KTAMนำร่องตั้งทริกเกอร์ฟันด์ลุยหุ้นสหรัฐ
นายสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด ( มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทเปิดจำหน่ายกองทุนเปิดเคแทม ยูเอส ทริกเกอร์ ฟันด์ ( KTUR ) ในวันที่ 22 มี.ค. - 4 เม.ย. นี้ อายุโครงการประมาณ 11 เดือน หรืออายุโครงการอาจต่ำกว่า 11 เดือน หากเกิดเหตุตามเงื่อนไขการเลิกกองทุน
โดยบริษัทสามารถเลิกกองทุนได้ก่อนครบอายุโครงการ หากมูลค่าหน่วยลงทุนไม่ต่ำกว่า 11.30 บาท ต่อหน่วยเป็นเวลา 3 วันทำการติดต่อกัน หรือมูลค่าหน่วยลงทุนไม่ต่ำกว่า 11.10 บาท ต่อหน่วย และทรัพย์สินของกองทุนเป็นเงินสดหรือเทียบเท่าเงินสดทั้งหมดในสกุลเงินบาท ณ วันทำการใด เงินลงทุนขั้นต่ำ 10,000 บาท มูลค่าที่ตราไว้หน่วยลงทุนละ 10 บาท
กองทุนจะเน้นลงทุนในอีทีเอฟหุ้นที่จดทะเบียน ในตลาดหลักทรัพย์ ของประเทศสหรัฐอเมริกา ที่สะท้อนผลการดำเนินงานของตราสารทุน โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน และลงทุนในต่างประเทศไม่น้อยกว่า ร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยส่วนที่เหลือจะลงทุนในตราสารแห่งทุน ตราสารแห่งหนี้ เงินฝาก และ /หรือ ตราสารอื่นใด ตามที่คณะกรรมการ ก.ล.ต. กำหนด
ฝ่ายวิจัย ของบลจ. กรุงไทย รายงานว่า มีการคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีการขยายตัวสูงขึ้นจาก 1.7% ในไตรมาสที่ 2 ปี 2553 มาอยู่ที่ประมาณ 4% ในไตรมาสที่ 2 ปี 2554 การปรับสูงขึ้นของเศรษฐกิจสหรัฐฯ น่าจะส่งผลให้ Sentiment ของเศรษฐกิจ และการบริโภคปรับตัวดีขึ้น และคาดว่า จะส่งผลให้การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวสูงขึ้น
ทั้งนี้ รัฐบาล และธนาคารกลางสหรัฐฯ ยังคงใช้มาตราการการเงินการคลังที่ผ่อนคลาย ซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้สภาพคล่องในตลาดอยู่ในระดับสูง และน่าจะทำให้มีเม็ดเงินบางส่วนไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น มีการปรับเงินลงทุนจากตราสารหนี้ มาลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น เนื่องจากความเป็นไปได้ในการเกิด Double Dip ในสหรัฐฯ ลดลงมาก ส่งผลให้เงินลงทุนเริ่มไหลจากการลงทุนในตราสารหนี้มาลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น ซึ่งหุ้นก็เป็นหนึ่งในสินทรัพย์เสี่ยงที่น่าจะได้รับผลประโยชน์จากการปรับการลงทุนดังกล่าว โดยคาดว่าจะมีเม็ดเงินลงทุนสูงถึงเจ็ดแสนห้าหมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ ที่จะไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นจากการปรับพอร์ตการลงทุนดังกล่าว
นอกจากนี้ บริษัทยังเปิดจำหน่ายกองทุนเปิดกรุงไทย ฟอเรน ฟิกซ์อินคัม 4 เดือน 3 ( KTF4M3 ) เสนอขายในวันที่ 23 - 29 มีนาคม 2554 โดยกองทุนจะเน้นลงทุนในตั๋วเงินคลังที่ออกโดยรัฐบาลอิสราเอล ทั้ง 100% โดยผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนประมาณ 2.60% ต่อปี