Gmail on February 08, 2011, 06:23:40 PM
GBX ผนึก บริษัทลูกGBS รุก cross selling ดันรายได้เพิ่ม

GBXผนึกกำลัง บริษัทลูก GBS รุกธุรกิจปี54 ป้อนลูกค้าในเครือ โกลเบล็ก ครบวงจร พร้อมทำcross selling ผลิตภัณฑ์ทางการเงินร่วมกัน ทั้งลูกค้าทองคำแท่ง- หุ้น –โกลด์ฟิวเจอร์ส ดันเป้ายอดขายโฮลดิ้ง 1.2 หมื่นล้านบาท ส่วนธุรกิจหลักทรัพย์ ตั้งเป้ารายได้ 764.63 ล้านบาท ปั้นส่วนแบ่งธุรกิจค้าหุ้น โต 4.76 % ส่วน TFEX โต 13%
นายภาคภูมิ ภาคย์วิศาล กรรมการผู้จัดการ บริษัท โกลเบล็ก โฮลดิ้ง แมนเนจเม้นท์ จำกัด(มหาชน) หรือ GBX เปิดเผยว่า ทิศทางการดำเนินธุรกิจของ บริษัท โกลเบล็ก โฮลดิ้งฯ ในปี 2554 จะเน้นการขยายสินค้า และการให้บริการใหม่ๆแก่ลูกค้า พร้อมทั้งพัฒนาบริการต่างๆที่มีอยู่ในปัจจุบันให้ดีขึ้น ควบคู่ไปกับการขยายฐานลูกค้า และการกระตุ้นยอดขายสินค้าทองคำแท่ง ซึ่งเป็นสินค้าหลักของทางบริษัทฯ
 
สำหรับสินค้าและบริการใหม่ๆที่บริษัทฯ มีแผนจะเริ่มในปีนี้ คือ การเพิ่มสินค้าที่เป็น “เงินแท่ง” (Silver Bar) เพื่อเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการลงทุนแก่ลูกค้า นอกเหนือจากการลงทุนในทองคำแท่งในปัจจุบัน ซึ่งที่ผ่านมาราคาของ Silver ในตลาดโลก มีแนวโน้มเป็นขาขึ้นเช่นเดียวกับราคาทองคำ โดยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา การลงทุนใน Silver ให้ผลตอบแทนสูงมากถึง 49% ในปี2552 และ 83% ในปี2553 ในขณะที่ราคาทองคำโลกนั้นได้รับผลตอบแทน 25% ในปี2552 และ 29% ในปี2553
 
“ การเพิ่มผลิตภัณฑ์ที่เป็นเงินแท่ง(Silver Bar)น่าจะเป็นการเปิดโอกาสในการสร้างผลตอบแทนให้แก่ลูกค้าของทางบริษัทฯได้เป็นอย่างดี และยังเป็นการสอดรับกับกระแสของ Silver Futures ที่ทางตลาด TFEX จะนำมาทำการซื้อขายในช่วงประมาณไตรมาส2/2554ด้วย โดยมีแผนที่จะเปิดตัวสินค้าเงินแท่งในช่วงปลายไตรมาส1/2554 หรือไตรมาส2/2554 ” นายภาคภูมิ กล่าว

ส่วนเวลาทำการซื้อขายทองคำแท่ง และเงินแท่ง นั้น บริษัทฯมีแผนขยายเวลาทำการซื้อขายไปจนถึงเวลาเที่ยงคืน(Midnight Trade)ในช่วงประมาณไตรมาส2/2554 เพื่อให้สอดคล้องกับการที่ทางตลาด TFEX ในการเพิ่มเวลาการซื้อขาย Gold Futures ในช่วงเวลา 18.30-22.30 น. ซึ่งเชื่อว่าการขยายเวลาทำการซื้อขาย จะช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไรให้กับลูกค้า และยังสามารถป้องกันความเสี่ยงกรณีที่ราคาทองคำในตลาดโลกมีการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว และผันผวนในเวลากลางคืน
 
นอกจากนี้ นายภาคภูมิ ยังได้กล่าวถึงความร่วมระหว่างบริษัทฯกับบริษัทหลักทรัพย์โกลเบล็ก(ซึ่งเป็นบริษัทลูก)ว่า ปัจจุบันได้มีการทำ Cross Selling ผลิตภัณฑ์ทางการลงทุนร่วมกัน อาทิ Gold Futures , Silver Futures ฯลฯ รวมถึงการแชร์ฐานลูกค้าร่วมกัน เพื่อประโยชน์ด้านการลงทุนที่ครบวงจรแก่ลูกค้าในเครือ โกลเบล็ก กรุ๊ป
 
“ ในปีนี้บริษัทฯมีแผนที่จะออกแคมเปญต่างๆร่วมกัน อาทิ การทำ Co-Promotion โดยขณะนี้เรามีการแจกทองคำเป็นของที่ระลึกสำหรับลูกค้าที่มีการทำ Arbitrage ระหว่างทองคำแท่ง และ Gold Futures ผ่านทางโกลเบล็ก ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ” นายภาคภูมิ กล่าว
 
อย่างไรก็ตาม สำหรับประมาณรายได้ในปีนี้ บริษัทฯตั้งเป้ายอดขายโกลเบล็ก โฮลดิ้ง ขั้นต่ำไว้ประมาณ 12,000 ล้านบาท โดยมีการขยายฐานลูกค้าขึ้นมาอยู่ขั้นต่ำที่ 2,300 คน โดยบริษัทฯจะใช้กลยุทธ์การขยายฐานลูกค้า โดยเฉพาะกลุ่มนักลงทุนทั่วไป และกลุ่มร้านค้าปลีกทองคำ รวมถึงการออกสินค้าใหม่ๆที่มีความแตกต่างจากคู่แข่ง , การพัฒนาบริการและการออกแคมเปญ เพื่อกระตุ้นยอดขาย , การพัฒนาบทวิเคราะห์ราคาทองคำให้มีความแม่นยำ และการบริหารต้นทุนสินค้า เพื่อรักษา Margin การขายให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
 
ด้าน นายชนะชัย จุลจิราภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด (GBS) เปิดเผยว่า แผนการดำเนินงานทางด้านธุรกิจหลักทรัพย์ปี54 ยังคงเน้นการขยายฐานลูกค้าใหม่ พร้อมทั้งจะยังคงรักษาฐานลูกค้าเดิมไว้ และจะมีการจัดกิจกรรมการด้านการตลาด และโปรโมชั่น ทั้งหุ้นและอนุพันธ์ออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทฯตั้งเป้าส่วนแบ่งการตลาด (มาร์เก็ตแชร์) ในธุรกิจซื้อขายหุ้นที่ 4.76% โดยตั้งเป้าจำนวน บัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ เพิ่มเป็น 14,000 บัญชี ซึ่งคาดว่า จะมีบัญชีเคลื่อนไหว เฉลี่ย 4,200 บัญชี หรือคิดเป็น 30% ของบัญชีลูกค้าทั้งหมด จากปัจจุบัน 11,567 บัญชี

ขณะที่มาร์เก็ตแชร์ ด้านตลาดอนุพันธ์ คาดว่าจะอยู่ที่ 13% และตั้งเป้าจำนวนลูกค้า เพิ่มเป็น 2,500 ราย โดยคาดว่า จะมีบัญชีเคลื่อนไหว 700 ราย คิดเป็น 28% จากปัจจุบันมีฐานลูกค้าอยู่ที่ 1,900 ราย
 
สำหรับภาพรวมตลาดหุ้นในปีนี้ นายชนะชัย กล่าวว่า ในเบื้องต้นคาดว่าจะมีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ย 29,000 ล้านบาทต่อวัน ส่วนตลาดอนุพันธ์ คาดว่าจะมีปริมาณการซื้อขาย 22,000 สัญญาต่อวัน พร้อมทั้งได้ประมาณการรายได้รวมของบริษัทหลักทรัพย์ ในปี2554ที่ 764.63 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นสัดส่วนรายได้จาก ธุรกิจ นายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ 527.56 ล้านบาท คิดเป็น69% , รายได้จากนายหน้าตลาดอนุพันธ์ 79.52 ล้านบาท หรือเป็น 10% , รายได้จากดอกเบี้ยบัญชีมาร์จิ้น 30.25 ล้านบาท หรือคิดเป็น4% , รายได้จากด้านวาณิชธนกิจ 7.30 ล้านบาท หรือคิดเป็น 1% และรายได้จากกำไรค่าตราสารทุนและอนุพันธ์ 120 ล้าบาท หรือคิดเป็น 16%