PR on May 21, 2011, 05:58:56 PM
PRIMA GOLD คาดเศรษฐกิจฟื้น เตรียมทุ่มงบโฆษณา 20 ลบ. หวังดันยอดขายปี 54 โต 15% พร้อมส่ง KORLOFF แบรนด์น้องใหม่


 
           PRIMA GOLD คาดเศรษฐกิจฟื้น เตรียมทุ่มงบโฆษณา 20 ลบ. หวังดันยอดขายปี 54 โต 15% พร้อมส่ง KORLOFF แบรนด์น้องใหม่ เจาะตลาดเครื่องประดับไทยโตต่อเนื่อง

          บริษัท พรีม่าโกลด์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้นำด้านเครื่องประดับทองคำ 99.9% ด้วยประสบการณ์และความชำนาญตลอดระยะเวลา 19 ปี ประกาศผลงานโชว์ยอดขายทั้ง 5 แบรนด์ พรีม่าโกลด์ (PRIMA GOLD), พรีม่าไดมอนด์ (PRIMA DIAMOND), พรีม่าอาร์ท (PRIMA ART), เซ็นจูรี่โกลด์ (Century Gold) และเมอรี (MERII) ปี 2554 ไตรมาสแรก 210 ล้านบาท เติบโตกว่า 20% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับปีที่แล้ว เชื่อมั่นในเศรษฐกิจปีนี้สดใส กำลังซื้อฟื้นเตรียมอัดงบโฆษณา 20 ล้านบาท กระตุ้นตลาด ปี 2554 ตั้งเป้ายอดขาย 800 ล้านบาท เติบโต 15% เตรียมเปิดตัว KORLOFF แบรนด์ชั้นนำจากประเทศฝรั่งเศส ณ ร้านพรีม่าโกลด์ ชั้น 2 ศูนย์การค้าสยามพารากอน

          รุ่งนภา เงางามรัตน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พรีม่าโกลด์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เปิดเผยว่า “ปัจจุบันคงปฏิเสธไม่ได้ว่าสถานการณ์ตลาดทองคำมีความเคลื่อนไหวค่อนข้างมาก ทั้งจากสถานการณ์ของเศรษฐกิจโลก, ค่าเงินดอลล่าร์อ่อนตัว, ภาวะเงินเฟ้อ จึงส่งผลให้ราคาทองคำมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงภาวะตลาดทองคำในประเทศไทยก็เช่นกัน แต่ด้วยประสบการณ์และความชำนาญของพรีม่าโกลด์ตลอดระยะเวลา 19 ปี ซึ่งผ่านมาทั้งที่ช่วงเศรษฐกิจดี และช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดี จึงทำให้เรามีการปรับตัวตลอดเวลา โดยผลงานยอดขายทั้ง 5 แบรนด์ ได้แก่ พรีม่าโกลด์, พรีม่าไดมอนด์, พรีม่าอาร์ต, เซ็นจูรี่โกลด์ และเมอรี ตลอดปี 2553 นั้น มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น 15% และสำหรับยอดขายปี 2554 ช่วงไตรมาสแรกนั้นค่อนข้างเกินความคาดหมาย เติบโตกว่า 20% เมื่อเทียบกับปีก่อนในช่วงเวลาเดียวกัน ทั้งนี้เป็นเพราะกำลังซื้อกลับมาและเราได้มีการกระตุ้นตลาดด้วยสินค้าใหม่ รวมทั้งกิจกรรมทางการตลาดที่เจาะกลุ่มลูกค้ามากขึ้น”

สำหรับแผนการตลาดปี 2554 หญิงแกร่งแห่งวงการเครื่องประดับ คุณรุ่งนภา เปิดเผยว่า “ในปีนี้จะเห็นได้ว่าเปิดศักราชต้นปีมา ยอดขายของเราอยู่ในเกณฑ์ที่ดี และบรรยากาศโดยรวมของตลาดในประเทศก็ดี เราจึงคิดว่าน่าจะทำกิจกรรมอะไรเกี่ยวกับแบรนด์ของเรา โดยเตรียมทุ่มงบโฆษณาประชาสัมพันธ์มากขึ้น เพื่อให้คนทั่วไปที่ยังไม่รู้จักพรีม่าโกลด์ ได้มารู้จักเรามากขึ้น ด้วยการสร้างการรับรู้ให้ลูกค้าเกี่ยวกับสินค้าและกิจกรรมต่างๆ ที่จะมีขึ้นในอนาคต โดยเรามีการเตรียมงบประมาณ 20 กว่าล้านบาท ซึ่งจากแผนงานที่เราได้เตรียมไว้จะทำให้เรามียอดขายตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ด้วยการเติบโต 15% นอกจากเรื่องงบโฆษณาที่เราได้เตรียมเอาไว้เพื่อเป็นการกระตุ้นตลาดแล้ว เรายังมีการติดตามความต้องการของลูกค้าว่าเป็นอย่างไร ติดตามสถานการณ์ทองคำและเครื่องประดับปัจจุบัน เพื่อทำให้เรามีคำตอบสำหรับลูกค้าในแง่ของสินค้าและราคา อีกทั้งมีความสมเหตุสมผลในการตั้งราคาขาย รวมไปถึงการทำกิจกรรมทางการตลาดกับคู่ค้า ของเรา อาทิ ห้างสรรพสินค้า, สถาบันการเงิน ฯลฯ มีการทำ CRM ซึ่งที่ผ่านมาเรามีการจัดกิจกรรมเพื่อสร้างปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง เช่น การตรวจดวงชะตา, กิจกรรมปลูกป่า เป็นต้น โดยกิจกรรมดังกล่าวเป็นกิจกรรมที่ลูกค้าของเราสนใจ ทั้งนี้ลูกค้าสามารถติดตามความเคลื่อนไหวของพรีม่าโกลด์ได้จากทาง newsletter ที่ทางเรามีการจัดส่งให้ลูกค้าอยู่เป็นประจำอย่างต่อเนื่อง และสิ่งที่เราพยายามรักษาเอาไว้ตลอดระยะเวลา คือ ปลูกฝังให้พนักงานทุกคนสร้างความพึงพอสูงสุดในการบริการให้แก่ลูกค้าของเรา”

          ปัจจุบัน บริษัท พรีม่าโกลด์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด มีแบรนด์ทั้งหมด 5 แบรนด์ โดยแบ่งได้ดังนี้ พรีม่าโกลด์ (PRIMA GOLD) เครื่องประดับทองคำ 99.9% จำนวน 42 สาขา, พรีม่าไดมอนด์ (PRIMA DIAMOND) เครื่องประดับเพชรที่มีดีไซน์และความโดดเด่นด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัว จำนวน 22 สาขา, พรีม่าอาร์ท (PIRMA ART) งานหัตถศิลป์ทองคำจำนวน 22 สาขา, เซ็นจูรี่โกลด์ (Century Gold) เครื่องประดับทองคำ 96.5% จำนวน 23 สาขา และ เมอรี (MERII) เครื่องประดับคริสตัลสไตล์แฟชั่น จำนวน 8 สาขา นอกจากนี้ บ.พรีม่าโกลด์ฯ มีแผนเพิ่มช่องทางสร้างยอดขายให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเตรียมเปิดตัว ฆอร์ลอฟ (KORLOFF) แบรนด์ชั้นนำเจาะตลาดเครื่องประดับประมาณปลายเดือน มิ.ย.54 ซึ่งเป็นแบรนด์ดังจากประเทศฝรั่งเศส โดยสินค้าที่นำเข้ามานั้นมีความหลากหลาย อาทิ เครื่องประดับ, นาฬิกา, ปากกา, ที่ติดเนคไท เป็นต้น

          ส่วนทางด้านทิศทางตลาดทองคำในประเทศไทย ผู้บริหารหญิงคนเก่งให้ความเห็นว่า “สำหรับทิศทางราคาทองคำตอนนี้ เป็นสิ่งที่คาดเดาได้ค่อนข้างยากมาก ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ราคาทองคำเกิดแรงเหวี่ยงอย่างไม่หยุดนิ่งนั้น เนื่องจากมีความต้องการทองคำเพิ่มมากขึ้นในตลาดโลกซึ่งเป็นผลจากวิกฤตเศรษฐกิจในทวีปยุโรปและสหรัฐอเมริกา ทำให้นักลงทุนมีการเทขายดอลล่าร์สหรัฐและเงินตราสกุลทางยุโรปแล้วหันมาสะสมทองคำเพื่อการป้องกันความเสี่ยง รวมถึงมีการบริโภคทองคำที่เพิ่มมากขึ้นในภาคอุตสาหกรรมของจีนและอินเดีย จึงส่งผลให้ราคาทองคำมีความผันผวนมากในระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา และปัจจัยล่าสุดที่ทำให้ราคาทองสูงขึ้น คือ ธนาคารกลางในหลายประเทศมีการซื้อทองคำเพิ่มขึ้น เนื่องจากทองคำเป็นสินทรัพย์ที่สร้างเสถียรภาพให้ธนบัตร ดังนั้นจึงทำให้เกิดความต้องการทองคำสูงขึ้นในตลาดโลก ซึ่งตั้งแต่ปี 2552 – 2553 มีการปรับตัวขึ้น 26% และตั้งแต่ต้นปี 2554 จนถึงปัจจุบันเป็นระยะเวลา 4 เดือน ราคาทองคำมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น 15% และแนวโน้มไม่น่าจะสูงกว่านี้แล้ว เพราะถ้าสูงมากการบริโภคจะน้อยลง และราคาทองคำจะต้องตกโดยปริยาย”