AIT ฟุ้งผลงานไตรมาส 2 แจ๋ว จับมือพันธมิตรลุยงานในและตปท.
บริษัท แอ็ดวานซ์ อินฟอร์เมชั่น เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ AIT มั่นใจผลงานไตรมาส 2/2552 ดีกว่าไตรมาสแรก พร้อมเดินหน้าลุยงานยักษ์ตุน Backlog ยันผลงานปี 52 ไม่พลาดเป้า 3.3 พันล้านบาท รุกจับมือ JAS และ LOXLEY ลุยงาน 3 จี
นายศิริพงษ์ อุ่นทรพันธุ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท แอ็ดวานซ์ อินฟอร์เมชั่น เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ AIT เปิดเผยถึงภาพรวมธุรกิจในช่วงไตรมาส 2/2552 ว่า บริษัทฯ ได้เข้าประมูลงานในโครงการขนาดใหญ่ทั้งจากภาครัฐ และเอกชนหลายโครงการ ส่งผลให้มูลค่างานในมือ (Backlog) ณ ปัจจุบันซึ่งไม่รวมไตรมาสแรกมีจำนวนกว่า 2 พันล้านบาท โดยจะสามารถทยอยรับรู้เป็นรายได้ทั้งหมดได้ภายในปีนี้
“ในไตรมาส 2 บริษัทฯ ได้รับงานใหม่เข้ามากพอที่จะทำให้รายได้ในครึ่งหลังของปี และรายได้รวมทั้งปีเป็นไปตามเป้าหมาย ซึ่งงานที่ได้เป็นงานจากภาครัฐเป็นส่วนใหญ่ ขณะเดียวกันก็ทยอยรับรู้รายได้จากโครงการก่อนหน้านี้ ทำให้คาดว่าผลการดำเนินงานไตรมาส 2 มีโอกาสออกมาดีกว่าไตรมาสแรกที่ผ่านมา” นายศิริพงษ์กล่าว
ประธานกรรมการบริหาร AIT กล่าวต่อว่า สำหรับแนวโน้มธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลัง 2552 มองว่ายังมีแนวโน้มที่ดี โดยคาดว่า บริษัทฯ จะเข้าประมูลงานที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมสื่อสารและโทรคมนาคมมูลค่ากว่า 2-3 พันล้านบาท ทั้งจากการลงทุนขยายงานของภาครัฐที่ยังมีให้เห็นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับภาคเอกชนเองก็จำเป็นที่จะต้องเดินหน้าลงทุนในเรื่องเทคโนโลยีใหม่ๆ
ทั้งเทคโนโลยี 3 จี และอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง เป็นต้น เพื่อรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดของตัวเองให้สามารถแข่งขันกับคู่แข่งได้ ดังนั้น จึงมั่นใจว่าผลการดำเนินงานปี 2552 จะเป็นไปตามเป้าหมายที่ระดับ 3,300 ล้านบาท
“ครึ่งปีหลัง บริษัทฯ มองว่ายังมีทิศทางที่ดี งานที่จะเข้าประมูลเฉพาะโครงการขนาดใหญ่ก็คาดว่าจะมีมูลค่ากว่า 2-3 พันล้านบาทเป็นอย่างน้อย ซึ่งส่วนหนึ่งก็คงจะสามารถรับรู้เป็นรายได้ทันในปีนี้ จึงคาดว่าทั้งปีก็คงเป็นไปตามเป้าหมายที่ 3,300 ล้านบาทได้อย่างแน่นอน” ประธานกรรมการบริหาร AIT กล่าว
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังอยู่ระหว่างการเจรจาเบื้องต้นกับบริษัทจัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JAS และบริษัท ล็อกซเล่ย์ จำกัด (มหาชน) หรือ LOXLEY ในการร่วมมือทางธุรกิจเพื่อรองรับโครงการลงทุนด้านเทคโนโลยี 3 จี
ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าวางฐานขยายตลาดในต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดใหม่ๆ ที่มีศักยภาพ เช่น ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย เวียดนาม ซึ่งถือเป็นโอกาสในการสร้างการเติบโต รวมไปถึงให้สอดรับการเติบโตและการลงทุนอย่างมหาศาลในอุตสาหกรรมไอทีในอนาคตอีกด้วย