พีทีที อินเตอร์เนชั่นแนล ชี้แจงข้อมูลการลงทุนโครงการท่อก๊าซอียิปต์
นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองกรรมการผู้จัดการด้านพัฒนาธุรกิจบริษัท พีทีที อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เปิดเผยถึงกรณีที่มีการนำเสนอข่าวการลงทุนในโครงการท่อก๊าซอียิปต์โดยผ่าน พีทีที อินเตอร์ฯ ว่า ปตท. ณ ขณะนั้นได้ใช้เวลาในการศึกษาข้อมูลการลงทุนนานกว่า 8 เดือนเพื่อศึกษาปัจจัยในด้านต่างๆ รวมถึงอุปสงค์และอุปทานของก๊าซ ศักยภาพในการขยายตลาดในอนาคต การส่งเสริมธุรกิจของ ปตท. สผ. ในกรณีที่สามารถพัฒนาแหล่งก๊าซได้เพิ่มเติม อีกทั้งได้วิเคราะห์ความเป็นไปได้ทางเทคนิค ความเสี่ยงเชิงนโยบายระหว่างประเทศ และความเสี่ยงด้านอื่นๆ และเห็นว่าเป็นโครงการที่เหมาะสม
สำหรับ บริษัท East Mediterranean Gas (EMG) นั้น เป็นบริษัทดำเนินธุรกิจท่อส่งก๊าซธรรมชาติ ก่อตั้งขึ้นภายใต้สนธิสัญญาสันติภาพ และภายใต้ MOU เรื่องการซื้อและการลำเลียงก๊าซผ่านระบบท่อระหว่างรัฐบาลอียิปต์และรัฐบาลอิสราเอล โดย EMG เป็นผู้ซื้อก๊าซธรรมชาติจากอียิปต์ เพื่อขายให้โรงไฟฟ้าและอุตสาหกรรมในอิสราเอล และได้วางท่อส่งก๊าซฯ ทางทะเลความยาวประมาณ 90 ก.ม. จากเมือง Al-Arish ประเทศอียิปต์ไปยังเมือง Ashkelon ประเทศอิสราเอล
นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวว่า “เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาได้มีข่าวเกี่ยวกับเหตุระเบิดท่อก๊าซที่ Al-Arish ซึ่งในข้อเท็จจริงนั้นคือท่อของบริษัทก๊าซธรรมชาติแห่งชาติของอียิปต์ EGAS อยู่ห่างจากท่อของ EMG ประมาณ 30 กิโลเมตร อย่างไรก็ดี เพื่อความปลอดภัย EMG ได้ทำการหยุดส่งก๊าซเป็นการชั่วคราวในระหว่างที่ EGAS ปิดระบบเพื่อทำการซ่อมแซม ซึ่งเมื่อการซ่อมแซมของ EGAS ดำเนินการแล้วเสร็จ ทาง EMG ก็จะทำการเพิ่มปริมาณจัดส่งก๊าซเพื่อทดแทนปริมาณที่ขาดหายไป จึงไม่ส่งผลกระทบอย่างมีสาระสำคัญแต่อย่างใด ซึ่งคาดว่าจะสามารถเริ่มจัดส่งก๊าซได้อีกครั้งในเร็ววันนี้”
พีทีที อินเตอร์ฯ เป็นบริษัทย่อยที่ ปตท. ถือหุ้น 100% ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2550 โดยมีวัตถุประสงค์ในการลงทุนในต่างประเทศ เพื่อสร้างความชัดเจนให้แก่นักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ต่อโครงสร้างการลงทุนของกลุ่ม ปตท. และเพื่อเป็นหน่วยงานสำคัญในการขยายการลงทุนไปยังต่างประเทศของปตท. ในอนาคต
นายสุพัฒนพงษ์ ชี้แจงสรุปว่า พีทีที อินเตอร์ฯ เพิ่งก่อตั้งได้เพียง 3 ปี โครงการต่างๆ ที่ได้ลงทุนไปก็เริ่มมีผลกำไรเช่น EMG ก็เริ่มมีผลกำไรในปี 2553 และคาดว่าจะค่อยๆ เพิ่มขึ้นตามลักษณะของธุรกิจประเภทนี้ นายสุพัฒนพงษ์กล่าวเสริมว่า “สำหรับผลประกอบการของ พีทีที อินเตอร์ฯ ในปี 2553 นั้นขาดทุนประมาณ 2,500 ล้านบาท เนื่องมาจากภาระดอกเบี้ยที่ชำระให้กับ ปตท. และผลของค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นประมาณ 10% ในช่วงปีที่ผ่านมา ซึ่งปัจจุบันได้มีมาตรการรองรับความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนในอนาคตเป็นที่เรียบร้อย”