happy on March 11, 2011, 01:12:15 PM

Vanishing on 7th Street
เวเนชิ่ง ออน เซเว่น สตรีท

จัดจำหน่ายโดย      บริษัท เอ็ม พิคเจอร์ส จำกัด
ชื่อภาษาไทย   แวนิชชิ่ง....จุดมนุษย์ดับ
เว็ปไซด์      www.vanishingon7th.foreseeing.com      
ภาพยนตร์แนว   เขย่าขวัญ
จากประเทศ      สหรัฐอเมริกา
กำหนดฉาย      24 มีนาคม 2554
ณ โรงภาพยนตร์   ทุกโรงภาพยนตร์
นักแสดง   Hayden Christensen (Star Wars, Jumper), John Leguizamo (Moulin Rouge!, Romeo + Juliet), Thandie Newton (Mission: Impossible II, 2010)
ผู้กำกับ      Brand Anderson (The Machinist, Transsiberian)
จุดเด่น   -  สร้างจากภาพยนตร์สั้นที่ชนะเลิศ รางวัลจากเทศกาล Tampere Internaiton Short Film Festival ทั้งยังสร้างกระแสกล่าวขวัญอย่างมากมายผ่านโลกไซเบอร์ ได้รับการโหวตจากสื่อยุโรปให้เป็นภาพยนตร์ประจำคริสต์มาสที่น่าสนใจประจำปลายปี 2010
   - การกลับมาแสดงอีกครั้งของพระเอกหนุ่มรูปหล่อ Hayden Chistensen ผู้รับบท อนาคิน สกายวอล์คเกอร์ จาก Star Wars พร้อม John Leguizamo จาก Moulin Gouge! และนักแสดงสาว Thandie Newton จาก 2012  และทีม Special Effect ที่จะมาสร้างเมืองหลอนๆ กันยกเมือง จาภาพยนตร์เรื่อง The Chronicles of Narnia



เรื่องย่อ 

               เกิดเหตุไฟฟ้าดับครั้งใหญ่ ได้คร่าชีวิตประชากรส่วนใหญ่ของเมือง  หลงเหลือเพียงกลุ่มคนเล็กๆ รวมตัวกันในร้านขายเหล้า  พวกเขายังต่อสู้เพื่อหาหนทางให้มีชีวิตอยู่รอด
Vanishing on 7th Street  ภาพยนตร์เขย่าขวัญ  ที่จับเรื่องราวคำทำนายวันอวสานโลก  ตามพระคัมภีร์   โดยฝีมือ ผู้กำกับฯ  เบรด แอนเดอร์สัน  (Session 9,  Transsiberian, The Machinist)  รวมกับเรื่องราว ภาวะโลกยุคปัจจุบันที่กำลังก้าวเข้าสู่ยุควิกฤติ
     เกิดเหตุการณ์ไฟฟ้าดับอย่างไม่รู้สาเหตุ ในเมือง ดีทรอย   เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นในตอนเช้า ก็หลงเหลือผู้คนอยู่ไม่กี่คน  ท่ามกลางข้าวของเสื้อผ้า รถรา ถูกทิ้งเกลื่อนกราด  นักข่าวโทรทัศน์ ลุค ( เฮย์เดน คริสเตนเซน)  ก้าวเท้าออกจากบ้าน  มาพบว่า  บรรดาอาคารใหญ่รอบๆ ตัวเขา ทั้งเมืองได้กลายเป็นเพียงสถานที่ว่างเปล่าไร้สิ้น ซึ่งสิ่งมีชีวิตใดๆ   
พอล  นักฉายหนัง (จอห์น ลีกูซาโม)  พบตัวเองอยู่ลำพังในโรงหนังที่ครั้งหนึ่งเคยคลาคล่ำไปด้วยคนดู  เช่นเดียวกับ   โรสแมรี่ (แทนดี้  นิวตั้น) นักกายภาพบำบัด ออกมาสูบบุหรี่ และกลับเข้าไปพบ โรงพยาบาลไร้ผู้คนไปแล้ว  และ เจมส์  เด็กชายขี้หวาดกลัว  (จาค็อป ลาติมอร์)  เจมส์เฝ้ารอคอยให้แม่กลับมาหาอย่างจดจ่อ   พวกเขาแต่ละคนต่างหาทาง หนีลงไปที่บาร์  สถานที่ซึ่ง ยังมีพลังงาน อาหารและเครื่องดื่มเก็บอยู่  ทำให้ที่นั่นกลายเป็นแหล่งที่พึ่งสุดท้ายของเมืองร้างแห่งนี้
ทุกอย่างเริ่มต้น เมื่อแสงแดดสาดส่อง เช้าวันนั้น ทุกสิ่งที่เราคุ้นเคยหายสิ้นไป ไร้สรรพเสียงของสิ่งมีชีวิตใดๆหลงเหลือ  ในบริเวณรอบๆ ตัว ผู้รอดชีวิต   ลุคได้พบร่องรอย กระเป๋าของคนจากเมืองอื่น  อย่าง ชิคาโก  เขาจึงค้นหาทั่วเมือง เพื่อหาพาหนะที่จะพาพวกเขาทุกคนที่ไปนั่น  แต่ โรสแมรี่ ผู้ที่ยังโศกเศร้าจากการสูญหายของลูก  เจมส์ก็ไม่ยอมจากเมืองนี้ไปถ้าไม่มีแม่  ส่วน พอลก็บาดเจ็บเกินกว่าจะเดินทางได้   และ เวลาของพวกเขาก็ดูจะลดน้อยลงทุกที  เพราะความมืดกำลังคืบคลานเข้ามาอีกครั้ง   ไม่มีใครรู้ว่า  พวกเขากำลังเผชิญหน้ากับ ที่สุดของความสยดสยอง เมื่อความมืดกลับมาเยือนอีกครั้ง.....

Vanishing on 7th Street แสดงนำโดย  เฮย์เดน  คริสเตนเซน   (Shattered Glass, Star Wars Episode III: Revenge of the Sith, Takers) , แทนดี้ นิวตัน  (Crash, 2012),  จอห์น  ลีกูซาโก (Repo Man, The Happening), จาค็อป  ลาติมอร์  (“One Tree Hill”) และ ไทเลอร์ กูสเธียส (Flipped)
กำกับฯ ภาพยนตร์ โดย  เบรด  แอนเดอร์สัน  (Session 9, Transsiberian, The Machinist) บทภาพยนตร์ โดย แอนโธนี่  จาสวินสกี้ (Killing Time)  ควบคุมการผลิตโดย  นอร์ตัน เฮร์ริค  (My One and Only) เซลลีน  รัตเทรย์  (The Kids are All Right)
โทว์  คริสเตนเซน (The Education of Charlie Banks)
กำกับภาพ โดย  อูต้า   เบีร์ยวิตซ์  (Walk Hard: The Dewey Cox Story) ลำดับภาพโดย  เจฟฟรีย์  วูลฟ์ (Dear John) ออกแบบงานสร้าง   โดย  สตีเฟน  เบียทริค   (Adventureland)  ดนตรีประกอบ โดย  ลูคัส  วิเดล (Make Believe) ออกแบบเสื้อผ้าโดย   เดเนียล  โฮลโลเวลล์  (Unthinkable)
   ทีมอำนวยการสร้าง ดูแลการผลิต   ประกอบด้วย  อิลีน  เฮอร์ริค  (My One and Only)  , ไมเคิล  เฮอร์ริค   (My One and Only) พาเมล่า  เฮิร์ช  (The Romantics), เคน  เฮิร์ช (Buried),  ลอเรน  แมททิส (St. John of Las Vegas), และ เคลลี่ แม็คคอร์มิค   (St. John of Las Vegas)  ทีมอำนวยการสร้างร่วม ยังมี  นิค มาร์แชลล์ (The Kids are All Right) และ  โจ  ซูเรสซ์  (My One and Only)

« Last Edit: March 11, 2011, 01:18:37 PM by happy »

happy on March 11, 2011, 01:26:01 PM




เกี่ยวกับงานสร้าง

               Vanishing on7thStreet พูดถึง  หนึ่งในสิ่งที่เป็นพื้นฐานของมนุษย์ทุกๆ คน และ ความหวาดกลัวที่เป็นสากลที่สุดของคนเรา  นั่นคือ  กลัวความมืด  ในช่วงเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่วัน ตัวของความกลัวที่เพิ่มมากขึ้นทุกขณะ ได้กลายเป็นอันตราย ต่อ 4 ชีวิตที่ยังเหลือรอดอยู่   พวกเขาประจักษ์ว่า   กำลังเผชิญหน้ากับที่สุดของความกลัวที่ กำลังคุกคามความการมีอยู่ของมนุษยชาติ   
               อันที่จริง   ตัวของความมืดเอง อาจไม่จำเป็นที่เราต้องกลัวก็ได้   พูดจาก  มุมมองของผู้กำกับฯ  แบรด  แอนเดอร์สัน “ แต่สิ่งที่ซ่อนอยู่ในความมืดต่างหาก”  แบรด กล่าว “ เมื่อมีอะไรบางอย่าง ซ่อนตัวอยู่ในความมืด  สิ่งที่เราบอกไม่ได้ว่า มันคืออะไร ชี้นิ้วไปที่สิ่งนั้น  จ้องจนปวดตา  ก็ยังจนปัญญาจะบอกได้  ว่า มันคืออะไร สิ่งที่เราไม่สามารถเห็นนั้นล่ะ กลายเป็นสิ่งที่มนุษย์เราหวาดกลัวมากที่สุด เพราะมันพามนุษย์เราย้อนกลับไปหาวันเวลาที่ยังอาศัยอยู่ในถ้ำ  ต้องต่อสู้กับ หมี และ เสือเขี้ยวยาว ที่รอจะขย้ำเรา  มันอาจจะเป็นความกลัวที่ฝังอยู่ในยีนพันธุกรรมของมนุษย์เราไปแล้ว ”
               การดึงเอาเรื่องราวคำทำนายวันอวสานโลก ตามคัมภีร์คริสตศาสนา  แปรเป็นภาพของเมืองร้างในภาพยนตร์  เป็นงานของ ผู้เขียนบทภาพยนตร์  แอนโธนี่ จาสวินสกรี้  ที่สร้างสรรค์ จิตนาภาพโลกยุคปัจจุบันที่ ปกคลุมไปด้วยบรรยากาศสยองขวัญภายใต้เงามืด  “ ผมต้องการทำหนังเขย่าขวัญที่กำหนดเหตุการณ์อยู่ในบาร์เล็กๆ  สักแห่งหนึ่ง”  จาสวินสกี้  กล่าว “ ผมพยายามจะนึกภาพ ว่า จะทำหนังเขย่าขวัญอย่างไรโดยไม่ให้มีสัตว์ประหลาด  ไม่มีสิ่งเหนือธรรมชาติ แล้วไอเดียของการต้องมีชีวิตแบบไม่มีชีวิต อยู่แบบไม่มีตัวตน โดยตัวมันเองก็กลายเป็นประเด็นหลักขึ้นมาได้”

                บทภาพยนตร์  ของ จาสวินสกี้ จับเอาสิ่งที่อยู่ในใจมนุษย์ บวก จินตนาการของ ผู้อำนวยการสร้าง เซลลีน  รัตเทรย์  ประธานบริษัท Mandalay Vision, แห่ง Mandalay Entertainment กรุ๊ป  บริษัทผู้สร้างหนังน้องใหม่ เซลลีน กล่าวว่า “มันเป็น  บทที่ดีเยี่ม และชาญฉลาด”  เรื่องราวผสมผสาน ความเขย่าขวัญ ที่เข้าถึงคนดูกลุ่มใหญ่ และ  ส่วนลึกหนังก็แตะต้องถึง การมีตัวตนอยู่ของมนุษย์เรา”
   บทภาพยนตร์ที่ทรงพลัง  และ ไม่เหมือนใครนี้  สร้างความประทับใจให้กับ ผู้อำนวยการสร้าง และ นายทุน  นอร์ตัน เฮอร์ริค  ประธานของ Herrick Entertainment “ มันเป็นบทหนังที่กล้ามาก “ เขากล่าว “ ตัวภาพยนตร์ยิ่งดีกว่าบทอีก  ความไม่ธรรมดาของมัน ทำให้ทีมงานของผม ทุกคน  เราเห็นพ้องกับบทหนังเรื่องนี้เป็นเอกฉันท์ เหนืออื่นใด คือ พวกเราทุกคนที่ได้อ่าน ตกหลุมรักบทหนังเรื่องนี้กันหมด”
รัตเทรย  เสนอให้ เบรด  แอนเตอร์สัน ให้เข้ามากำกับภาพยนตร์เรื่องนี้   เพราะความชื่นชอบที่เคยดูผลงานหนังระทึกขวัญ  ฝีมือกำกับฯของ แอนเดอร์สัน มาก่อนหน้านี้  อย่างเรื่อง Session 9, Transsiberian และ The Machinist  “เบรด เป็นชื่อแรกสุด บนรายชื่อผู้กำกับฯของเรา”    เบรดเป็นผู้กำกับฯ ที่ “ ดึงคนดูเข้าไปมีส่วนร่วมในหนัง  แต่ก็ยังสร้างแก่นเรื่องที่มีความหมายลึกซึ้ง  กว้างใหญ่ขึ้นไป”
                แอนเดอร์สัน และ จาสวินสกี้ รู้จักกันมานานหลายปี  และเคยพูดคุยถึงโอกาสที่จะทำงานร่วมกันบ่อยๆ  “ เป็นการร่วมงานที่เยี่ยมมาก ตั้งแต่เริ่มแรก  ผมต่อติดกับเหล่าตัวละคร และเรื่องราว ได้ในทันที”
               ความเข้าใจที่ แอนเดอร์สัน มีต่อบทภาพยนตร์ ทำให้เขาเป็นผู้กำกับฯในฝันของ จาสวินสกี้ ไปเลย 
“เขาเข้าใจโทนของหนังเรื่องนี้ โดยทันที”  ผู้เขียนบทกล่าว “  มันเป็นหนังเขย่าขวัญที่ให้ความรู้สึกเย็นเยือก  แต่ไม่ใช่หนังสยองเลือดสาด  ความน่ากลัวไม่ได้มาจากการร้อยฉากน่ากลัวๆ หลายๆ ฉากมารวมไว้ด้วยกัน  แต่ด้วยแนวคิดของเรื่องราว  เป็นที่ทำให้คนดูขนหัวลุกได้  แม้ตอนที่คนดูลุกจากที่นั่ง เดินออกจากโรงหนังไปแล้ว   ยังมีอาการกระสับกระส่าย ติดสมองออกไปด้วย”
               ด้วยวรรณศิลป์ในการเขียนบทของ  โทนี่  จาสวินสกี้  เป็นส่วนหลักในทำให้ ผู้กำกับฯ  เบรด  แอนเดอร์สัน ตัดสินใจเข้ามานั่งแท่น กำกับหนังเรื่องนี้
“ ผมชอบวีธีที่โทนี่เล่าเรื่อง”   แอนเดอร์สันกล่าว “ เล่าเรื่องน้อยๆ แต่ให้ความรู้สึกตึงเครียดสูง  การเขียนบรรยายความของเขายอดเยี่ยม  บทพูดก็ดีมาก  มีแง่มุมที่คมคายเกี่ยวกับเรื่องราว  มันเป็นเรื่องคลาสสิค ที่ตัวละครติดอยู่ในสถานที่แคบๆ ที่เดียว และพยายามจะต่อสู้ ต่อรองเอาชีวิตรอด  ผมชอบความคิดที่รวมเอาตัวละครเหล่านี้ ไว้สถานการณ์ที่พวกเขา ไม่แน่ใจว่า อะไรเกิดขึ้น มันให้ความความรู้สึกหวาดกลัวที่แท้จริง  เป็นความกลัวที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน“
               แอนเดอร์สัน  วางตัวเองไว้ในฐานะผู้กำกับฯ ที่เท้าข้างหนึ่ง วางอยู่ในโลกของหนังตระกูลสยองขวัญ  แต่อีกเท้า เขาวางอยู่พื้นที่ของหนังอินดี้ ที่ต้องใช้สมองขบคิด  ในการเล่าเรื่อง    เพราะว่า บทหนังยื่นโอกาสให้เขาหลอมทั้งสองส่วนเข้าด้วยกัน  “ ผมเห็นความเป็นไปได้ทางการตลาด แต่ตัวหนัง ก็มีความฉลาดหลักแหลม และ ท้าทายสำหรับผู้ชมอยู่ด้วย”  เขากล่าว “มันเป็นเรื่องสยองขวัญที่มืดดำมาก  แต่มันก็ให้น้ำหนักเรื่องควบคู่กันไป  ระหว่าง พฤติกรรมมนุษย์  กับ วิธีที่พวกเขาจัดการกับสถานการณ์ผิดปกติที่เกิดขึ้น ไม่ว่า จะเป็น ปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ หรือว่า  ปัจจัยแวดล้อม”
               นักแสดง แทนดี้ นิวตัน  ยกเครดิตให้กับพื้นหลังด้านวิชาการของ ผู้กำกับฯ แอนเดอร์สัน  ทำให้เขา เป็นผู้กำกับฯ ที่มีมุมมองแตกต่างไปจากคนทำหนังทั่วๆ ไป
“ เบรดและฉัน เราต่างเรียนมนุษยวิทยามาเหมือนกัน “ เธอกล่าว “ เขาทำหนังเรื่องนี้ เหมือนกำลังลงพื้นทีเก็บข้อมูลมานุษยวิทยา   เขาหลงใหลพฤติกรรมที่ระเบิดใส่กัน ระหว่างตัวละครแต่ล่ะตัว”
                ที่จริง แอนเดอร์สันก็เริ่มอาชีพทำหนังของเขาด้วยภาพยนตร์  แนวมานุษยวิทยา “ วัฒนธรรมและพิธีกรรมอื่นๆ ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ผมชื่นชอบ หลงใหล”  ผู้กำกับฯ แอนเดอร์สัน  กล่าว “การทำหนังสารคดีเกี่ยวกับวัฒนธรรม บางทีก็กลายเป็นหนังเล่าเรื่อง  มีความเร้าอารมณ์ไปซะงั้น  ผมคิดว่า  ประสบการณ์เหล่านี้ช่วยให้ผมได้เรียนรู้มากขึ้น    และการพูดคุย และรับฟัง นักแสดง ช่วยให้พวกเขากำหนดรูปแบบการแสดง บางทีก็ให้ผมเข้าใจสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใน การกระทำของมนุษย์”
                แนวคิดในบทหนัง ได้ถูกพัฒนาอยู่นานเกือบปี  ระหว่างที่แอนเดอร์สันกับ จาสวินสกี้ พัฒนาบทอยู่นั้น “ มันนำมาสู่ความคิดหลากหลาย  บางครั้ง  เราบางคนก็ใส่ใจที่วิธีถ่ายทำ ว่า  หนังจะเล่าเรื่องไปอย่างไรในเวลาและงบประมาณจำกัด  พวกเราทุ่มเทสร้างสรรค์ตรงจุดนี้กันมาก เราถกเถียงกันเกี่ยวกับจะเกิดอะไรขึ้นในโลกในหนังเรื่องนี้  เราอยากจะให้หนังถ่ายทอดด้วย ความรู้สึกสมจริงที่สุด  ว่า โลก จะจบลงอย่างไร  แต่เราก็อยากให้คนดูได้คาดเดาด้วย   “มันจะดีไหม ?”  เวลาที่คำทำนายเรื่องอวสานโลกมาถึง  หรือ มันจะมีคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์อะไรได้บ้างไหม ว่า อะไรจะเกิดขึ้น ? แต่เราก็พยายามรักษาสมดุลยระหว่าง ความคลุมเครือ กับ ความสนุกที่ผู้ชมจะได้รับในเชิงภาพยนตร์เพื่อความบันเทิง ”
               เมื่อภาพยนตร์ เสร็จสิ้นออกมา  ก็เป็นงานที่รวมเอา ความระทึกขวัญช่วงเวลาที่คนดูจะนั่งไม่ติดที่นั่ง  กับ การท้าทายสมองคนดู ให้คาดเดาไม่ถูก
“อย่างแรกเลย ฉันหวังให้เป็นหนังที่สนุกสุดๆ “ รัตเทรย์ กล่าว “ ฉันอยากให้พวกเขา ติดกับความเร้าใจ และ ความสนุกของหนังเรื่องนี้  แล้วฉันก็ยังหวังว่า  เรื่องราวที่หนังถ่ายทอด อย่างจะยังคงอยู่ด้วย นั่นมีความหมายมากกว่าแค่เป็นหนังสยองขวัญทั่วไป”
               “ และมันก็ไม่ใช่หนังแฟนตาซี จิตนาการเหนือจริง “ เธอ เล่าต่อ “ เรื่องราวจะดำเนินไปอย่างสมจริง  เหมือนกับ ที่เคยมีกรณีศึกษา  เหตุการณ์ ที่ทุกชีวิตหายไปจาก เมืองโรดโนเก้  Roanoke  ในเวอร์จิเนีย ปี 1590  จนทุกวันนี้ก็ยังไม่มีคำอธิบายว่า  เกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาเหล่านั้น”
               เพิ่มเติม ด้วยโปรดิวเซอร์  ผู้อำนวยการสร้าง  นอร์ตัน  เฮอร์ริค  “ มันเป็นเรื่องราวที่ไม่เคยถูกเล่ามาก่อน  และ มันก็ดีมากๆ ที่ได้เห็นสิ่งนี้ ถ่ายทอดเป็นภาพยนตร์มีชีวิตจริงขึ้นมา   หนังที่เสร็จสมบูรณ์ออกมานั้น  ตื่นเต้น  ระทึกใจ สั่นประสาทมาก  มันจะติดอยู่ในใจผู้ชม ต่อไปอีกนาน หลังจากออกจากโรงหนังไปแล้ว”
ที่จริงแล้ว  สิ่งที่ผู้ชมจะได้รับจากการดูหนังย่อมแตกต่างกันไป  ในแต่ละบุคคลอยู่แล้ว  ตามที่ แอนเตอร์สัน  พูดต่อไปนี้
                “ สิ่งที่หนังเรื่องนี้พูดถึง มันอยู่ในประสบการณ์ที่ตัวละครแต่ละคนเข้าไปพบเจอ  นี่จึงเป็นประสบการณ์ของผู้ชมที่จะสวมวิญญาณ ตัวละคร ในช่วง  2  ชม.ที่ไฟโรงหนังปิด พอไฟเปิดอีกที ผู้ชมก็ออกไปจากโรงหนัง  กลับไปคุยกันถึงพฤติกรรมต่างๆ ที่พวกเขาได้ทำลงไปในช่วงไฟปิดลง  แต่ระหว่างที่ดูหนัง  ผมอยากให้พวกเขาได้รู้สึกเหมือนกันที่เราได้รับเวลาที่ความมืดเข้ามาครอบคลุม และ รอบตัวมีเพียงแสงสว่างวอมแวมน้อยนิด  ความรู้สึกเหมือนกับเวลาเราเดินเข้าไปในห้องมืดๆ  ก่อนจะสามารถเปิดไฟได้  มันเป็นลำดับต้นๆ ของความกลัวที่มนุษย์ทุกคน หวาดกลัวแทบตาย”

happy on March 11, 2011, 01:33:13 PM




การรวมตัวของเหล่าผู้เหลือรอด

               เมื่อถึงเวลาคัดเลือกนักแสดงของ Vanishing on 7th Street’s   ทั้ง 4 ตัวละครหลักของเรื่อง นั้น ผู้กำกับฯ เบรด แอนเตอร์สัน ได้กำหนดปัจจัยสำคัญ 3 ข้อไว้ในใจ
                “หนังเรื่องนี้ เป็นเหมือนเครื่องดนตรี” เขาบรรยาย “ ดังนั้น นักแสดงทุกคนต้องบรรเลงเสียงสานต่อกันได้  นักแสดงทั้ง 4 ที่เราเลือก  เราต้องคาดหมายให้พวกเขามีเคมีระหว่างเข้าฉากด้วยกัน แต่คุณไม่มีทางแน่ใจได้ ว่า พวกเขาจะโต้ตอบกันและกันแล้วออกมาเป็นอย่างไร  ในเวลาที่ไม่ได้มีกล้องถ่ายทำอยู่ ”
                 “นอกจากนี้ เราอยากได้นักแสดงที่สะท้อนถึงเมืองดีทรอย ที่มีความหลากหลายรวมอยู่ด้วยกัน”  ผู้กำกับฯ แอนเดอร์สัน กล่าว “ และในที่สุด  เราก็หนังที่มีขนาดเล็กลง  แต่เรารู้สึกได้ดี ว่า  ทุกขั้นตอนของหนังจะต้องทำด้วยความรัก  การค้นหานักแสดงผู้ซึ่งจะสร้างชีวิตไปโดยบทหนัง จึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด”
                 แอนเดอร์สัน มีรายชื่อของนักแสดงที่อยากร่วมงานด้วย  และ เฮย์เดน ครินเตนเซน ก็เป็นชื่อต้นๆ “ ผมชอบงานแสดงของเขา  และดูเขาจะเหมาะมากกับบทของ ลุค”  แอนเดอร์สัน กล่าว “เขาบอกผมว่า อยากแสดงหนังที่ไม่ได้เล่าเรื่องด้วยบทพูดเท่านั้น  แต่มีแอ็คชั่น มีการแสดงอื่นๆ ด้วย  ในหนังของเรา  เฮย์เดน รับบทเป็น คนที่ใช้สติ พยายามเอาชีวิตรอดจาก ความเจ็บปวด สยองขวัญที่พบเจอ ”
                 บทบาทพระเอก ของคริสเตนเซน  เป็นที่ยอมรับของทุกๆคนที่ร่วมงานด้วย ว่า เขาเหมาะสมกับบทบาทจริงๆ   คำกล่าวของ รัตเทรย์ “ ความพิเศษของ ลุค คือ ซึมซับเอาทุกสิ่งๆ ที่เกิดขึ้นกับเขา  และ เขาก็กลายเป็นผู้นำกลุ่ม”
                 การได้ร่วมงานกับ ผู้กำกับฯ  เบรด  แอนเดอร์สัน เป็นแรงผลักดันให้ นักแสดง  เฮย์เดน คริสเตนเซน  ผู้ซึ่งเป็นที่สนใจของนักดูหนังทั่วโลกจากบทบาท อนาคิน สกายวอร์คเกอร์ วัยหนุ่ม ในหนัง ไตรภาค Star Wars ตัดสินใจรับบทนี้
                  “ ผมชื่นชม งานของเบรด มาก่อนหน้าแล้ว ”  คริสเตนเซน กล่าว “ เขามาหาผมพร้อมบทเรื่องนี้   ผมรู้สึกกระตือรือร้นกับมันมาก  เขาเป็นคนทำหนังที่ฉลาด  วิเคราะห์เรื่องได้ลึกซึ้ง  เบรดเป็นคนที่มองชัดเจนในทุกๆ แง่มุมของหนังอยู่แล้ว   แต่ในเวลาเดียวกัน เขาก็พยายามเข้าใจประสบการณ์ ต่างๆ  ที่ตัวละครจะต้องไปพบเจอด้วย ”
                 คริสเตนเซน จดจำความประทับใจที่เขาได้อ่านหน้าแรกของบทหนัง “ มันเริ่มด้วย บทกวี ‘The Hollow Men,’  ของ  ที.เอส. อีเลียต  ที่กล่าวถึงอวสานโลก  ในเวลานั้น โลกไม่ได้มีเสียงระเบิดดังสนั่น  แต่เต็มเป็นเสียงครวญคราง  สิ่งนี้กระทบใจผมมาก”
                 “ เหนืออื่นใด  ผมรู้สึกคล้ายไปกับเนื้อหาของเรื่อง” เขากล่าว  “ เมื่อทุกๆตัวละครไปรวมกันอยู่ในบาร์ เป็นช่วงที่ผมชื่นชอบมากที่สุด “
บทหนังที่รวมเอาอารมณ์และ ความฉลาดหลักแหลม  ทำให้โปรเจคที่ดูจะเป็นไปไม่ได้ กลายเป็นจริงขึ้นมา “ ผมประทับใจตัวหนังที่มีสองระดับในเวลาเดียวกัน  หนึ่งเป็นเรื่องสยองขวัญชั้นดี  ดึงเอาความกลัวจากส่วนลึกออกมานำเสนอ  และที่เหนือไปอีกขั้น มันสำรวจเข้าไปในความคิดและ ปรัชญา  คล้ายการตรวจสอบความหมายของการมีขีวิตอยู่ของคนเรา ”
                แทนดี้ นิวตัน  ผู้รับบท โรสแมรี่  เป็นนักแสดงคนแรกที่ได้รับเลือกเข้ามา  โดย รัตเทรย์  “ แทนดี้ มีทั้ง ความสมจริง แข็งแกร่ง และ ความอ่อนแอ อย่างที่ ตัวละคร โรสแมรี่ เป็นอยู่ ”   รัตเทร์ย กล่าว
                นิวตัน กล่าวถึงการผสมผสานความคิดของเธอกับ ผู้กำกับฯ ในการเลือกนักแสดง  “ หนึ่งอย่างที่ฉันชอบมากที่สุด เกี่ยวกับ เบรด คือ ความคาดเดาไม่ได้ของเขา ไม่ว่าจะเป็นเกี่ยวกับเรื่องอะไร ที่ฉันถกเถียงกับเขา  ฉันเหมือนถูกควบคุมอยู่ด้วยเหตุผล ตรรกะ หรือ สถานการณ์ที่มาจากนอกโลก”
การถูกคุกคามด้วยสิ่งที่ไร้ตัวตน ในหนังเขย่าขวัญ ที่ต้องเล่นกับความรู้สึกเช่นนี้ ทำให้นักแสดงและ ผู้กำกับฯ ยิ่งต้องเพิ่มความท้าทายและโอกาสในการสร้างสรรค์ ให้มาก “เราต้องใช้ทุกอย่าง ใช้ทั้งหมด ทั้งจากการแสดง บรรยากาศรอบข้างที่เบรด ได้สร้างสรรค์ขึ้นมา  ด้วยแสงเงา ด้วยจังหวะเร้า หรือ จังหวะหยุด “เธอตั้งข้อสังเกต “ เพื่อนนักแสดงร่วมของฉัน  เฮย์เดน คริสเตนเซน , จอห์น ลีกูซาโม และ จาคอป  ลาติมอร์ ทั้งหมด รวมกัน เป็นส่วนทำให้การแสดงมีพลังมากขึ้น เฮย์เดน แสดงออกถึงเนื้อแท้วิญญาณของลุค ในชีวิตจริงเขาก็เป็นคนที่ครุ่นคิดมา พอๆ กับตัวละครในเรื่อง  จอห์นมีการแสดงออกที่น่าตื่นเต้น  อากัปกริยา ของเขาได้สร้างตัวละครนี้ขึ้นมา มีชีวิตจริง  และ จาคอป ผู้ซึ่งมีชีวิตชีวา แสนจะน่ารัก และ ให้การแสดงที่จริงใจมาก เป็นความสนุกอย่างแท้จริงที่ได้อยู่ท่ามกลางพวกเขา” เธอเสริม” 
                “เราสนุกกันมากระหว่างถ่ายทำ  คุณไม่ต้องคิดเลยว่า  จะดูหนังเรื่องนี้เพราะมันเครียด ดูเข้มข้น  นี่เป็นหนังที่ดูง่าย เข้าถึงจิตใจ  เป็นหนึ่งในประสบการณ์ทำหนังที่ดีที่สุดที่ฉันเคยทำมา ทุกๆคนร่วมมือร่วมใจกันอย่างที่สุด  และมุ่งไปสู่สิ่งเดียวกัน  เราทุกคน ต่างรักหนังเรื่องนี้  รักตัวละครเหล่านี้ และ ทุ่มเทตั้งใจจะสร้างหนัง อย่างที่ผู้กำกับฯ เบรดอยากจะทำมันให้มันเป็น ”
                 จอห์น  ลีกูซาโม  นับบทเป็น พอล  พนักงานฉายหนังในโรงหนังมัลติเพล็กซ์  ผู้ซึ่งก่อนที่ไฟจะดับ  เขาใส่ใจอยู่แต่ ว่า จะขอสาวสวยไปออกเดทได้อย่างไร
“จอห์น อยู่ในฉากเปิดเรื่อง  เขาเป็นคนพาผู้ชมเข้าไปสู่เรื่องราวในหนังทั้งหมด “ รัตเทรย์ กล่าว “และแน่นอนว่า  จอห์นนำเอาอารมณ์ขันที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวออกมาใช้”
ความกระตือรือร้นของ  จอห์น  ลีกูซาโม  และ ความจริงใจ ในฐานะนักแสดง ทำให้การแสดงออกของเขามีความพิเศษอย่างไม่มีใครเหมือน  กล่าวโดย ผู้กำกับฯ เบรด แอนเดอร์สัน “ เราอยากได้ใครที่พิเศษ  สามารถสร้างตัวละครที่มีชีวิตชีวา และ จอห์น ก็นำเอาอารมณ์ขันมาใส่ในการแสดง แต่ก็ยังคงดูสมจริง และมีอารมณ์ร่วมกับเรื่องราว และ ให้พื้นหลังตัวละครได้อย่างครบถ้วน”
นักแสดง  จอห์น  ลีกูซาโม ร่วมแบ่งปันเรื่องราวปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติอันแปลกประหลาดนี้ด้วย  “หนังเรื่องนี้มีความเหมือน ฝันร้ายในหลายๆคืนของผม “  เขากล่าว “ มันเกิดขึ้นได้ สิ่งที่พอลพูดเรื่องการต่อต้านความเปลี่ยนแปลง นั่นเป็นเรื่องจริง  ที่มีผู้คนพยายามต่อต้านการทดลองจำลองหลุมดำ ที่เมืองเจนีวา   เพราะความกลัวว่า  หลุมดำเล็กๆ สร้างขึ้นนั้น  จะใหญ่พอที่จะกลืนกินโลกเราทั้งหมดไป”
จอห์น  ลีกูซาโม  เพิ่มเติมความเห็นที่เป็นสิ่งที่กังวลอยู่ในใจเขามาตลอด  “ ผมเป็นคนกังวล ประสาทหน่อยๆ นั่นก็แค่ผม  แต่ตอนนี้ มีเบรด และ โทนี่ เข้ามาเพิ่มมิติของมัน โดยเฉพาะส่วนที่ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับโลก ”
จอห์น  ลีกูซาโม เจ้าของรางวัลเอ็มมี่  และ ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงลูกโลกทองคำ เป็นที่รู้จักในฐานะ เจ้าของเสียงตัวละคร  ซิด ในเรื่อง Ice Age   จอห์น กล่าวต่อ ว่า เขาอยากจะทำงานกับแอนเดอร์สัน มาตั้งแต่ได้ดูหนัง The Machinist  ผลงาน เรื่องแรกๆ ของผู้กำกับฯคนนี้ 
      “ เบรด มีสำนึกของความสยองพองขน  และ ความบ้าอยู่ในตัว  นั่นเป็นยิ่งกว่าความสมจริง”  จอห์น ลีกูซาโม   กล่าว”  คุณไม่มีทางรู้ว่า ตอนไหนที่เขาจะเล่นงานคุณ  ในฐานะนักแสดง คุณอยู่ในหน้าที่ที่ต้องทำสิ่งพิเศษ ไม่ธรรมดา  เราต้องทุ่มทุกอย่างที่เรามีลงไป  บางครั้งคุณก็โชคดี ทำได้ดีเวลาเจอสถานการณ์เฉพาะแบบนั้น”
หนังเรื่องนี้ ยังเป็นการย้อนกลับมาร่วมงานกันระหว่าง  จอห์น ลีกูซาโม  กับ นอร์ตัน เฮอร์ริค  ผู้อำนวยการสร้าง หนังปี 2008  ที่ดัดแปลงจากละครบรอดเวย์ ของ เดวิด  มาเม็ต เรื่อง “American Buffalo,”  ซึ่ง ลีกูซาโม  แสดงนำด้วย 
“ เวลาที่คุณทำงานร่วมกับใคร  แล้วเรากลายเป็นเหมือนครอบครัวเดียวกัน  มันก็จะสนุก และ มีความสัมพันธ์กันตลอดไป”  เฮอร์ริค  กล่าวเห็นด้วย “ ทุกๆวัน ตอนที่จบงาน  เราก็รู้สึก นี่เป็นทีมที่ดี ถ้ามีโอกาส  ผมจะทำงานกับพวกเขาอีกแน่ๆ”
                สำหรับบทบาทของ เด็กน้อย  เจมส์   ทีมผู้สร้างหนัง  ออกตระเวนหา นักแสดงเด็ก วัย 12 ขวบ ผู้ซึ่งสามารถแสดงอารมณ์ ตามบทบาทได้   ทีมงานเปิดให้มีการออดิชั่น คัดเลือกนักแสดง ในหลายๆ เมืองอย่าง นิวยอร์ค , ลอส แองเจลีส , ชิคาโก้ และ แอตแลนต้า  ก่อนที่จะพบ  จาคอป  ลาติมอร์  ที่ ดีทรอย
“ นี่เป็นหนังเรื่องแรกของเขา แต่เขาเป็นนักแสดงพรสวรรค์ตัวจริงเลย”  รัตเทร์ย กล่าว  “เขารวมทีมกับนักแสดงคนอื่นๆ  ได้อย่างสมบูรณ์แบบ”
แม้ว่า จะได้ทำการออดิชั่น คัดเลือกตัวนักแสดงที่มีประสบการณ์มามากมาย  แต่แอนเดอร์สัน ก็รู้สึกได้ว่า  ลาติมอร์  มีการแสดงที่แตกต่างจากคนอื่น  และเหมาะสมบทบาทเด็ก   “ ไม่มีใครที่จะดื้อ และ หัวแข็งเท่า - เขาเป็นเด็กมีความอ่อนไหวในตัวเองจริงๆ  แล้ว  ตัวละครนี้เป็นตัวหลักของเรื่องราว  เราจำเป็นต้องได้เด็ก ที่ดู เหมือนจะเอาตัวรอดได้ และ เป็นที่ยึดเหนี่ยวของคนดูได้”
   จาคอป  ลาติมอร์  เป็นเหมือนตัวขโมยซีน ของเพื่อนๆ นักแสดง  ทั้งในสถานะ นักแสดงผู้มีความสามารถพิเศษ, เป็นนักร้อง และ นักเต้น  เขาเป็นผู้ที่ชอบแสดงออกต่อหน้ากล้องอย่างมาก   
               “ ผมอยากแสดงใหนังใหญ่เสมอ” แต่ผมจำชื่อคนไม่เก่ง  ตอนแรกๆ ผมจะเป็นแบบ  “ใครนะ เฮย์เดน คริสเตนเซน?” ,  “ใครคือ จอห์น ลีกูซาโม และ แทนดี้ นิวตัน?” แล้วพอผมก็เห็นหน้าพวกเขา  แล้วผมก็ ดีดนิ้ว  คนนั้นนี่เอง  ?  ฉันเคยดูนี่นา  ตอนนั้น เป็นความรู้สึกตื่นเต้นมาก”

happy on March 11, 2011, 01:38:55 PM


ความมืด ที่ปกคลุม ดีทรอย

                Vanishing on 7th Street  ถ่ายทำทั้งหมดในดีทรอย  มิชิแกน  เมืองที่ขึ้นชื่อด้านการผลิตรถยนต์  แต่เมื่อเศรษฐกิจตกต่ำ  ก็กลายเป็นเมืองที่มีเต็มไปด้วยบรรยากาศว่างเปล่า เยือกเย็น ทำให้น่าเชื่อสมจริงที่จะกลายเป็น ใจกลางของเมืองร้าง   แต่การได้มาถ่ายทำที่เมืองนี้  เป็นความตื่นเต้นยินดีของทีมงานทำหนัง
               “ ดีทรอย  มีบรรยากาศที่ดีเยี่ยม  ภาพลักษณ์ และ สถานที่ ก็ตรงกับสไตล์หนังอย่างที่ผมตั้งใจจะทำ”  แอนเดอร์สัน กล่าว “ เราไม่ได้สนใจว่า  มันเป็นเมืองดีทรอย  แต่มันก็แสดงตัวชัดเจนมาก  เราต้องการความเฉพาะตัวของมัน และไม่ใช่การสร้างฉากภาพจำลอง”
               “ ผมรู้เลยว่า มันจะเป็นสถานที่ดีเยี่ยม ในการถ่ายทำ หนังที่พูดเรื่องอวสานโลก”  เขากล่าว “ แล้วไม่ยากเลยที่เราจะถ่ายฉากเมืองที่ว่างเปล่าไร้ผู้คน  ไร้สิ่งมีชีวิต   เพราะบางส่วนของเมืองก็รกร้างว่างเปล่าแบบนั้น   ผมไม่ได้คาดหวังว่าจะชอบใจเมืองนี้ ขนาดนี้  นอกจากปัญหาประจำวันอื่นๆ  ในการถ่ายทำแล้ว   มันเป็นเมืองที่เปี่ยมไปด้วยวิญญาณ  เราได้ทีมงานท้องถิ่นที่ดี และทุกคนก็ให้ความร่วมมือ”
                ดีทรอย  ยังเอื้อเฟื้อให้กับทีมงานทำหนัง  หลายๆ ปัจจัยเกินกว่าจะหาได้ที่ไหน  ไม่ว่าจะถ่ายทำในสตูดิโอ หรือ สถานที่อื่นๆ ทั้งหมดเป็นเพราะ การร่วมมือร่วมใจของเมือง และ จากประชาชน เป็นกุญแจสำคัญ
               “ เบรดตกหลุมรัก เมือง ดีทรอย ด้วยปัจจัยมากมาย “  รัตเทร์ย กล่าว “ เรามีวันถ่ายทำ  23 วัน และ เมืองนี้ก็เอื้อให้อะไรเรามากมาย ให้เราได้ถ่ายทำทำสิ่งที่เราต้องการ  เป็นเมืองที่มีความสวยงามมาก และ สามารถหาสถานที่ดูย้อนกลับไปเป็นศตวรรษ  ความงามของสถาปัตยุควิคตอเรีย   แวดล้อมไปด้วย ความความเปล่าเปลี่ยว ถูกทอดทิ้ง แต่ก็มีบรรยากาศเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิดพออยู่ใกล้ๆ ที่ถ่ายทำของเรา  เราได้รับอนุญาตให้จัดไฟถ่ายทำได้ในช่วง 4 รัศมีบล็อกถนน   เพื่อสร้างมิติของเมืองที่ไฟดับไปทั่ว  พวกเขากระทั่ง ยอมให้เราปิดถนนไฮเวย์   เพื่อถ่ายภาพเมืองดีทรอยทั้งเมืองเป็นฉากหลัง  พวกเขาช่วยให้เราได้ทำหนังที่ใหญ่กว่า ทุนที่เรามีอยู่ด้วยซ้ำไป”
               การใช้เมืองใหญ่เป็นฉากหลัง ผู้กำกับฯตั้งใจจะผสมผสานเอา ทัศนียภาพของเมืองใหญ่ กับการถ่ายสิ่งเล็กๆ อย่างใกล้ชิด เพื่อเป็นความขัดแย้ง  “ วันที่เราถ่ายทำ  ฉากที่ 1-72  เป็นวันที่สนุกมาก สำหรับผม”  แดนเตอร์สัน พูด”  มันเป็นถนนเส้นหลัก เข้าออกเมืองเลย  แต่ผมไม่รู้จะอธิบายบรรยากาศวังเวงน่าขนลุกนั้นได้ยังไง เมื่อได้เห็นโฮลล์เวย์ใหญ่ขนาดนั้น แต่ว่างเปล่าไร้สิ่งมีชีวิตใดๆ เลย  มันวังเวงน่าขนลุกขนาดไหน  เรายังได้ถ่ายทำฉากใหญ่กลางคืนอีกหลายฉาก ที่ให้ความรู้สึกว่า เป็นเมืองที่ไร้ผู้คน  ความเป็นเมืองใหญ่ขัดแย้งกับสิ่งมีชีวิตเล็กๆ  ช่วยเพิ่มอารมณ์ในช่วงเวลานั้นๆ มากขึ้น  อย่าง ฉากย้อนอดีตของเจมส์  ซึ่งเป็นฉากที่แสดงถึงช่วงเวลาสวยงาม  ที่มีกับแม่ของเขา “
                แม้ว่า  เมืองดีทรอย อาจจะอยู่ในช่วงตกต่ำ ในยุคปัจจุบัน  แต่สิ่งที่แทนดี้ นิวตัน เห็นอย่างชัดเจน คือ  เมืองนี้ มีชุมชนที่เปี่ยมด้วยชีวิตชีวา และ พวกเขากำลังจะฟื้นคืนชีพ  “ เมืองนี้อยู่ในภาวะตกต่ำ ในรอบหลายปีที่ผ่านมา แต่ฉันได้พบกับ ผู้คนที่มีชีวิตชีวา  มีพลังจิตวิญญาณที่เข้มแข็ง  ผู้คนที่ฉันได้รู้จักที่นี่ เป็นแบบนั้น”  เธอกล่าว “ เมืองนี้มีพลังชีวิต และ คุณก็จะรู้ว่า ความรุ่งโรจน์จะกลับมา เพราะมันเป็นวงจรธรรมดา”
               การอยู่ที่ ดีทรอย นิวตั้น ย้อยรำลึกไป เมื่อครั้งที่เธอเห็นภาพของ ลอสแองเจรีส ฮิลล์   ถูกเผาผลาญไปด้วยไฟป่า “ ภาพทิวทัศน์ที่นั่น เวลานั้นดูมืดคลึ้มไปทั่ว   แต่เพียง 2 วันต่อมา ฉันขับรถไปตามถนน ก็เริ่มเป็นสีเขียวออกมาแซม และ ยิ่งเป็นสีเขียวที่สดชื่น  เขียวกว่าที่เคยเห็นที่ไหนมา  ธรรมชาติฟื้นคืนสภาพตัวมันเอง และนั่นเป็นสิ่งที่ฉันก็รู้สึกกับเมืองดีทรอย แบบเดียวกัน” 
               “ แนวคิดนี้ล่ะ  เป็นแก่นของหนังเรื่องนิ้ด้วย ”  เธอกล่าวเสริม  “ มันเป็นเวลาอวสานของทุกสิ่ง  แต่ก็ยังสามารถกลับมาฟื้นคืน ด้วยความบริสุทธิ์ใจ และ ความหวัง   หนังเรื่องนี้ มีมุมมองพิเศษ  มากกว่าที่คุณจะคาดคิด”
               ครั้งแรกที่แอนเดอร์สัน  อ่านบท  เขาก็ตอกย้ำ ภาพความมืดตามบรรยายความของ จาสวินสกี้  ว่า  ต้องเป็นเมือง  ดีทรอย อย่างแน่นอน
“   ระหว่างอ่านบทไป ว่า  ความมืดเข้ามาครอบงำอย่างไร  และ ผู้คนหายไปสิ้นอย่างไร มันเป็นบรรยากาศที่ดึงดูดใจ “  เขากล่าว “  เมืองจึงเป็นส่วนประกอบที่สำคัญ  จำเป็นมากที่สุด  เหมือนจะเป็นประเด็นที่สร้างตัวละครเข้ามาสู่เรื่องราว   ทำให้ผมตระหนัก และ รู้วิธีที่จะเล่าเรื่องนี้ออกมาสู่ผู้ชม”
                ใช่แล้ว  การสร้างความมืดให้มีชีวิตขึ้นมา  เป็นหนึ่งในความท้าทายของหนังเรื่องนี้   “ เรามองไปที่ภาพของโคลนเลน  ขึ้นรา และวิธีที่มันขึ้นเคลือบบนก้อนหิน และวิธีที่หมึกกระจาย บนกระดาษ “ แอนเดอร์สัน  พูด “ เราใช้ไอเดียในการสร้างรูปแบบของความมืด   วิธีใช้เงามืด และ กำหนดการเคลื่อนไหวของมันขึ้นมา”
น่าขันที่  ทีมทำหนังพบว่า  เทคนิคพิเศษส่วนใหญ่ของหนัง  ทุ่มไปใช้ในการสร้างความมืดให้ปกคลุมไปทั่วฉากที่ถ่ายทำ  ที่เต็มไปแสงไฟ
               “ ผู้กำกับภาพของเรา อูเต้  บริสเซวิตซ์   เธอใช้ประโยชน์จากการจัดแสงที่ชาญฉลาด กับ ประสบการณ์เพื่อสร้างโลกที่ครอบงำด้วยความมืดอย่างแท้จริง”  ผู้กำกับฯ แอนเดอร์สันกล่าว  ” แสงสว่างสร้างขึ้นมาได้จากเงา และ พื้นที่มืดๆ  และเราก็ไปย้ายตำแหน่งไฟ ในช่วงงานโพสโปรดักชั่น เราสร้างหลายๆ เฟรมในหนังให้เป็น ฉากค่ำคืนที่มีแสงจันทร์สาดส่อง  ในตัวหนังที่เสร็จสมบูรณ์แล้ว แสงไฟแหล่งเดียวที่เราเห็น  เป็นแสงแฟรช วอมแวม และ ไฟฉาย  แสงและความมืด กลายเป็นกุญแจสำคัญ ของฉาก และ ที่เหลือก็เป็นการเคลื่อนไปของความมืด”
               แอนเดอร์สัน ยังควบคุมไปถึงเสียง ที่จะทำให้ความมืดนั้นทวีความน่ากลัวมากยิ่งขึ้น “  ไม่ใช่แค่ภาพลักษณ์  แต่เป็นความรู้สึกว่า มีอะไรอยู่ข้างนอกนั้นด้วย ”  แอนเดอร์สัน กล่าว “ เราประดิษศ  เสียงที่คล้ายเสียงเด็กร้องอยู่ 90 %   ซึ่งทำให้ได้เสียงที่น่ากลัว ให้ความรู้สึกคล้ายผี  ผมอยากให้มันคล้ายเสียงโอดครวญ  หรือ  ครวญครางของวิญญาณของผู้คนที่สูญหายไป  แต่ยังวนเวียนอยู่ในความมืดนั้น  เมื่อผ่านกระบวนการทำหนังทั้งหมด  มันให้ความรู้สึกสมจริงมาก และ น่ากลัวมากขึ้น”
ผลที่ออกมาของหนังเรื่องนี้ ได้ความพิเศษไม่เหมือนใคร   ตามที่นักแสดงคนสำคัญกล่าว “  สิ่งที่เบรด และ โทนี่ เขียนไว้ในบทหนังมันวิเศษเหลือเชื่อ”  คำกล่าวของ จอห์น ลีกูซาโม “ นี่เป็นทีมงานที่เขย่าขวัญ หลอนประสาทผมได้เลย  มันไม่เหมือนใคร   หนังเรื่องนี้  ที่คุณคิดว่า อะไรจะเกิดขึ้น  แต่มันให้ความรู้สึกเหนือชั้น ด้วยข้อเท็จจริงว่า  มันเป็นความกลัวของคุณเอง ที่ทำให้คุณกลัวมากที่สุด    เมื่อผมอ่านบท  ผมกลัวแม้จะอยู่ในบ้านตัวเอง  ผมรอไม่ไหวที่จะเห็นหนังเขย่าขวัญเรื่องนี้ ออกฉายในโรงใหญ่เลยนะนี่”