน่าพอใจ ทุกอย่างในเรื่องเกิดขึ้นเพื่อเหตุผลบางอย่าง องค์ประกอบที่ดีที่สุดไม่ได้อยู่ที่นั่นเพื่อเป็นเพียงสิ่งที่เข้ามาเติมเต็ม ทุกอย่างอยู่ที่นั่นเพื่อขับเคลื่อนสิ่งต่อไปและอาจเชื่อมโยงกับอีก 3 ฉากถัดมา ซึ่งพบสิ่งเหล่านั้นได้ในฉากเดียว

          คุณสนุกกับฉากของยุค 60 หรือเปล่า?
          มันยอดเยี่ยมเลย เวลาที่เราทำงานอะไรสกอย่างที่มีขนาดใหญ่แบบนี้ องค์ประกอบทุกอย่างที่อยู่ในนั้นมีความสำคัญและยิ่งใหญ่ในการมองผ่านเมื่อเราทำงาน เราสร้างสนามบิน Buenos Aires ขึ้นที่ลอนดอนและมันวิเศษมาก ความงดงามคือมันถูกจุดประกายขึ้นมา และวิธีการถ่ายทำของแมทธิวมันได้อารมณ์ถึงยุค 60 จริงๆ เราได้บรรยากาศของยุค 60 และรวมถึงเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายด้วยแน่นอน มันเป็นเรื่องยอดเยี่ยมที่ลงลึกไปถึงยุคนั้นจริงๆ และนำมันมาสู่โลกของซูเปอร์ฮีโร่ ผมว่ามันเป็นอะไรที่เท่ห์ ตอนนี้เราอยู่ในปี 2010 เพื่อแสดงหนังซูเปอร์ฮีโร่ร่วมสมัย

          การที่ทั้งโลกถูกสร้างขึ้นมาเพื่อคุณ มันมีส่วนช่วยในเรื่องมุมมองการจินตนาการมั้ย?
          ใช่ เหมือนเราต้องเดินหน้าทำให้ได้ เราสวมหมวกหุ้มเกราะและชุดซูเปอร์ฮีโณ่ เราต้องเดินหน้าทำให้ได้ เราอยู่ในความสงสัยใดๆ ในจุดนั้นไม่ได้เลย! [หัวเราะ]

          ภาพยนตร์เหล่านี้เมื่อเปรียบเทียบกับภาพยนตร์อินดี้ขนาดเล็กกว่าที่คุณรู้จักแล้วเป็นอย่างไรบ้าง?
          ในหนังมีผู้คนร่วมแสดงเพียงไม่กี่คน มันไม่ได้เปลี่ยนสิ่งสำคัญและเหตุผลสำคัญของมัน ถึงแม้เราสร้างหน้าอะไรที่เป็นแนวจินตนาการ เราก็ต้องพยายามหาสิ่งที่มีความเป็นจริงหรือเชื่อถือได้ในหนัง เพื่อให้มันได้รับความนิยมอย่างที่สุด หากเราเชื่อว่ามีคนงอโลหะได้จริงๆ … มันเป็นแค่เหตุผลและสิ่งสำคัญแบบเดิม แต่มีผู้คนและงบประมาณจำนวนมาก

          คุณเสร็จสิ้นจากภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ร่วมกับวอนก์, ตารานติโน่, แซ็ค สไนเดอร์ มาแล้ว คุณยังคงร่วมงานกับผู้คนที่มีความสร้างสรรค์อย่างน่าทึ่งอยู่
          แน่นอนครับ ผมมองว่าตัวเองเป็นแขกคนหนึ่งเสมอ ผมชอบที่จะเข้าไปในฉากของหนังทั้ง 2 แบบ ผมชอบเข้าไปในฉากที่ขับเคลื่อนการผจญภัยอย่างยิ่งใหญ่ เช่น SHERLOCK HOLMES ผมสนุกกับมันมาก ผมไปในชมช่วงคริสต์มาส และมันเป็นทุกอย่างที่ผมอยากตักตวงจากหนังเรื่องนี้ ในช่วงอื่นผมอยากไปดูเรื่อง RABBIT PROOF FENCE มันเป็นเหมือนการผสมผสานและความเข้ากัน บางครั้งเมื่อเราออกมาจากการแสดงหนังเรื่องใหญ่ มันก็ดีหากจะสวมกางเกงชั้นในหนังวิ่งไปรอบๆ อย่างที่ผมทำในเรื่อง 300 [หัวเราะ] มันเหมือนที่เราวิ่งไปรอบๆ ตอนอายุ 10 ขวบ เว้นแค่ว่าตอนนี้เรามีฉากทั้งหมด ปืนแก๊บเป็นปืนจริงและเราต้องมีการฝึกซ้มอวิธีการใช้ดาบหรืออะไรก็ตาม!

          ในช่วงซัมเมอร์เต็มไปด้วยหนังซูเปอร์ฮีโร่ อะไรทำให้หนังเรื่องนี้แตกต่างไปจากหนังเรื่องอื่นในความคิดของคุณ?
          มันต้องเป็นหนังที่ดีที่สุด [หัวเราะ] ผมไม่รู้จักโลกของหนังสือการ์ตูนเล่มอื่นจริงๆ แต่ผมคิดว่าความน่าสนใจในเรื่องนี้ แนวคิดที่มนุษย์กลายพันธุ์มีการปฏิวัติ และมนุษยชาติจะตอบสนองต่อสิ่งนั้นอย่างไร มนุษย์เข้าใจว่า “เราควรกวาดล้างพวกเขาก่อนที่พวกเขาจะกวาดล้างเรา” มันมีข้อจำกัดของมนุษย์ที่น่าสนใจหลายอย่าง รวมถึงพฤติกรรมมนุษย์ที่ถูกขุดค้นโดย X-MEN

Google on June 08, 2011, 07:02:18 PM
X-MEN: FIRST CLASS (เอ็กซ์-เม็น: รุ่นหนึ่ง) – คำถามและคำตอบ เจน โกล์ดแมน

          เจน โกล์ดแมน เป็นนักข่าว ผู้กระจายเสียงทางวิทยุหรือโทรทัศน์ และนักเขียนผู้ประสบความสำเร็จ เจน โกล์ดแมนพลิกความสนใจสู่ด้านการเขียนบทภาพยนตร์ในปี 2007 ตามมาด้วยการพบแมทธิว วอนก์ ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง STARDUST ด้วยการจัดการของเพื่อนทั้งสองฝ่าย ผู้เป็นนักเขียนหนังสืออย่าง นีล ไกแมน

          ภาพยนตร์เรื่อง X-MEN: FIRST CLASS (เอ็กซ์-เม็น: รุ่นหนึ่ง) เป็นการร่วมงานเขียนของทั้งคู่เป็นครั้งที่ 4 หลังภาพยนตร์ของวอนก์เรื่อง STARDUST และ KICK-ASS รวมถึงภาพยนตร์ที่กำกับโดยจอห์น แมดเด็น เรื่อง THE DEBT

          ระหว่างการถ่ายทำภาพยนตร์ในลอนดอนที่ Pinewood Studios โกล์ดแมนนั่งลงเพื่อพูดคุยถึงหน้าที่ของเธอในโลกของ X-MEN

          คุณเข้ามามีส่วนร่วมในภาพยนตร์เรื่อง X-MEN: FIRST CLASS (เอ็กซ์-เม็น: รุ่นหนึ่ง) ได้อย่างไร?
          แมทธิวคุยกับ Fox ถึงความเป็นไปได้ในการกำกับเรื่องนี้ เมื่อเขาเดินหน้าตอบตกลง มันเป็นช่วงที่ร่างภาพยนตร์ที่เขามีอยู่ตอนนั้นยังไม่ได้รับการอนุมัติ พวกเขาดีใจที่แมทธิวจะรับหน้าที่ขุดค้นทิศทางที่แตกต่างในหนัง เขาได้ตัวฉันมาอยู่ในฉากเพื่อจัดการเรื่องนั้นร่วมกับเขา

          มิตรภาพกับแมทธิวที่ตอนนี้กลายเป็นการอ่านบทเก่าถึง 4 บทด้วยกัน ซึ่งลุล่วงไปได้สวยในขั้นปฏิบัติมั้ย?
          มันกลายเป็นมิตรภาพแบบเพื่อน เราทำงานร่วมกันอย่างสนุกสนานและเรารู้สึกสบายใจในการทำงานร่วมกันมาก เราบรรลุจุดประสงค์ในวิธีที่แตกต่างกัน แต่ลงล็อคเข้ากันดีในแง่ของการเอื้อเฟื้อหรือแบ่งปันสิ่งที่เราสามารถให้ได้ และแน่นอนว่ามันยิ่งสบายใจมากขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่วิเศษ

          แมทธิวลงมือจัดการทุกสิ่งทุกอย่างจากมุมมองการกำกับหนัง เขามีมุมมองหนังอยู่ในความคิดของเขา ส่วนของฉันจะแตกต่างไปจากเขา แมทธิวมีโครงร่างที่ชัดเจนมาก ในด้านความคิดของฉากและความคิดของฉากแอ็คชั่น ซึ่งเป็นสิ่งที่เราทำด้วยกันทั้งคู่ ส่วนในด้านของบทภาพยนตร์และการพัฒนาตัวละคร ฉันเดาว่านั่นเป็นหน้าที่ของฉันมากกว่า

          แต่ก็มีจุดที่ขัดแย้งกันหลายอย่างและนั่นไม่เคยเหมือนกันเลย หากแมทธิวแนะนำบทภาพยนตร์บางตอนขึ้นมา ฉันก็จะพูดว่า “เอ่อ ขอโทษนะ นั่นมันหน้าที่ฉัน” มันมีความเหมาะสมมากโดยที่เราไม่ต้องวิเคราะห์มันเลย

          คุณเป็นแฟนหนังสือการ์ตูน ฉะนั้นมันรู้สึกอย่างไร ที่มีโอกาสได้แสดงในจักรวาลอันกว้างขวางบนโลกของ X-MEN?
          มันเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นมาก แน่นอนว่าฉันเป็นแฟนหนังสือการ์ตูนของ X-MEN แต่เพราะว่าพวกเขามีการตอกย้ำอยู่หลายครั้ง โดยเฉพาะในช่วงหลายปีนี้ ถือเป็นเรื่องดีที่มีโอกาสย้อนกลับไปหาต้นฉบับแรกจากจุดเริ่มต้น โชคดีที่เรามีต้นฉบับทั้งหมดอยู่ในบ้านขอเรา เพราะมันคือของสะสมอย่างหนึ่งของสามีฉัน! ฉันอยู่ภายใต้คำแนะนำอย่างเคร่งครัดว่ามือของฉันต้องสะอาดตลอดเวลา และเราก็จะเห็นถุงใส่อาหารทุกๆ ที่! แต่มันเป็นความน่าหลงใหลจริงๆ ที่ได้ย้อนกลับไป และฉันอยากมั่นว่าฉันมีการเชื่อมโยงถึงมัน

          สิ่งที่แมทธิวและฉันต่างรู้สึกในฐานะของแฟนหนังสือการ์ตูน คือเมื่อมีนักเขียนหรือศิลปินหน้าใหม่เข้ามาอยู่ในซีรี่ส์ใด ต้องเคารพในสิ่งที่เคยมีมาก่อนเสมอ แต่ก็มีอิสระในการค้นหาแง่มุมอื่นๆ ในส่วนของการยึดติดหลักการมันมีความคลาดเคลื่อนจากหนังสือการ์ตูนมาโดยตลอด ฉันเลยคิดว่าจริงๆ แล้วมัน็ดีที่จะมีระดับความเป็นอิสระ ขณะที่ยังคงเคารพในความเป็นมาของมันด้วย

          ฉากร่วมสมัยดูเหมือนเป็นการทำให้นึกถึงมัลคอล์ม เอ็กซ์ / มาร์ติน ลูเธอร์ คิง ที่เป็นการเปลี่ยนแปลงระหว่างแม็กนีโตและโพรเฟสเซอร์ เอ็กซ์
          แน่นอน ฉันไม่รู้ว่าแรกเริ่มไบรอัน ซิงเกอร์ มีไอเดียของฉากแนวพีเรียดได้อย่างไร แต่ที่แน่ๆ มันเป็นส่วนหนึ่งในความสัมพันธ์ของพวกเขา แถมมันยังเกี่ยวกับการมองผู้คนในช่วงเวลาของชีวิตพวกเขา เมื่อความคิดของพวกเขาเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา และประสบการณ์ที่จะนำพาเราสู่เส้นทางที่เราถูกนำไปสู่อุดมการณ์ของเรา สิ่งที่เกิดขึ้นกับเรากำหนดเส้นทางและวิธีการปฏิบัติต่อผู้อื่น อันที่จริงความคิดนั้นไม่ใช่ถูกหรือผิดอย่างสิ้นเชิง และอันที่จริงการมองจุดที่พวกเขาตัดขวางกันเป็นเรื่องที่น่าหลงใหลมาก นั่นคือสิ่งที่ฉันชอบมากในเรื่อง

          ปฏิกิริยาระหว่างตัวละคร 2 ตัวและสิ่งที่อยู่ข้างเคียงเป็นอย่างไรบ้าง?
          เซบาสเตียน ชอว์ เป็นคนที่ชั่วร้ายมาก แต่ในด้านของเหล่า X-Men มันเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก เพราะยังไม่มีฝ่ายพันธมิตรในช่วงแรกเริ่ม จากนั้นเมื่อมีการพัฒนาขึ้น เราจะได้เห็นทิศทางที่เด็กวัยรุ่นต่างเดินไปข้างหน้า นั่นเป็นเรื่องดีที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับความดีที่บริสุทธิ์หรือความเลว

          ในด้านหนึ่ง ด้านชั่วร้ายอย่างที่นึกเอาไว้เป็นสิ่งที่ค่อนข้างสมเหตุสมผล นั่นเป็นสิ่งที่น่าสนใจ เพราะส่วนหนึ่งแล้วมันคือชีวิตจริง ใช่มั้ย? ฉันว่าเควิน เบคอน แสดงได้เลวบริสุทธิ์ แต่สิ่งที่น่าสนใจคือเราจะเห็นด้านมืดขององค์ประกอบที่เซบาสเตียน ชอว์ ยืนหยัดเพื่อสิ่งที่เขาให้ความสนใจอย่างแท้จริงอยู่ในตัวแม็กนีโต แต่ก็มีองค์ประกอบของสิ่งที่ชาร์ลส์ให้ความสนใจอย่างแท้จริง มันน่าสนุกที่ได้เห็นสิ่งที่ตัวละครตัดสินใจเลือกที่จะเผชิญหน้ากับมั

          คุณสร้างให้ชาณืลส์ ซาเวียร์ เป็นสัญลักษณ์แห่งความบริสุทธิ์ เป็นตัวละครที่มีปมอย่างไร?
          ด้วยการร่วมมือกับเจมส์ นั่นเป็นการท้าทายความสามารถของเรามาก กรค้นหาปมในตัวซาเวียร์และทำให้เขาเหมือนมนุษย์หรือเป็นตัวละครที่มีความซับซ้อน ฉันคิดว่าเราจะเห็นได้ชัดเจนว่าเขามีความคิดเหมือนพระเจ้าที่ ความปรารถนาเบื้องลึกของเขาคือการควบคุมทุกน หากเรานำมาปรับใช้ในชีวิตจริง มันไม่ง่ายเลยที่จะดำเนินชีวิตไปด้วยความคิดแบบนั้น ความปรารถนาเบื้องลึกในการเปลี่ยนแปลงผู้คนและหลอมพวกเขาให้เป็นแบบความคิดของเราในสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสมจะก่อให้เกิดความขัดแย้งขึ้นมา

          เขาค่อนข้างเหมือนกับโยดาที่อยู่เหนืออารมณ์ และมันน่าสนุกจริงๆ ที่ได้ลองหาระดับตัวละครของเขา ซึ่งเจมส์มีส่วนช่วยได้เป็นอย่างดีตอนที่เขาร่วมลงมือในช่วงแรก เราเขียนบทขึ้นมาใหม่โดยอิงจากการพูดคุยกับเจมส์ เพื่อค้นหาขอบข่ายที่ไกลออกไป เขามีการรับมือได้อย่างดีในตัว เขามีความฉลาดมาก

          คุณแก้ปัญหากับขอบเขตนักแสดงที่จะมาเป็นเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์อย่างไร? นั่นเป็นการเลือกสิ่งที่เหมาะสมกับเรื่องราวหรือคุณใส่ความชอบของตัวเองลงไปในหนัง?

          บอกตามตรงว่าทั้งสองอย่าง ฉันคิดว่ามันมีบางอย่างที่ทำให้เป็นตัวละครที่น่าสนใจอย่างเห็นได้ชัด บางอย่างมีความสมบูรณ์ต่อเรื่องราว และมีบางกรณีหรืออาจเป็นกรณีเดียวที่เขามีพลังวิเศษจนเราต้องมีเขามาอยู่ในเรื่อง!

          Fox มีความสบายใจกับคนที่เรานำมาแสดง นักแสดงหลักของเรื่องเป็นตัวละครที่เรามีความคาดหวังสูง แต่นักแสดงคนอื่นเราสามารถเพิ่มเติมได้ เพราะพวกเขาเป็นตัวละครที่ได้รับความสนใจและมีพลังวิเศษ ความเป็นไปได้ทำให้เรารู้สึกมีความยินดี

          ซึ่งแน่นอนว่าตัวละครต้องมีพัฒนาการไปด้วย ไม่ใช่แค่จับเขามาใส่ในเรื่องอย่างไร้แบบแผน ฉันหวังว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจในเรื่องการตัดสินใจของพวกเขา

          และการมีตัวละคร 2-3 ตัวที่เรารู้จักมาบ้างก็เป็นเรื่องที่ดี เพราะเราสามารถเข้าถึงพวกเขาได้ พวกเขามาอยู่ในเรื่องราวเป็นครั้งแรกและเป็นผู้ร่วมรู้เห็นกับตัวละครทั้งสองในการก่อตั้งอุดมการณ์ของพวกเขา มันเป็นการตัดสินใจที่ตัวละครไม่รู้เรื่องอะไรในสิ่งที่ทำ ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นถึงมุมมองที่แปลกใหม่ของเรื่องราว

          คุณมีความคิดมั้ยว่ามันจะเป็นอย่างไรต่อไปจากนี้?
          บอกตามตรงว่าเรายังไม่ได้คิดถึงภาคต่อไป มันไม่ใช่เรื่องที่เรามีการพูดถึงกันเลยจริงๆ มันไม่มีวี่แววของการสร้างภาพนี้เพื่อภาคต่อไป ฉันคิดว่ามันเป็นการเสี่ยงเสมอที่จะทำแบบนั้น เราควรสนใจกับการสร้างเรื่องราวที่เราบอกเล่าให้ถูกต้องเหมาะสมจะดีกว่า

Google on June 08, 2011, 07:02:42 PM
X-MEN: FIRST CLASS (เอ็กซ์-เม็น: รุ่นหนึ่ง) – คำถามและคำตอบ อเล็กซ์ กอนซาเลซ

          นักแสดงทางทีวีและภาพยนตร์ชาวสเปนอย่าง อเล็กซ์ กอนซาเลซ แสดงภาพยนตร์ฮอลลีวูดเรื่องแรกด้วยบทนำในภาพยนตร์เรื่อง X-MEN: FIRST CLASS (เอ็กซ์-เม็น: รุ่นหนึ่ง) ให้การสัมภาษณ์ด้วยภาษาอังกฤษในฉากของภาพยนตร์ กอนซาเลซมาแชร์เรื่องราวประสบการณ์ในฐานะนักแสดงของภาพยนตร์แฟรนไชส์เรื่อง X-MEN รุ่นใหม่

          รู้สึกตื่นเต้นแค่ไหนที่ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของโลก X-MEN?
          ตื่นเต้นมาก นักสแดงทุกคนที่กำลังเริ่มเส้นทางอาชีพ มันถือเป็นความแตกต่างที่ได้แสดงภาพยนตร์แบบนี้ แต่สำหรับนักแสดงชาวสเปน มันค่อนข้างยากอยู่เล็กน้อย โดยเฉพาะนักแสดงชาวสเปนที่มีระดับทักษะภาษาอังกฤษแบบผม!

          แต่ผมรู้สึกตื่นเต้นมากเพราะผมเป็นคนหนึ่งที่คลั่งไคล้ X-MEN และมีความสุขมากที่ได้อยู่ตรงนี้ วันนี้ผมได้ดูการฝึกซ้อมและบางทีผมรู้สึกว่าผมเป็นคนนอก ผมต้องพูดว่า “ไม่เอาน่า ผมอยู่ตรงนี้นะ ผมกำลังแสดงอยู่ ผมไม่ใช่ผู้ชม ผมมีส่วนร่วมด้วยไม่ใช่คนนอก” มันวิเศษจริงๆ

          คุณรู้จัก X-MEN ได้อย่างไร?
          ต้องบอกตามตรงเลยว่าผมไม่ได้อ่านหนังสือการ์ตูนมามากมาย แต่แนนอนว่าผมดูหนังทุกเรื่องมา 2-3 รอบแล้ว ผมเป็นแฟนตัวยงของ X-MEN เลย

          ช่วยเล่าถึงบทบาทของคุณให้ฟังหน่อย
          ตัวละครของผมคือริพไทด์ ริพไทด์ไม่ใช่ตัวร้ายที่มีชื่อเสียงมากมาย แต่ในช่วงแรกเขาเริ่มร่วมมือกับ มิสเตอร์ซินิสเตอร์ ในหนังเขาไม่ได้มีความสัมพันธ์ใดกับมิสเตอร์ซินิสเตอร์เลย ฉะนั้นมันจะไม่เหมือนกับในหนังสือการ์ตูน

          เขาร่วมมือกับเซบาสเตียน ชอว์ รับบทแสดงโดย เควิน เบคอน โดยทั่วไปแล้วเขาสามารถควบคุมกระแสลมได้ เขาสามารถเหวี่ยงกระแสลมได้ด้วยมือของเขา แต่เวลาที่เขาโกรธ เขาสร้างทอร์นาโดขึ้นมารอบตัวเขาได้เลย

          มันสนุกดีนะ แต่ในความเป็นจริงค่อนข้างยากเหมือนกัน ผมต้องเอาตัวเองไปอยู่ในรถเทรลเลอร์ที่กำลังหมุนอยู่ ซึ่งหมุนเร็วมาก ช่วง 15 นาทีแรกมันสนุกดี แต่หลังจากนั้นค่อนข้างอันตรายต่อคนอื่นแล้ว พวกเขาต้องถือร่มเอาไว้ เพราะผมรู้สึกเหมือนผมถูกเหวี่ยงขึ้นไปในทุกวินาที! มันไม่สบายได้ง่ายๆ เลยนะ

          ตัวละครมาจากที่ไหน?
          เขาเป็นชาวแม็กซิกัน มีชื่อว่า จานอส เควสเต็ด ถือเป็นความโชคดีที่ตอนเขากำลังสร้างตัวละครขึ้นมา ผู้เขียน X-MEN เลือกว่าเขาเป็นชาวแม็กซิกัน โชคดีสำหรับผม เพราะผมอยู่ตรงนี้แล้วไง!

          ตัวละครของคุณมีการโมโหบ่อยมั้ย?
          ใช่ เขาเป็นตัวอันตรายมาก แต่รู้มั้ยในทางตรงกันข้ามเขามีความเคารพและอ่อนน้อมมาก สำหรับผมแล้วเขาเหมือนกับทอร์นาโด เวลาที่เราเห็นทอร์นาโดจากที่ไกล มันดูนิ่งสงบ สิ่งเดียวที่เราเห็นคือลักษณะที่เหมือนท่อ แต่เมื่อมันเข้ามาใกล้แล้ว มันอันตรายมากเลย

          ภายในตัวริพไทด์ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและมีความหุนหันมาก เขาดูเหมือนอยู่ภายใต้การควบคุม แต่พอถึงเวลาที่มิสเตอร์ชอว์ส่งสัญญาณให้ผม ผมก็ระเบิดมันออกมาเลย เพราะผมเฝ้ารอท่ะทำให้ทุกคนเห็นอยู่แล้ว เขาค่อนข้างเห็นแก่ตัวและตอนนั้นเขาคือทอร์นาโด เขาสนุกกับมันทุกครั้ง

          พวกเรารู้สึกเจ็บปวดกับพรสวรรค์ของเราอยู่นิดๆ ตอนนี้พวกเขารู้สึกค่อนข้างอายที่เป็นมนุษย์กลายพันธุ์ แต่ผมคิดว่าทุกคนสามารถแยกแยะในหนังเรื่องนี้ได้ เพราะในบางมุมชีวิตพวกเราทุกคนรู้สึกค่อนข้างอ้างว้าง จากนั้นเราจึงค้นหาตัวเอง ซึ่งเป็นเรื่องที่งดงาม

          สนุกมั้ยที่ได้เล่นเป็นตัวร้าย?
          สนุกครับ เพราะที่สเปนผมได้รับโอกาสให้แสดงเป็นคนดีทุกบทบาทเลย บางทีอาจเป็นเพราะหน้าตาของผม เพราะทุกคนบอกว่าหน้าตาผมเหมือนคนดี ผมไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่ผู้กำกับเหมือนจะคิดแบบนั้น! สนุมากที่ได้เล่นเป็นตัวร้ายและมันเป็นการท้าทายความสามารถสำหรับผม มันเป็นโอกาสดีที่ได้แสดงอะไรที่แตกต่าง

          นี่คือทีมนักแสดงขนาดใหญ่ คุณสนุกกับการร่วมงานกับพวกเขามั้ย?
          แน่นอน ไม่ใช่แค่ประเด็นที่ผมกำลังแสดงเรื่อง X-MEN ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่มีคุณค่าสำหรับผมมากเท่านั้น แต่เป็นเพราะผมได้อยู่ที่ลอนดอนและพัฒนาภาษาอังกฤษของผม แม้ว่าที่สเปนผมเคยแสดงหนังมาหลายเรื่องแล้ว ผมก็ยังรู้สึกเหมือนได้แสดงหนังเรื่องแรกอีกครั้ง และตอนนี้เป็นการสัมภาษณ์ครั้งแรกของผม

          ผมมีความรู้สึกว่าทุกอย่างกำลังเริ่มต้นขึ้นอีกครั้งในฐานะนักแสดง เพราะทุกอย่างมีความแตกต่างออกไป มีผู้คน 500 คนในกอง ทุกอย่างแตกต่างไปมากจริงๆ ทุกอย่างมีความยิ่งใหญ่มาก ทุกอย่างเป็นภาษาอังกฤษซึ่งเป็นเรื่องใหญ่สำหรับผม! ผมรู้สึกโชคดีมากที่ได้มาอยู่ที่นี่

          ทุกคนที่สเปนบอกผมว่า “ว้าว คุณกำลังแสดงเรื่อง X-MEN เส้นทางอาชีพของคุณกำลังจะเปลี่ยนไปแล้ว” แต่ผมไม่ได้คิดแบบนั้น ผมหวังแบบนั้นนะแต่ผมไม่อยากคิดว่าจะมีผลลัพธ์แบบนั้น ผมแค่อยากคิดถึงขั้นตอนการทำงาน เพราะขั้นตอนมีความสนุกสนานมาก และบางทีเรื่องการแสดงหนังของผมจะเป็นเรื่องราวที่ผมบอกหลานๆ ผมจะบอกว่า “เมื่อ 50 ปีที่แล้วปู่ของหลานได้แสดงหนังเรื่อง X-MEN ที่ฮอลลีวูดด้วยนะ” หรือบางทีอาจไม่ใช่แบบนั้น แต่ไม่อยากคิดถึงมัน สิ่งเดียวที่ผมอยากทำคืออยู่กับเวลานี้ ที่นี่ ตอนนี้ มันเป็นสิ่งที่วิเศษมากๆ

          คุณได้รับบทบาทได้อย่างไร?
          ตอนนั้นผมกำลังเรียนภาษาอังกฤษที่ประเทศอังกฤษ ผมอยู่ที่นั่น 2 อาทิตย์ช่วงเดือนสิงหาคม ผู้จัดการผมโทรมาบอกว่าผมต้องไปลอนดอนเพื่อออดิชั่นเรื่อง X-MEN มันเป็นการออดิชั่นด้วยภาษาอังกฤษเป็นครั้งแรก ซึ่งผมแทบไม่อยากเชื่อเลย แต่ก็ตอบ “โอเค” ผมจึงมาที่นี่เพื่อทำการออดิชั่น หลังจากนั้น 10 วันผมลืมเรื่องนั้นไปสนิทเลย จริงๆ แล้วผมกำลังถ่ายรูปลงแม็กกาซีนที่สเปน และพบว่าผมต้องไปสนามบินทันทีเพื่อพบกับแมทธิว ซึ่งเป็นผู้กำกับ

          ผมถามว่า “แมทธิวเป็นใคร?” เธอตอบผมว่า “ผู้กำกับเรื่อง X-MEN” หลังจากนั้น 2 ชั่วโมงผมได้มาอยู่ที่ Pinewood เพื่อพูดคุยกับแมทธิว และเมื่อ 2-3 เดือนที่แล้ว ภาษาอังกฤษของผมยังแย่ยิ่งกว่าตอนนี้ สำหรับผมแล้วมันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะพูดอะไรสักอย่าง เขามีความอดทนกับผม และเราพูดคุยกันอยู่ประมาณ 15 นาที

          ผู้กำกับการคัดเลือกนักแสดงบอกว่า “กลับบ้านได้แล้ว เราอาจได้พบกันวันศุกร์หน้า” ผมตอบว่า “ได้ครับ มันคงจะดีมาก!” และเธอบอกว่า “ไม่ คุณไม่เข้าใจฉัน คุณต้องไปเก็บกระเป๋าและมาที่นี่ในวันศุกร์หน้า เพราะคุณต้องอยู่ที่นี่ 4 เดือนและต้องแสดงเป็นริพไทด์” ผมไม่อยากเชื่อเลย!

          ในช่วง 2-3 วันผมต้องเก็บกระเป๋าและเดินทางมาที่นี่ อันที่จริงวันนี้ผมกำลังคิดถึงมอเตอร์ไซค์ รถและบ้านของผมที่สเปน เพราะผมคิดได้ว่า “โอ้ ผมทิ้งมอเตอร์ไซค์ไว้นอกบ้าน!” บางทีพอผมกลับไปอาจมีใครขโมยมันไปแล้ว!

          คุณกำลังจะเดินทางไปที่จอร์เจียเพื่อแสดงฉากสุดท้ายใช่มั้ย?
          ใช่ เราจะไปวันศุกร์หน้า มันต้องสนุกแน่เลย เพราะพวกเราทุกคนต้องมีอะไรเล็กๆ น้อยๆ แสดงบนชายหาด ประมาณ 15 หน้าของบทภาพยนตร์ ฉะนั้นมันเป็นฉากใหญ่ แต่มันต้องสนุกแน่เลย