happy on May 24, 2011, 02:26:39 PM
R O S E   M E D I A   A N D   E N T E R T A I N M E N T  P R E S E N T S
THE TREE OF LIFE
ท รี   อ อ ฟ   ไ ล ฟ์

กำหนดฉาย 7 – 7 – 2011

« Last Edit: May 26, 2011, 03:41:24 PM by happy »

happy on May 26, 2011, 02:15:08 PM
เบื้องหลังงานสร้าง

R O S E   M E D I A   A N D   E N T E R T A I N M E N T  P R E S E N T S

THE TREE OF LIFE

ท รี   อ อ ฟ   ไ ล ฟ์


               ลังจากสร้างชื่อเสียงมานานกับการสร้างภาพยนตร์มากมายหลายเรื่องที่นำเสนอภาพที่ชวนติดตามของความรุนแรงของมนุษย์ บัดนี้ ผู้กำกับ/ มือเขียนบท เทอร์เรนซ์ มาลิค ได้นำจินตนาการอันโดดเด่นของเขามาสู่ภาพยนตร์เรื่อง The Tree Of Life ผลงานการสร้างของบริษัทริเวอร์ โร้ด ซึ่งนำแสดงโดย แบรด พิตต์, ฌอน เพนน์ และเจสซิก้า แชสเทน ภาพยนตร์เรื่องนี้เปิดตัวฉายในอเมริกาในปี 2010
          ด้วยการวางเรื่องราวให้เกิดขึ้นในเมืองเล็กๆ ในเซ็นทรัล เท็กซัส ในช่วงกลางยุค 1950 เรื่องราวของมาลิค ที่ถูกเรียกว่าเป็น ลำนำแห่งชีวิต เป็นการติดตามความเป็นไปของ แจ็ค เด็กชายอายุ 11 ปี หนึ่งในพี่น้องสามคน ที่ร่วมแสดงอยู่ในภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย ก็คือ ไอรีน บีดาร์ด (The New World) และนักแสดงขาประจำของภาพยนตร์ Harry Potter อย่าง ฟีโอน่า ชอว์
          หลังจากเฟ้นหาตัวนักแสดงในบทสามพี่น้องไปทั่วประเทศ ฮันเตอร์ แม็คแคร็คเก้น (แจ็ค) และลารามี่ เอ๊พเพลอร์ และไท เชอริแดน ในบทสองน้องชายของแจ็คที่ชื่อ อาร์แอล และสตีฟ ถูกพบตัวในเมืองเล็กๆ ในเท็กซัส เด็กทั้งสามจึงได้ประเดิมงานแสดงภาพยนตร์ชิ้นแรกของพวกเขา
ถึงแม้เรื่องนี้จะได้รับการพัฒนาสร้างมาอย่างช้าๆ เป็นเวลายาวนาน มาลิคเริ่มลงมือเขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้หลังจากที่เขาเปิดตัวฉายผลงานภาพยนตร์เอพิคในปี 2005 เรื่อง The New World

          The Tree Of Life อำนวยการสร้างโดย ซาร่าห์ กรีน, บิลล์ โพห์แล็ด, แบรด พิตต์, ดีดี้ การ์ดเนอร์ และแกรนท์ ฮิลล์ ทีมผู้อำนวยการสร้างบริหารร่วมได้แก่ สตีฟ และพอล่า เม ชวาร์ทซ์ โดยมี อิวาน เบสส์, นิโคลาส กอนดา และแซนเดีย ชาร์ดานันด์ ทำหน้าที่เป็นแอสโซซิเอท โปรดิวเซอร์ ผู้อำนวยการสร้างบริหารของภาพยนตร์เรื่องนี้ ได้แก่ โดนัลด์ โรเซนเฟลด์
          ทีมงานหลังกล้องประกอบไปด้วยบรรดาผู้ที่เคยร่วมงานกับมาลิคมาแล้วในอดีต อาทิเช่น ผู้กำกับภาพที่เคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์มาแล้วถึง 4 รางวัล เอ็มมานูเอล ลูเบซกี้ (The New World, Children of Men, A Little Princess และ Sleepy Hollow), ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายซึ่งเคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ แจ็คเกอลีน เวสท์ (The Curious Case of Benjamin Button, Quills), โปรดักชั่นดีไซเนอร์ที่เคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ แจ็ค ฟิสก์ (There Will Be Blood, Days of Heaven), ผู้ลำดับภาพที่เคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์มาแล้ว 2 รางวัล บิลลี่ วีเบอร์ (The Thin Red Line, Top Gun) เสริมด้วยทีมผู้ลำดับภาพ แดเนียล รีเซนดี้ ผู้เคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์จากภาพยนตร์เรื่อง City of God, มาร์ก โยชิกาว่า ซึ่งเคยร่วมงานกับมาลิคครั้งแรกในภาพยนตร์เรื่อง The New World, เจย์ ราบิโนวิทซ์ (I’m Not There, 8 Mile), แฮงก์ คอร์วิน (The New World, Nixon) และซาร์ ไคลน์ (The Bourne Identity, เคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์จากภาพยนตร์เรื่อง The Thin Red Line), อเล็กซานเดร เดสแพล็ท ซึ่งเคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์จากภาพยนตร์เรื่อง The Curious Case of Benjamin Button และ The Queen เป็นผู้ทำหน้าที่แต่งดนตรีประกอบให้
« Last Edit: May 26, 2011, 02:22:51 PM by happy »

happy on May 26, 2011, 02:28:03 PM

งานเริ่มต้น

               บิลล์ โพห์แล็ด ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งและเป็นซีอีโอของบริษัท ริเวอร์ โร้ด เคยพูดคุยกับ เทอร์เรนซ์ มาลิค เมื่อหลายปีก่อนเกี่ยวกับโปรเจ็กต์ภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่พวกเขาวางแผนการจะสร้างออกมา ถึงแม้จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง แต่มาลิคกับโพห์แล็ดยังคงติดต่อกันมาตลอดหลายปี โพห์แล็ดเล่าว่า “เขาส่งบทภาพยนตร์เรื่อง The Tree Of Life มาให้ผม และผมก็จำได้ว่าเขาเคยพูดถึงเรื่องนี้กับผมมาก่อนแล้ว จนถึงตอนนั้น ผมเริ่มคุ้นเคยกับสไตล์การเขียนบทของเทอร์รี่ รวมถึงวิธีการนำเสนอสิ่งต่างๆ ของเขา มันเป็นผลงานการเขียนบทที่น่าทึ่งมาก แต่ไม่ได้เขียนออกมาในแบบที่คนนิยมเขียนกัน โดยหลักๆ แล้ว มันเหมือนกับบทกวี ผมไม่รู้ว่าผมจะเจออะไรเมื่อตอนที่ผมเริ่มอ่านบทภาพยนตร์เรื่องนี้ แต่มันโดนอารมณ์ผมอย่างแรง มันเป็นบทภาพยนตร์ที่ทั้งทรงพลังและน่าทึ่งอย่างมากทั้งในระดับส่วนตัวที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวนี้ กับคุณลักษณะอันยิ่งใหญ่ในแง่มุมอื่นๆ ของตัวภาพยนตร์”       
         “การตัดสินใจส่วนใหญ่ที่ผมได้เลือกไป ก็คือการตัดสินใจในเรื่องของเนื้อหา” โพห์แล็ดกล่าวต่อ “และนี่ก็คือความรู้สึกในทำนองนั้น ผมไม่ต้องคิดมากเลย ถึงแม้จะเห็นกันชัดๆ ว่าผมอยากมีโอกาสได้ร่วมงานกับเทอร์รี่ แต่มันคือความยอดเยี่ยมของบทภาพยนตร์เรื่องนี้ที่ทำให้ริเวอร์โร้ดตัดสินใจเข้ามาร่วมงานด้วย”
         ผู้อำนวยการสร้าง ซาร่าห์ กรีน ซึ่งเคยทำหน้าที่อำนวยการสร้างให้กับภาพยนตร์เรื่อง The New World เคยได้รับการแนะนำให้อ่านบทภาพยนตร์ของมาลิค ขณะอยู่ระหว่างเตรียมงานสร้างภาพยนตร์เรื่อง The New World “เทอร์รี่เอาทรีทเม้นต์ให้ฉันดู” กรีนเล่า “ฉันจำได้ว่าตอนนั้นฉันคิดว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ต้องถูกสร้างออกมาให้ได้ และฉันจะต้องทำทุกอย่างที่ทำได้ให้ถึงที่สุด เราจริงจังมากกับการทำให้มันเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาระหว่างงานโพสต์โปรดักชั่นของภาพยนตร์เรื่อง The New World”
         “เมื่อบทภาพยนตร์เรื่องนี้พร้อมแล้ว ทุกอย่างก็เริ่มเข้ารูปเข้ารอยอย่างรวดเร็ว” กรีนกล่าว “เรารู้จักภาพยนตร์ที่ริเวอร์โร้ดร่วมสร้างมา และบิลล์ก็มีชื่อเสียงที่เยี่ยมยอดมาก ผู้คนชอบที่ได้ร่วมงานกับพวกเขา และแน่นอน ฌอน เพนน์ก็พูดชมเขา มันคือการชุมนุมของความคิดจริงๆ เมื่อเรานัดเจอกันเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องนี้ มันช่างเหมาะเจาะอย่างเป็นธรรมชาติอย่างมาก”

         เช่นเดียวกับ บิลล์ โพห์แล็ด จากริเวอร์โร้ด แบรด พิตต์ และดีดี้ การ์ดเนอร์ จากบริษัทแพลนบี ก็ติดต่อกับมาลิคและกรีนมานานหลายปี เมื่อ ดีดี้ การ์ดเนอร์ ได้อ่านทรีตเม้นต์ของมาลิค ปฏิกิริยาที่เธอมี “คล้ายกับฉันเลย” กรีนเล่า
         “แบรด, เทอร์รี่, ซาร่าห์ และฉันได้พบกันเมื่อสามหรือสี่ก่อน และระหว่างที่เราพูดคุยกัน เรื่องของ The Tree Of Life ก็ถูกหยิบยกขึ้นมา” การ์ดเนอร์เล่า “เทอร์รี่อธิบายถึงเรื่องนี้นิดหน่อย และทั้งแบรดและฉันต่างก็ปิ๊งส์มันทันที เราทุ่มเทพยายามที่จะช่วยเหลือในทุกทางเท่าที่เราจะทำได้”
         “ฉันต้องยอมรับว่า” กรีนกล่าวต่อ “ประการสำคัญเลยมันคือพันธกิจต่อเทอร์รี่ในฐานะผู้กำกับ เขาทำงานด้วยสัญชาตญาณ เขาเป็นคนตรงไปตรงมามาก เขาทุ่มเททำงานอย่างหนักเพื่อยอมรับทั้งความดีและความเลวในตัวผู้คน และให้สำนึกถึงความสัมพันธ์ที่มีความหมายของพวกเขา ซึ่งก็คือเหตุผลที่ว่าทำไมตัวละครของเขาถึงได้ให้ความรู้สึกสมจริงยิ่งนัก ปกติแล้ว การทำเช่นนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ แต่เทอร์รี่ไม่สนใจในเรื่องอื่นเลย”
         “อีกอย่าง การเฝ้ามองเขาด้วยความชื่นชมมานานหลายปี ไอเดียที่ว่าเราจะมีโอกาสได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในภาพยนตร์ของเขามันยากจะต้านทานจริงๆ”



happy on May 26, 2011, 02:35:34 PM

การเลือกตัวนักแสดงของ THE TREE OF LIFE

               เทอร์เรนซ์ มาลิคมีชื่อเสียงในเรื่องของการผสมผสานนักแสดงของเขา ที่มีทั้งนักแสดงที่มีประสบการณ์และนักแสดงหน้าใหม่
         “เมื่อตอนที่โปรเจ็กต์นี้ปรากฏให้เห็น แบรดกระตือรือร้นที่จะเข้ามาสนับสนุนภาพยนตร์เรื่องนี้มาตั้งแต่แรก” โพห์แล็ดบอก “ทุกคนต่างทำงานด้วยกันในโปรเจ็กต์ที่พวกเขามีความเชื่อมั่น และต่างเสนอที่จะเข้ามาช่วยอย่างสุดตัว และสุดท้าย ก็ถึงจุดพลิกผันในเรื่องที่ว่าทำไมไม่ลองเจรจาให้แบรดมาเล่นเป็นพ่อล่ะ ถึงแม้เขาจะให้การสนับสนุนภาพยนตร์เรื่องนี้อย่างมาก แต่เขาก็ไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน แต่ทันทีที่เขากับเทอร์รี่ได้พูดคุยกัน ทุกอย่างก็คลิ๊กลงตัวไปหมด”
         “แต่เริ่มเดิมที เราตั้งใจจะเข้ามามีส่วนร่วมในฐานะผู้อำนวยการสร้าง” การ์ดเนอร์อธิบาย “แต่เมื่อเทอร์รี่ส่งบทภาพยนตร์มาให้เรา สำหรับฉันมันเห็นได้ชัดว่าแบรดมีความเข้าใจในตัวผู้ชายคนนี้ดีมาก เขาอ่านบท และเขาไม่เปลี่ยนใจเลย”
         “ผมคิดว่าการที่เราทั้งคู่ต่างเพิ่งได้เป็นพ่อ มันเลยให้ความรู้สึกที่แรงมาก ผมว่าพวกเราทั้งคู่ต่างอินไปกับไอเดียของบทนี้ที่ยึดตัวเองเป็นใหญ่ในเรื่องของการเป็นพ่อและครอบครัว”

         ตามที่กรีนได้เล่าเอาไว้ “เทอร์รี่มักนึกถึงภาพของ ฌอน เพนน์ ในบทลูกชายที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว และเมื่อเขาโทรศัพท์ไปหาฌอน ฌอนตกลงใจอย่างรวดเร็ว เขาเป็นนักแสดงที่โดดเด่นเหนือใคร เขาสามารถแสดงออกได้อย่างแนบเนียน เทอร์รี่ต้องการคนที่มีความลึกและมีความเข้าใจแบบเพนน์เพื่อพาคุณเดินทางไปในการเดินทางครั้งนี้”
เรื่องบังเอิญก็คือ เพนน์ได้อ่านบทภาพยนตร์เรื่องนี้ในเวลาเดียวกับที่ บิลล์ โพห์แล็ด ที่ทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ของเพนน์ เรื่อง Into the Wild ได้รับบทภาพยนตร์เรื่องนี้เช่นกัน เพนน์เดินทางมาถึงเท็กซัสหลังเสร็จจากการแสดงภาพยนตร์ดราม่าแนวชีวประวัติเรื่อง Milk ซึ่งเขารับบทเป็น ฮาร์วี่ย์ มิลก์ ชายชาวซานฟรานซิสโกที่เป็นบุคคลสำคัญในการเรียกร้องสิทธิ์ให้กับเกย์

        บทสำคัญบทที่ 3 ในภาพยนตร์เรื่องนี้อย่างบท มิสซิสโอเบรียน ตกเป็นของ เจสซิก้า แชสเทน แคสติ้ง ไดเร็คเตอร์ ฟรานซีน ไมสเลอร์ ซึ่งเคยร่วมงานกับมาลิคมานานแล้ว พูดถึงผู้กำกับมาลิคว่า “เทอร์รี่มองหาคนที่สามารถมอบชีวิตให้กับตัวละครตัวนี้ทั้งเมื่ออยู่นิ่งๆ ไม่พูดจา กับเมื่อมีบทพูด ครั้งแรกที่เจสซิก้าเดินผ่านประตูห้องฉันเข้ามา เธอนั่งลงตรงทางเดิน และโดยที่เธอไม่ได้พูดอะไรสักคำ ฉันรู้เลยว่าเธอคือคนที่ใช่ เรื่องแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกันบ่อยๆ หรอกนะ”
         “สำหรับบทแม่” กรีนเล่าต่อ “เราหวังเสมอว่าเราจะเจอคนที่คนดูยังไม่ค่อยได้เห็นหน้าค่าตามากนัก เราสนใจเจสซิก้าในทันที เธอมีหัวใจของความเป็น ‘แม่’ ที่พวกเด็กๆ สามารถรู้สึกได้ และในดวงตาของเธอนั้นบ่งบอกถึงเรื่องราวมากมาย จากนั้นเราพบว่าเธอสามารถเปลี่ยนอารมณ์ได้ในทันที และเธอมีความสามารถในการใช้สัญชาตญาณ เธอยังดูน่าหลงใหลมากเมื่ออยู่บนจอ”
         “เจสซิก้าดูน่าตื่นตะลึงมาก” การ์ดเนอร์บอก “เธอดูเป็นคนยุคไหนก็ได้ ซึ่งฉันคิดว่าเป็นสิ่งสำคัญ เพราะขณะที่ภาพยนตร์เรื่องนี้วางเหตุการณ์เอาไว้ให้เกิดขึ้นในเวลาจำเพาะ ประเด็นก็คือ มันอาจเกิดขึ้น ณ จุดใดก็ได้ หรือที่ไหนก็ได้ทั้งนั้น จะเป็นยุคไหนหรือทศวรรษไหนก็ได้ ฉันยังคิดอีกว่าสำหรับตัวละครของเธอเพื่อจะแสดงสิ่งที่เทอร์รี่ได้เขียนเอาไว้ เธอต้องสามารถรักษาความบริสุทธิ์และความดีของเธอเองเอาไว้ เธอสามารถแสดงลักษณะเช่นนั้นออกมาได้อย่างโดดเด่นจริงๆ”
         สิ่งที่กลับกลายเป็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับมาลิค ก็คือ การคัดเลือกเด็กสามคนที่สามารถหยัดยืนแสดงเคียงข้างเหล่านักแสดงผู้ใหญ่ที่มีประสบการณ์เหล่านี้ เป็นการตัดสินใจกันตั้งแต่แรกเริ่มว่าทีมผู้สร้างจะเลือกตัวนักแสดงของภาพยนตร์เรื่อง The Tree Of Life ในเท็กซัส ทั้งนี้ก็เพื่อความสมจริง ซึ่งช่วยให้มาลิคมีเวลาในการออดิชั่นนักแสดงเพิ่มมากขึ้น พวกเขาจะต้องเป็นคนมีคุณลักษณะสำคัญที่มาลิคมองหาอยู่ และเมื่อเขาไม่สามารถหานักแสดงอย่างที่ใจต้องการด้วยการใช้บริการเอเจนซี่ปกติได้ มาลิคจึงเริ่มส่งทีมลาดตระเวนของเขาออกไปค้นหาเอง ทีมดังกล่าวประกอบไปด้วยแอสโซซิเอท โปรดิวเซอร์ นิโคลาส กอนดา และเอเจ เอ๊ดเวิร์ดส์ ผู้ช่วยของมาลิค ซึ่งตลอดระยะเวลาสองปี พวกเขาต้องพิจารณาเด็กมากถึง 10,000 คน
          “นิคกับเอเจได้พิสูจน์ตัวแล้วว่าพวกเขาเก่งมากในเรื่องนี้ และมีสายตาเฉียบคมในการเลือกใบหน้าและคนในแบบที่เทอร์รี่ต้องการ” กรีนกล่าว “เด็กทั้งสามคนที่ได้รับเลือกมา มีบุคลิกที่แข็งแกร่ง แต่ยังมีมารยาทงามในแบบดั้งเดิม แต่ละคนต่างมีความโดดเด่นและมีความน่าสนใจในแบบฉบับของตัวเอง และเด็กทั้งสามก็ไม่กลัวกล้องด้วย”



          นอกจากบทสามพี่น้องแล้ว กอนดา, เอ๊ดเวิร์ดส์ และออสติน รวมไปถึงวิคกี้ บูน แคสติ้งไดเร็คเตอร์ของภาพยนตร์เรื่องนี้ยังต้องมีหน้าที่รับผิดชอบหานักแสดงในบทอื่นๆ ด้วย พวกเขาตระเวนไปทั่วเซ็นทรัลเซ็กซัส และคอยเรียกคนที่มีหน้าตาในแบบที่พวกเขาคิดว่าเหมาะกับยุคสมัยนั้น และเหมาะกับตัวละครที่พวกเขามีในเรื่อง การค้นหานี้นำพวกเขาไปเยี่ยมเยือนเทศกาลท้องถิ่นต่างๆ, คืนที่มีการจัดเกมส์บิงโก, การชุมนุมของชาวเมืองตามศาลากลาง เรียกว่าพวกเขาต้องไปทุกที่ที่พวกเขาคิดว่าอาจเจอคนที่พวกเขาจะดึงมาแสดงในเรื่องนี้ได้ กรีนเล่าว่า  “คนทุกคนที่เราเลือกให้มาแสดงเป็นตัวละครเหล่านี้คือคนที่มีประสบการณ์ที่สามารถแสดงออกมาได้ มีความเป็นจริงของพวกเขาเอง” นี่อาจเป็นภาพยนตร์ระดับเมเจอร์เรื่องแรกที่ 90-95 เปอร์เซนต์ของทีมนักแสดงไม่ได้เป็นนักแสดงอาชีพ
         สำหรับ บิลล์ โพห์แล็ด ซึ่งโดยส่วนตัวก็เป็นผู้กำกับภาพยนตร์ด้วยเช่นกัน “คุณคิดว่าคุณเผชิญหน้ากับความท้าทายแบบนั้นได้อย่างไร” โพห์แล็ดเล่า “เป็นความท้าทายในระดับที่คุณอยากจะสามารถย้อนกลับไปสู่ความจริงที่ว่าคุณได้เลือกนักแสดงอาชีพมาแสดง คุณจะรู้เลยว่าคุณจะได้อะไรบ้าง แต่สัญชาตญาณของเทอร์รี่เกี่ยวกับเรื่องต่างๆ นั้นเชื่อถือได้แน่นอน และมันส่งผลอย่างงามเลิศกับทุกๆ คน เขาสามารถจัดการด้วยสไตล์และวิธีการของเขา เพื่อเข้าถึงคนที่ไม่ใช่นักแสดงที่ผ่านการฝึกฝนมาแล้ว และเป็นคนที่ไม่คุ้นเคยกับกระบวนการทำงานในกองถ่าย ให้พวกเขาเกิดความรู้สึกสบายใจและให้ในสิ่งที่เทอร์รี่คิดว่าเหมาะกับบทนั้นๆ”
กอนดายกความดีความชอบให้กับเท็กซัส ฟิล์ม คอมมิสชั่น ซึ่งเขาบอกว่าเขาทำงานด้วยอย่างใกล้ชิดในระหว่างขั้นตอนการทำงาน “ขณะที่ชื่อเสียงเรียงนามและโปรเจ็กต์นี้ถูกเก็บไว้เป็นความลับ ทางฟิล์ม คอมมิสชั่นสามารถติดต่อสื่อสารกับทางรัฐในฐานะตัวแทนฝ่ายเรา และอธิบายได้ว่าเราคือคนที่ไว้ใจได้ และว่าความตั้งใจของเรานั้นเป็นไปอย่างจริงใจ”
         “มันคือช่วงเวลาหนึ่งปีครึ่งที่สุดยอดมาก เอเจกับผมเดินทางไปทั่วและไปเยือนผู้อำนวยการโรงเรียนหลายร้อยแห่ง เราต้องทำงานภายใต้กฎหมายที่เข้มงวดของรัฐในเรื่องของการเก็บข้อมูลเป็นความลับ ในครั้งแรกที่เราเดินทางไปถึงนั้น เราไม่ได้คุยกับใครเลยนอกจากตัวแทนของทางโรงเรียน”
         “เราไปตามโรงเรียนต่างๆ และเลือกนักเรียนที่ดูแล้วน่าจะเหมาะจากการเห็นภายนอก เป็นคนที่ดูมีหน้าตาและภาพลักษณ์ที่เข้าท่า จากนั้น เราจะเชิญพวกเขาให้มาออดิชั่นกับเรา เราได้พบเด็กๆ และครอบครัวของพวกเขา เราให้รายละเอียดกับพวกเขาว่าประสบการณ์ครั้งนี้จะเป็นอย่างไร และจะต้องทุ่มเทขนาดไหน นั่นคือโอกาสครั้งแรกของพวกเราที่ได้พบกับพวกเด็กนักเรียน และได้สัมผัสกับบุคลิกของพวกเขา โดยที่เรายังไม่ได้คิดในเรื่องที่ว่าพวกเขาจะทนต่อความเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานในกองถ่ายภาพยนตร์ได้หรือไม่ แต่ขั้นตอนนี้ก็ทำให้เราเหลือเด็กชายที่น่าจะทำงานได้ประมาณ 500 คน ซึ่งพวกเราต้องหาการผสมผสานที่ลงตัวต่อไป”

         เด็กชายคนใดที่กอนดาและเอ๊ดเวิร์ดส์รู้สึกว่ามีคุณสมบัติเหมาะสมในสายตาพวกเขาจะได้รับการบันทึกเทปไว้ กอนดาและเอ๊ดเวิร์ดส์ให้เด็กๆ คิดบทบาทการแสดงขึ้นมาเอง โดยให้บทพูดกับพวกเขาและดูว่าใครสามารถทำอะไรได้บ้าง จากนั้นพวกเขาก็จะบันทึกสิ่งที่เห็นในตัวเด็กๆ เหล่านั้นเอาไว้ กรีนเล่าว่า “ขั้นตอนนี้ทำได้ด้วยวิธีนี้เท่านั้น โดยเรามีเวลาเยอะและทุ่มเทให้อย่างมากมาย”

         การทำงานเช่นนี้ประสบความสำเร็จ เพราะเมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการนั้น ทำให้มีผู้มีสิทธิ์ในบทบาทนี้อยู่หลายคนด้วยกัน ซึ่งทั้งหมดเป็นเด็กชาวเท็กซัส และพวกเขาก็ภูมิใจกับมันด้วย “เด็กเหล่านี้ไม่ใช่เด็กที่ฝันอยากเป็นนักแสดงหรอกนะ” กรีนเล่า “พวกเขาเป็นแค่เด็กธรรมดาที่ได้ข่าวเกี่ยวกับการทำงานที่ฟังดูน่าสนุก และก็เข้ามาทดลองดู พวกเขาไว้ใจในตัวเทอร์รี่ให้เป็นคนชี้นำพวกเขาผ่านบทบาทเหล่านี้ เป็นโชคดีสำหรับพวกเรา ครอบครัวของเด็กๆ เหล่านี้ยินดีที่จะให้เด็กๆ มาทดสอบและร่วมงานไปกับพวกเราในขั้นตอนเหล่านี้”
         “ฉันตื่นเต้นมากที่เด็กชายทั้งสามคนเป็นคนในพื้นที่ และไม่ใช่นักแสดงอาชีพ” การ์ดเนอร์ให้ความเห็นไว้ “ฉันไม่รู้หรอกว่าคุณจะสามารถหาตัวเด็กๆ ในเมืองมาเล่นบทพวกนี้ได้หรือไม่ และฉันก็เชื่อในความสัมพันธ์ที่พวกเขามีต่อสถานที่กลางแจ้งพวกนั้น ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของการเติบโตของตัวละครเหล่านี้ พวกเขาปีนป่ายต้นไม้ แอบซุ่มอยู่หลังพุ่มไม้ และถีบจักรยานไปกลางถนน พวกเขาเล่นกับเครื่องฉีดน้ำ และเล่นซ่อนหากัน พวกเขาใช้ชีวิตอยู่นอกบ้าน นอกบ้านคือสถานที่ลี้ภัยของพวกเขา”
ฮันเตอร์ แม็คแคร็คเก้น เด็กชายวัย 12 ปี คือผู้รับบทสำคัญเป็นแจ็ค พี่ชายคนโต กอนดากล่าวว่า “เราได้พบเขาก่อนหน้าที่เราจะเลือกเขานานหนึ่งปี และตลอดทั้งปีนั้น ฮันเตอร์ได้เติบโตกลายเป็นแจ็ค เขาเริ่มมีลักษณะหลายอย่างที่เราไม่เคยคิดถึงมาก่อน เราได้เจอเขาทุกๆ สี่เดือน และเราก็ให้บทพูดกับเขา และทดสอบเขาในหลายรูปแบบ ให้เขาแสดงสดๆ เราเริ่มมองเห็นถึงความจริงใจและด้านที่น่าเห็นใจในตัวเขา ซึ่งแสดงให้เห็นถึงอารมณ์ภายในและความคิดที่เราไม่เคยเห็นในการออดิชั่นครั้งก่อนๆ เมื่อเราเริ่มทำงานกับเขา เรารู้เลยว่าเด็กชายคนนี้เป็นเด็กที่พิเศษมากจริงๆ”

         กรีนยืนยัน “พวกเราไม่มีใครสามารถละสายตาจากฮันเตอร์ได้เลย เขามีหน้าตาท่าทางที่ดูเก้งก้าง และมีลักษณะที่ดูเจ้าอารมณ์ เป็นลักษณะที่เราพบว่าน่าสนใจมาก เขาฉลาดเฉลียวและรู้จักคิดสร้างสรรค์ แม้แต่เจสซิก้ายังพูดเลยว่าเขาทำให้เธอแสดงได้ไหลลื่นเมื่อเธอต้องแสดงแบบด้นมุกสดกับเขา เขามีความน่ารักในแบบที่ทำให้คุณต้องตกหลุมรัก จากนั้นเมื่อเขาเริ่มมีปัญหาชีวิต และเริ่มเสียความบริสุทธิ์เช่นนั้นไป มันทำให้หัวใจของคุณแทบแหลกสลาย”
         “ลารามี่คือปาฏิหาริย์แท้ๆ” กอนดากำลังพูดถึง ลารามี่ เอ๊พเพลอร์ ซึ่งรับบทเป็นอาร์แอล ลูกชายคนกลาง “เรากำลังค้นหานักแสดงกันในช่วงอาทิตย์ท้ายๆ แล้ว และเราต้องหาการผสมผสานที่ลงตัวให้ได้ ในเวลานั้น เรากำลังพิจารณาหาเด็กที่จะมาเล่นเป็นแจ็ค และเราพยายามหาส่วนผสมที่ลงตัวของเด็กชายสามคนที่จะกลายเป็นครอบครัวนี้ขึ้นมา เราไม่เคยเจอลารามี่มาก่อนเลย แต่เขาบังเอิญมากับเพื่อนคนหนึ่งที่ได้รับการเรียกตัวมาออดิชั่น เขามีลักษณะที่ดูน่ารักในแบบที่เรากำลังต้องการอยู่เลย เราไม่ได้เป็นคนเจอลารามี่หรอกนะ เขาต่างหากที่เจอพวกเรา”

         ไท เชอริแดน วัย 11 ปี คือเด็กชายคนแรกที่ทางทีมผู้สร้างรู้ดีเลยว่าจะได้แสดงภาพยนตร์เรื่องนี้ กอนดาเล่าว่า “ตอนที่เราอยู่ในช่วงแรกๆ ของการเฟ้นหาตัวนักแสดงเด็กอยู่นั้น มีเด็กชายคนหนึ่งโดดเด้งออกมาเลย เรารู้ดีเลยว่าเด็กคนนี้คือเด็กที่หาได้ยาก เขามีลักษณะแบบชาวอเมริกันสมัยก่อน ทำให้เขาเหมาะกับเรื่องนี้อย่างเป็นธรรมชาติที่สุด ตอนนั้นเรายังไม่แน่ใจว่าเขาควรจะรับบทเป็นเด็กคนไหน แต่เรารู้ดีว่าเราต้องการให้เขามาแสดงภาพยนตร์เรื่องนี้แน่นอน” ในที่สุด ไทก็ได้รับเลือกให้มารับบทเป็นสตีวี่ น้องชายคนสุดท้อง
         “เด็กแต่ละคนในจำนวนสามคนนี้มีความเรียบง่าย มีลักษณะที่ดูย้อนยุค จินตนาการของพวกเขาเริ่มปะทุขึ้นในหลายครั้ง และเราพบในระหว่างขั้นตอนการออดิชั่นว่าพวกเขากำลังสร้างความคิดต่างๆ ให้กับเรื่องนี้ในแบบที่พวกเราเองไม่เคยคิดมาก่อน เรารู้สึกว่ามันเกิดมาจากความเรียบง่ายในการใช้ชีวิตของพวกเขาที่บ้าน พวกเขาได้รับการสนับสนุนให้อ่านหนังสือมากกว่าจะนั่งดูทีวี ทำให้พวกเขาเป็นเด็กที่รู้จักคิดเพราะพวกเขาใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ”
          “สิ่งที่พวกเราค้นพบระหว่างการเดินทางของพวกเราก็คือ ดูเหมือนอินเตอร์เน็ตและวิดีโอเกมส์จะทำให้ช่วงเวลาที่เด็กๆ ควรจะได้ใช้ความคิดหายไป เราพบเมื่อเราออกค้นหาตามเมืองต่างๆ ว่า รูปแบบของวัฒนธรรมที่คนนิยมกันนั้น ทำให้เรื่องของความคิดกลายเป็นเรื่องรองลงไป และจินตนาการถูกหยิบยื่นให้กับพวกเด็กๆ ในรูปแบบของวิดีโอเกมส์แทน”

          “วิธีหนึ่งที่เราสามารถบอกได้ว่าเด็กคนนั้นเป็นตัวเลือกที่ดีหรือไม่ ก็คือเรามีที่เย็บกระดาษที่มีปุ่มสีแดงวางอยู่บนโต๊ะ เราวางมันทิ้งเอาไว้ตรงนั้น และคุณสามารถบอกได้เลยว่าเด็กคนไหนเป็นพวกติดวิดีโอเกมส์ เพราะเมื่อพวกเขาเดินเข้ามาในห้อง และเห็นปุ่มสีแดงนั่น พวกเขาจะเกิดอาการอยากกดมันภายใน 30 วินาทีแรกเลย”
          บางที สิ่งที่แปลกประหลาดที่สุดในกระบวนการคัดเลือกตัวนักแสดง และในการถ่ายทำกับเด็กๆ เหล่านี้ ก็คือ เด็กๆ และครอบครัวของพวกเขาไม่ได้อ่านบทภาพยนตร์ พวกเขาไม่รู้ด้วยว่าเรื่อง The Tree of Life เป็นเรื่องอะไร ทุกอย่างที่พวกเขารู้ก็คือ เด็กสามคนนี้จะได้เล่นเป็นพี่น้องกัน นี่คือการตัดสินใจที่พิเศษมาก เพราะทางทีมผู้สร้างไม่อยากให้พวกเขารู้สึกว่าพวกเขาต้องสรุปลักษณะของตัวละครออกมาให้ได้ภายในหนึ่งหน้ากระดาษ ซึ่งปกติแล้วจะเป็นมาตรฐานในโลกการแสดงสำหรับพวกเด็กๆ “สำหรับบทเด็กทั้งสามคนนี้ ดูเหมือนจะเป็นเพราะการเผชิญหน้าอย่างเป็นธรรมชาติต่างหากที่เป็นการค้นหาเด็กเหล่านี้ที่มีคุณลักษณะที่ดูเป็นธรรมชาติ จากนั้นก็ขอให้พวกเขาแสดงเป็นคนอื่น” กอนดาอธิบาย
         เจสซิก้า แชสเทน ได้เดินทางมาเท็กซัสเพื่อปรึกษาพูดคุยกับมาลิค ขณะที่กระบวนการคัดเลือกตัวนักแสดงยังคงดำเนินอยู่ ทำให้เธอได้พูดคุยกับเด็กแต่ละคน บางครั้งก็เป็นการพูดคุยกับแบบตัวต่อตัวทีละคน บางครั้งก็เป็นการพูดคุยพร้อมกันทั้งหมด มาลิคจะทำงานกับพวกเด็กๆ จากนั้นแชสเทนก็มาถึง และความสัมพันธ์ภายในครอบครัวดูเหมือนจะเติบโตขึ้น การทำงานระหว่างแชสเทนกับเด็กๆ ยังช่วยดึงเอาความสามารถของพวกเขาออกมาด้วย

         กอนดาเล่าว่า “ผมว่าเธอได้รับแรงบันดาลใจจากพวกเด็กๆ เพราะเธอได้เห็นรูปแบบที่เป็นจริงที่สุดของนักแสดง พวกเขาแสดงสัญชาตญาณออกมา และแสดงประสบการณ์ของพวกเขาออกมา ถ้าไม่ใช่เพราะเจสซิก้า มันคงเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขาที่จะรู้ว่ามันโอเคไหมที่จะนิ่งเงียบ โอเคไหมที่จะคิด โอเคไหมที่จะเดินหน้าไปในเรื่องต่างๆ เธอเป็นตัวกำหนดตัวอย่างที่ทำให้เด็กๆ ยังคงเป็นตัวเอง และไม่เกิดความรู้สึกว่าพวกเขาต้องทำตัวเป็นนักแสดงที่มีเทคนิคหรือเป็นนักแสดงมืออาชีพ”
         “หนึ่งในหลายๆ เรื่องที่เราดีใจที่ได้เห็น” กรีนบอก “ก็คือ พวกเขาทุกคนเข้ากับครอบครัวนี้ได้ดีแค่ไหน พวกเขารวมกันเป็นหนึ่งเดียวอย่างเป็นธรรมชาติ และเป็นเรื่องบังเอิญมากที่ลารามี่หน้าตาละม้ายคล้ายแบรดมากด้วย”
         ตลอดการถ่ายทำ เด็กๆ ทั้งสามเกิดความผูกพันกัน และยิ่งสนิทสนมกันมากขึ้นเรื่อยๆ บางทีอาจเป็นเพราะความจริงที่ว่าไม่มีใครสามารถเข้าใจสถานะที่พวกเขาเจอได้ บางครั้งมันยากที่จะมองเห็นว่าความเป็นจริงเริ่มต้นขึ้นที่ไหน และการแสดงเริ่มหายไปตรงไหน
         สำหรับทีมผู้ช่วยผู้กำกับนั้น มันคือการเล่นสนุกตลอดทั้งวัน เมื่อผู้กำกับสั่ง “คัท” เด็กๆ ทั้งสามจะวิ่งออกไปเล่นกันหรือถีบจักรยาน หรือปีนป่ายต้นไม้ หรือหาโต๊ะเล่น มันเหมือนการจับปูใส่กระด้งก็ว่าได้


happy on May 26, 2011, 02:39:15 PM

เมืองนี้ชื่อว่าสมิธวิลล์

               เรื่องราวของมาลิคเกิดขึ้นในเมืองเล็กๆ ในเซ็นทรัล เท็กซัส ขณะที่ภาพยนตร์เรื่องนี้อยู่ในช่วงดำเนินงานสร้างระยะแรก ผู้กำกับมาลิคและทีมเตรียมงานล่วงหน้าของเขาจะขับรถออกไปตระเวนหาเมืองเล็กๆ ที่ให้ความรู้สึกในแบบที่บทภาพยนตร์ต้องการ เขาอยากได้เมืองที่มีภาพลักษณ์แบบกลางยุค 50 และเขาก็พบลักษณะเช่นนั้นในสมิธวิลล์, เท็กซัส
         สำหรับบิลล์ โพห์แล็ด ซึ่งผลงานเรื่องก่อนของเขา Into the Wild ต้องไปถ่ายทำกันตามโลเกชั่นกว่า 36 แห่ง เรื่อยไปตั้งแต่อลาสก้า จนถึงเม็กซิโก จนถึงอีกหลายเมืองในเวสเทิร์นสเตท ไอเดียที่ต้องมาถ่ายทำภาพยนตร์กันในเมืองเล็กๆ เมืองหนึ่งคือฝันที่กลายเป็นจริงเลยทีเดียว และ “สุดท้าย มันกลายเป็นประสบการณ์ที่ดีมาก”

         สมิธวิลล์ที่ลงหลักปักฐานในช่วงกลางศตวรรษที่ 1800 ตั้งอยู่ในย่านที่ห่างจากเมืองออสตินเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง และได้รับการขนานนามว่าเป็น “ความลับที่ถูกเก็บเอาไว้อย่างดีที่สุดในเท็กซัส” เมืองแห่งนี้ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโคโลราโด สมิธวิลล์จึงเป็นสถานที่ที่สมบูรณ์แบบที่สุดที่มาพร้อมถนนที่มีต้นไม้เรียงสองข้างทาง มีพื้นที่กว้างระหว่างบ้าน มีสนามทั้งด้านหน้าและด้านหลังของบ้าน และยังมีตรอกซอกซอยด้านหลัง ให้เด็กๆ ในเมืองสามารถออกมาถีบจักรยานเล่นได้ สถาปัตยกรรมก็มีความหลากหลายตั้งแต่สไตล์ควีนแอนน์ จนถึงนีโอคลาสสิก, คราฟท์สแมน และวิคตอเรี่ยน สมิธวิลล์ยังคงเป็นชุมชนที่ชาวเมืองรู้จักกัน และเด็กๆ สามารถถีบจักรยานได้อย่างเป็นอิสระ หรือสามารถออกมาปั่นรถจักรยานสามล้อ เล่นสเก็ตบอร์ดจนกว่าพ่อแม่จะเรียกให้กลับเข้าบ้านเพื่อไปกินอาหารเย็น
         สิบปีก่อนหน้านี้ แซนดร้า บูลล็อคเคยนำกองถ่ายภาพยนตร์เรื่อง Hope Floats มาเยือนเมืองสมิธวิลล์ ประสบการณ์ครั้งนั้นทำให้ชาวเมืองรู้สึกดีจนทำให้พวกเขายินดีต้อนรับกองถ่ายของภาพยนตร์เรื่อง The Tree Of Life อย่างไรก็ดี การจะเข้าไปถ่ายทำในเมืองจำต้องได้รับอนุญาตจากสภาเมืองสมิธวิลล์ โดยชาวเมืองทุกคนมีสิทธิ์ในการออกเสียง ซึ่งผลการออกเสียงก็คือคำอนุญาตให้กองถ่ายเข้าไปถ่ายทำในเมืองของพวกเขาได้
         นอกจากบ้านที่ถือเป็น “ฮีโร่” ในภาพยนตร์เรื่องนี้แล้ว ทีมงานยังเช่าบ้านอีกสิบหลังเพื่อใช้ในการทำงานของแผนกต่างๆ แทนที่จะนำเอารถเทรลเลอร์เข้าไปตั้งอยู่ตามถนน ทีมนักแสดงจะมีบ้านที่พวกเขาสามารถเข้าไปใช้งานได้ตลอดทั้งวัน ขณะที่แผนกผมและแต่งหน้า และแผนกเสื้อผ้าจะทำงานอยู่ในบ้านอีกหลังหนึ่ง แผนกของผู้ช่วยผู้กำกับจะตั้งอยู่ในบ้านอีกหลังหนึ่ง และพวกเขายังมีโรงเก็บอุปกรณ์ต่างๆ แยกจากกันอีกด้วย แม้แต่มูลนิธิประวัติศาสตร์เมืองสมิธวิลล์ก็ยังยอมที่จะย้ายข้าวของเข้าไปตั้งอยู่ในสำนักงานของกองถ่าย ขณะที่ทีมงานที่อยู่นอกเมืองส่วนใหญ่จะพักอยู่ตามบ้านพักส่วนตัวและโรงแรมที่ให้บริการที่พักและอาหารเช้า
          ในระหว่างการถ่ายทำ ตำรวจท้องที่จะเข้ามาช่วยปิดกั้นทางเข้าออกของถนนหลายสายที่อยู่รอบๆ ฉากสำคัญ โดยได้รับความยินยอมของชาวเมือง ดังนั้นจึงเหลือเพียงรถจากยุค 1950 เท่านั้นที่จะเห็นจอดอยู่ตามโรงจอดรถ หรือริมสองข้างถนน ที่เข้ามาช่วยควบคุมผู้คนก็คือคนที่อาศัยอยู่ในสมิธวิลล์ ที่ไม่เพียงแต่ปฏิเสธที่จะให้ข้อมูลกับคนแปลกหน้าว่าดาราของภาพยนตร์เรื่องนี้พักอยู่ที่ไหน แต่พวกเขายังปฏิเสธที่จะรับเงินเพื่อให้พวกเขาถ่ายรูปกองถ่ายภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย แม้แต่หนังสือพิมพ์ท้องถิ่น สมิธวิลล์ไทมส์ ก็ยังมีส่วนร่วม ด้วยการเรียกร้องให้ชาวเมืองให้ความเคารพต่อความต้องการการเป็นส่วนตัวของกองถ่ายในระหว่างการถ่ายทำ

happy on May 26, 2011, 02:43:45 PM

โลเกชั่นอื่นๆ ในเท็กซัส

                ถึงแม้การถ่ายทำส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในสมิธวิลล์ แต่มีอยู่หลายครั้งที่ทางทีมงานต้องออกไปผจญภัยนอกเมือง สำหรับฉากสำคัญในภาพยนตร์เรื่องนี้ ทั้งทีมงานและนักแสดงต้องย้ายกองออกจากสมิธวิลล์เป็นเวลานานสามวัน โดยมุ่งหน้าลงใต้ไปทางชายหาด ที่ซึ่งแม่น้ำโคโลราโดจรดกับอ่าวเม็กซิโก
          อุทยานแห่งชาติมาทากอร์ดา เบย์ คืออุทยานแห่งชาติที่มีพื้นที่ 1600 เอเคอร์ที่อยู่ภายใต้การดูแลปกป้องของหน่วยงานโลเวอร์ โคโลราโด ริเวอร์ ออธอริตี้ อุทยานแห่งนี้ได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดี และได้รับการพัฒนาไปภายใต้การอนุรักษ์ นอกจากจะมีส่วนพื้นที่ตั้งแค้มป์ หอดูนก และศูนย์วิทยาศาสตร์แล้ว อุทยานแห่งชาตินี้ยังมีชายหาดที่เข้าถึงได้ด้วยการเดินเท้าที่มีความยาวครึ่งไมล์ กับชายหาดที่พาหนะสามารถเข้าถึงได้ที่มีความยาว 22 ไมล์ ซึ่งเป็นสถานที่ถ่ายทำของภาพยนตร์เรื่อง The Tree Of Life
         ชาวเท็กซัสคงจะจดจำเมืองหลวงประจำรัฐของพวกเขาได้ดี ขณะที่คนดูที่ติดตามข่าวสารก็น่าจะจดจำวุฒิสมาชิก 6 คนที่ได้รับเชิญให้ร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย ชาวเมืองออสตินเองก็คงจะจดจำสระน้ำ บาร์ตัน สปริงส์ ที่ตั้งอยู่ในสวนซิลเกอร์ เมโทรโพลิแทน ปาร์กได้ สวนแห่งนี้สังกัดอยู่ในหน่วยงานอนุรักษ์ National Register of Historic Preservation ในปี 1997 และประกอบไปด้วยพื้นที่มากกว่า 350 เอเคอร์ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง บาร์ตัน สปริงส์มีน้ำพุธรรมชาติอยู่ถึงสี่แห่ง โดยน้ำพุที่มีขนาดใหญ่สุดอย่าง เมนบาร์ตัน สปริงส์ ก็คือแหล่งต้นน้ำของสระน้ำ ซึ่งเป็นจุดท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในช่วงฤดูร้อนของออสติน

         หลายต่อหลายฉากถ่ายทำกันตามย่านชานเมืองของออสติน รวมไปถึงในโบสถ์เซนต์มาร์ตินส์ในย่านดาวน์ทาวน์ของออสติน และในโบสถ์นิวสวีเดน ลูเธอแรน ที่ตั้งอยู่กลางทุ่งปลูกฝ้ายในแมนเนอร์ รัฐเท็กซัส ในด้านตะวันออกสุดของเมือง ทางกองถ่ายได้ไปถ่ายทำกันในลา แกรนจ์ ในฟาเย็ทท์ เคาน์ตี้ คอร์ทเฮ้าส์ ที่ได้รับการออกแบบโดยสถาปนิคที่มีชื่อเสียงโด่งดังอย่าง เจมส์ อาร์ กอร์ดอน และก่อสร้างขึ้นในปี 1891
         หลังจากถ่ายทำหลายฉากกันที่ไร่ไรเมอร์ ซึ่งเป็นไร่เอกชนที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเพเดอร์เนลส์ ทางกองถ่ายย้ายไปถ่ายทำที่ฮูสตันเป็นเวลา 6 วัน ฉากช่วงท้ายๆ ถ่ายทำกันในยูทาห์ ที่กอบลิน วัลเล่ย์ และที่บอนเนวิลล์ ซอลท์ แฟล็ทส์ รวมไปถึงที่โมโนเลก, โยเซไมท์ และเด็ธ วัลเล่ย์ ในแคลิฟอร์เนีย

happy on May 26, 2011, 02:55:54 PM

ประวัติทีมผู้สร้าง

เทอร์เรนซ์ มาลิค (TERRENCE MALICK) – มือเขียนบท/ ผู้กำกับ

              เทอร์เรนซ์ มาลิคเกิดในอิลลินอยส์ เขาเติบโตในเท็กซัสและโอกลาโฮม่า และสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดในปี1966 ต่อมา เขาได้ทำงานที่ “Life” และ “The New Yorker” และยังเคยสอนวิชาปรัชญาที่เอ็มไอที ก่อนจะมาทำงานให้กับสภาบันภาพยนตร์อเมริกันในลอสแอนเจลิส เขาคือผู้กำกับของภาพยนตร์เรื่อง Badlands, Days of Heaven, The Thin Red Line, The New World และภาพยนตร์เรื่องใหม่ The Tree of Life

ซาร่าห์ กรีน (SARAH GREEN) - ผู้อำนวยการสร้าง

              ซาร่าห์ กรีน คือผู้อำนวยการสร้างของภาพยนตร์ของเทอร์เรนซ์ มาลิค เรื่อง The Tree of Life ซึ่งนำแสดงโดย แบรด พิตต์ และฌอน เพนน์ และภาพยนตร์สารคดีของมาลิคที่สร้างสำหรับฉายในโรงภาพยนตร์ไอแม็กซ์ เรื่อง The Voyage of Time ก่อนหน้านี้ เธอยังทำหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างให้กับภาพยนตร์เอพิคผจญภัยของมาลิค เรื่อง The New World ซึ่งได้แรงบันดาลใจจากเรื่องเล่าขานเกี่ยวกับ จอห์น สมิธ และโพคาฮอนทัส ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ สาขากำกับภาพยอดเยี่ยม (เอ็มมานูเอล ลูเบซกี้)
         กรีนยังทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างให้กับภาพยนตร์เรื่อง Frida ซึ่งได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ถึง 6 รางวัล (ได้รับไป 2 รางวัล), ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลบัฟต้าถึง 5 รางวัล (ได้รับไป 1 รางวัล) ซึ่งรวมถึงรางวัลดารานำหญิงยอดเยี่ยมของ ซัลม่า ฮาเย็ก ผู้แสดงนำในภาพยนตร์เรื่องนี้ร่วมกับ อัลเฟร็ด โมลีน่า ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังทำให้ผู้กำกับ จูลี่ เทย์มอร์ ได้รับรางวัลตามงานเทศกาลภาพยนตร์ต่างๆ อีกด้วย
         ในปี 2004 กรีนทำหน้าที่อำนวยการสร้างให้กับภาพยนตร์เรื่อง Dirty Dancing: Havana Nights ซึ่งวางเหตุการณ์ให้เกิดขึ้นในคิวบา แต่ไปถ่ายทำกันที่เปอร์โตริโก ท่ามกลางเสียงดนตรีแนวซัลซ่าและแดนซ์ กรีนยังทำหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างให้กับภาพยนตร์เรื่อง Girlfight และ State and Main ซึ่งเป็นภาพยนตร์อินดี้สองเรื่องที่ได้รับคำชมมากที่สุดในปี 2002 Girlfight ได้รับรางวัล Grand Jury Prize และยังทำให้ คาริน คูซาม่า ได้รับรางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมที่งานเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ด้วย รวมไปถึงยังคว้ารางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และดารานำหญิงยอดเยี่ยม (มิเชลล์ ร็อดริเกซ) ที่งานเทศกาลภาพยนตร์เมืองเดอวิลล์, ได้รับรางวัล Prix de la Jeunesse ที่งานเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ และได้รับรางวัล IFP Gotham Awards ด้วย

         ก่อนหน้านั้น กรีนทำหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างให้กับภาพยนตร์ของ เดวิด มาเม็ท เรื่อง The Winslow Boy ซึ่งทำให้ เจเรมี่ นอร์แธม คว้ารางวัลมาได้มากมาย เธอยังร่วมอำนวยการสร้างภาพยนตร์ทริลเลอร์ร่วมสมัยของมาเม็ท เรื่อง The Spanish Prisoner ซึ่งได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล อินดีเพนเด้นต์ สปิริต สาขาบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และภาพยนตร์เรื่อง American Buffalo ที่สร้างจากบทละครของมาเม็ท และกำกับดดย ไมเคิล คอร์เรนเต้
         กรีนยังอำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง Oleanna กับแพทริเซีย วูล์ฟฟ์ ซึ่งมาเม็ทเป็นคนเขียนบทและกำกับ ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้ วิลเลี่ยม เอช เมซี่ย์ ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลอินดีเพนเด้นต์ สปิริต
         กรีนอำนวยการสร้างภาพยนตร์ 3 เรื่องของมือเขียนบท/ ผู้กำกับ จอห์น เซย์เลส ได้แก่เรื่อง The Secret of Roan Inish ซึ่งได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลอินดีเพนเด้นต์ สปิริต 3 รางวัล, Passion Fish ซึ่งได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ 2 รางวัล และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงสองรางวัลลูกโลกทองคำ และสองรางวัลอินดีเพนเด้นต์ สปิริต (ได้รับไป 1 รางวัล) และเรื่อง City of Hope ซึ่งได้รับรางวัล Grand Prix ที่งานเทศกาลภาพยนตร์โตเกียว และได้รับรางวัล Critics’ Award ที่งานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเอดินเบิร์ก


บิลล์ โพห์แล็ด (BILL POHLAD) - ผู้อำนวยการสร้าง

               ในฐานะผู้ก่อตั้งบริษัท ริเวอร์โร้ด เอนเตอร์เทนเม้นต์ บิลล์ โพห์แล็ดได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์คุณภาพมานานมากกว่า 20 ปี ความสามารถของเขาในการเฟ้นหาเรื่องราวที่ไม่เป็นไปตามแบบแผน และนำมันสู่แสงไฟ ได้สร้างชื่อเสียงให้กับเขาในฐานะผู้อำนวยการสร้างที่ไม่กลัวการเสี่ยง เขาได้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับงานสร้างภาพยนตร์มากมายหลายเรื่อง อาทิเช่น ภาพยนตร์เอพิค รางวัลออสการ์ของ อัง ลี เรื่อง Brokeback Mountain, ภาพยนตร์ของ โรเบิร์ต อัลท์แมน เรื่อง A Prairie Home Companion และภาพยนตร์ของ ฌอน เพนน์ เรื่อง Into the Wild ทำให้โพห์แล็ดกลายเป็นหนึ่งในพลังสำคัญที่อยู่เบื้องหลังวงการภาพยนตร์อินดี้
         ล่าสุด โพห์แล็ดได้ทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างให้กับภาพยนตร์สองเรื่อง นั่นก็คือ ภาพยนตร์เอพิคของ เทอร์เรนซ์ มาลิค เรื่อง The Tree of Life ซึ่งนำแสดงโดย แบรด พิตต์ และฌอน เพนน์ และภาพยนตร์ของ ดั๊ก ไลแมน เรื่อง Fair Game ซึ่งสร้างจากเรื่องราวของเจ้าหน้าที่ซีไอเอ วาเลอรี่ เพลม ภาพยนตร์เรื่องนี้นำแสดงโดย นาโอมี่ วัตต์ส และฌอน เพนน์ Fair Game เปิดตัวฉายรอบปฐมทัศน์ที่งานเทศกาลเมืองคานส์ปี 2010
         ในฐานะผู้อำนวยการสร้างบริหาร โพห์แล็ดเป็นผู้อยู่เบื้องหลังภาพยนตร์ของอัง ลี เรื่อง Lust, Caution รวมไปถึงภาพยนตร์สารคดีสามเรื่อง อย่าง ภาพยนตร์สารคดีของร็อบบี้ เคนเนอร์ เรื่อง Food, Inc., ผลงานของเบร็ทท์ มอร์เก้น เรื่อง Chicago 10 และสารคดีของ โจนัส อาเกอร์ลันด์ เรื่อง I’m Going to Tell You a Secret featuring Madonna
         โพห์แล็ดยังทำหน้าที่อำนวยการสร้างให้กับภาพยนตร์เรื่อง Fur-An Imaginary Portrait of Diane Arbus ซึ่งนำแสดงโดย นิโคล คิดแมน และโรเบิร์ต ดาวนี่ย์ จูเนียร์ และภาพยนตร์ชีวประวัติเรื่อง The Runaways ซึ่งนำแสดงโดย คริสเตน สจ๊วร์ต และดาโกต้า แฟนนิ่ง
         โพห์แล็ดได้ก่อตั้งบริษัท ริเวอร์โร้ด เอนเตอร์เทนเม้นต์ ขึ้นในปี 1987 เพื่อเป็นลู่ทางในการอำนวยการสร้างและกำกับภาพยนตร์จากบ้านเกิดของเขาในมินเนโพลิส โดยในปี 1990 เขาได้เขียนบท, กำกับ และร่วมอำนวยการสร้างผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกของเขา Old Explorers ซึ่งนำแสดงโดยโฮเซ่ เฟอร์เรอร์ และเจมส์ วิทมอร์


ดีดี้ การ์ดเนอร์ (DEDE GARDNER) – ผู้อำนวยการสร้าง

               ดีดี้ การ์ดเนอร์คือประธานบริษัท แพลน บี เอนเตอร์เทนเม้นต์ เมื่อเร็วๆ นี้ เธอทำหน้าที่อำนวยการสร้างให้กับภาพยนตร์เรื่อง Eat, Pray, Love ซึ่งนำแสดงโดย จูเลีย โรเบิร์ตส์, ฮาเวียร์ บาร์เด็ม, เจมส์ ฟรังโก้, ริชาร์ด เจนกิ้นส์, วีโอล่า เดวิส และบิลลี่ ครูดัพ ภายใต้การกำกับของ ไรอัน เมอร์ฟี่ย์ การ์ดเนอร์ยังเป็นผู้อำนวยการสร้างของภาพยนตร์ใหม่เรื่อง The Tree Of Life ซึ่งนำแสดงโดย แบรด พิตต์ และฌอน เพนน์ ภายใต้การกำกับของเทอร์เรนซ์ มาลิค
         ผลงานก่อนหน้านี้ของเธอ ได้แก่ The Time Traveler's Wife ซึ่งนำแสดงโดย เอริค บาน่า และเรเชล แม็คอดัมส์ กำกับโดย โรเบิร์ต ชเวนท์เก้, The Private Lives Of Pippa Lee ซึ่งนำแสดงโดย โรบิน ไรท์, อลัน อาร์กิ้น, คีอานู รีฟส์ และเบลค ไลฟ์ลี่ กำกับโดย รีเบ็คก้า มิลเลอร์, The Assassination Of Jesse James By The Coward Robert Ford ซึ่งนำแสดงโดย แบรด พิตต์ และเคซี่ย์ อัฟเฟล็ค กำกับโดย แอนดรูว์ โดมินิค, ภาพยนตร์ดราม่าชีวิตจริง เรื่อง A Mighty Heart ซึ่งนำแสดงโดย แองเจลิน่า โจลี่ และกำกับโดย ไมเคิล วินเทอร์บ็อทท่อม, ภาพยนตร์ดราม่าอินดี้เรื่อง Year Of The Dog ซึ่งนำแสดงโดย มอลลี่ แชนน่อน และลอร่า เดิร์น และภาพยนตร์ตลกกึ่งดราม่า เรื่อง Running With Scissors ซึ่งนำแสดงโดย แอนเน็ตต์ เบ็นนิ่ง และกำกับโดย ไรอัน เมอร์ฟี่ย์
         ปัจจุบัน แพลนบีอยู่ระหว่างเตรียมงานสร้างให้กับภาพยนตร์ที่ดัดแปลงมาจากหนังสือของ แม็กซ์ บรูกส์ เรื่อง World War Z โดยมี มาร์ค ฟอร์สเตอร์ นั่งแท่นผู้กำกับ และแบรด พิตต์แสดงนำ รวมไปถึงภาพยนตร์ที่สร้างจากหนังสือของ เดวิด แกรนน์ เรื่อง The Lost City of Z ซึ่งกำกับโดย เจมส์ เกรย์
         ก่อนหน้าที่จะมาทำงานที่แพลนบี การ์ดเนอร์เคยทำหน้าที่เป็นรองประธานบริหารฝ่ายโปรดักชั่นของพาราเม้าต์ พิคเจอร์ส ในช่วงเวลา 7 ปีที่เธอทำงานอยู่ที่นั่น เธอได้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับงานสร้างของภาพยนตร์เรื่อง Election, Orange County, Zoolander และ How to Lose a Guy in Ten Days


เอ็มมานูเอล ลูเบซกี้ (EMMANUEL LUBEZKI) - ผู้กำกับภาพ

               เอ็มมานูเอล ลูเบซกี้เกิดในเม็กซิโก เขาเริ่มมีชื่อเสียงในฐานะผู้กำกับภาพในอเมริกา หลังจากที่เขาทำงานให้กับภาพยนตร์ของ อัลฟอนโซ่ อาราว เรื่อง Like Water For Chocolate ผลงานภาพยนตร์ที่ผ่านมาของเขาในฐานะผู้กำกับภาพ ได้แก่ The Cat in the Hat, Ali, Y Tu Mama Tabien, Great Expectations, The New World และ Children of Men เขาเคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขากำกับภาพยอดเยี่ยมถึง 4 ครั้ง จากภาพยนตร์ของทิม เบอร์ตัน เรื่อง Sleepy Hollow, ภาพยนตร์ของอัลฟอนโซ่ คัวรอน เรื่อง A Little Princess, Children of Men และภาพยนตร์ของ เทอร์เรนซ์ มาลิค เรื่อง The New World
         ปัจจุบัน ลูเบซกี้อาศัยอยู่ในลอสแอนเจลิส และเขาเพิ่งจะเสร็จสิ้นจากการทำหน้าที่กำกับภาพให้กับภาพยนตร์ของเทอร์เรนซ์ มาลิค เรื่อง The Tree of Life ส่วนผลงานภาพยนตร์ใหม่ของเขา ได้แก่ ภาพยนตร์ของมาลิคเรื่อง “Project D” และภาพยนตร์ของอัลฟอนโซ่ คัวรอน เรื่อง “Gravity”

Google on July 07, 2011, 12:16:25 PM


โรส มีเดีย คว้าลิขสิทธิ์หนังปาล์มทองคำ “ทรี ออฟ ไลฟ์”   
 
          โรส มีเดีย คว้าลิขสิทธิ์ภาพยนตร์เรื่อง “ทรี ออฟ ไลฟ์” ( The tree of Life ) กำกับการแสดงโดย เทอร์เรนซ์ มาลิค ที่เพิ่งคว้ารางวัลปาล์มทองคำ จากเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ ครั้งที่ 64 นำแสดงโดยดาราฮอลลีวูดมาฝีมือ แบรด พิตต์ , ฌอน เพนน์ และเจสซิก้า แชสเทน “ทรี ออฟ ไลฟ์” เป็นภาพยนตร์ดราม่าเกี่ยวกับเรื่องราวของครอบครัวหนึ่งที่มีชีวิตอยู่ในปี 1950 ซึ่งมีลูกชายด้วยกันทั้งหมด 3 คน โดยมีหัวหน้าครอบครัวคือ Mr. O'Brien (Brad Pitt) และลูกชายคนโต Jack กับความสัมพันธ์ของ Jack และพ่อที่เขาพยายามจะทำความเข้าใจและหาทางปรองดองคืนดีกับพ่อของเขา และค้นหาความหมายของการมีชีวิต เมื่อตัวของ Jack ในวัยผู้ใหญ่ (แสดงโดย Sean Penn) สามารถเข้าใจเรื่องราวในช่วงวัยเด็กของเขาและเห็นความสำคัญของครอบครัวได้ ซึ่งคอหนังรางวัลทั้งหลายจะได้ชมภาพยนตร์เรื่อง ”ทรี ออฟ ไลฟ์” อย่างแน่นอน