คณะผู้แทนการค้าไทยชูผลงาน 2 ปี สร้างเม็ดเงินเข้าประเทศ 100,000 ล้านบาท
ประธานผู้แทนการค้าไทยนำทีมภาคเอกชน เผยผลสรุปการดำเนินงาน 2 ปี บรรลุเป้าหมายในการบุกตลาดใหม่ขยายฐานการค้า สร้างเม็ดเงินเข้าประเทศกว่า 100,000 ล้านบาท ระบุอุตสาหกรรมไทยมีศักยภาพ แนวโน้มการขยายตัวสูง และเป็นที่รู้จักดีในต่างประเทศ เดินหน้าจัดทำแผนยุทธศาสตร์การค้าการลงทุน 3 ปีในแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรมหลัก เพื่อใช้เป็นกรอบเดินหน้าแสวงหาความร่วมมือทางการธุรกิจและโอกาสในการลงทุนต่อเนื่อง ควบคู่การจัดทำโครงการกระตุ้นความต้องการสินค้าไทยในตลาดเป้าหมาย มั่นใจสามารถสร้างความแตกต่างของสินค้าและทำให้เกิดการซื้อสินค้าไทยมากขึ้นได้แน่นอน
นายเกียรติ สิทธีอมร ประธานผู้แทนการค้าไทย สำนักงานผู้แทนการค้าไทย เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานในช่วงระยะเวลาเกือบสองปี (6 พฤษภาคม 2552 - 31 ธันวาคม 2553) ที่ผ่านมาว่า คณะผู้แทนการค้าได้ปฏิบัติภารกิจที่ได้รับมอบหมาย ภายใต้นโยบายและยุทธศาสตร์ด้านการค้าและการลงทุน และความร่วมมือด้านเศรษฐกิจกับประเทศต่างๆ อย่างต่อเนื่อง โดยถือเป็นพันธกิจสำคัญในการเป็นกลไกประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อเสริมสร้างความเป็นเอกภาพตลอดจนความมั่นคงทางการค้าระหว่างประเทศ โดยการจัดโครงการต่างๆ
ภายใต้การขับเคลื่อนของคณะผู้แทนการค้าไทยในการแสวงหาโอกาสเพื่อเปิดตลาดใหม่อย่างต่อเนื่อง สามารถสร้างเม็ดเงินเข้าประเทศได้กว่า 100,000 ล้านบาท จากโครงการต่างๆ เช่น โครงการจัดตั้งศูนย์กระจายสินค้าไทยและคลังสำรองอาหารในบาห์เรน เพื่อเปิดตลาดสินค้าไทยสู่ประเทศกลุ่มอ่าวอาหรับ (GCC) โครงการจัดตั้งศูนย์ค้าส่งอะไหล่และศูนย์บริการซ่อมรถยนต์ในสหรัฐอเมริกา โครงการอุตสาหกรรมไทยเข้มแข็ง โครงการอาหารไทยสำเร็จรูป: ตรงสู่ผู้บริโภคทั่วโลก การเจรจาการชดเชยการขยายเวลาการลดภาษีข้าวภายใต้ข้อตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียนกับฟิลิปปินส์ รวมถึงการส่งเสริมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยไปขยายตลาดในต่างประเทศ
ทั้งส่วนของโครงการก่อสร้างบ้านพักที่อยู่อาศัย โครงการก่อสร้างสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานประเภทต่างๆ ตลอดจนโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ประเภทสนามบิน นับเป็นอุตสาหกรรมหนึ่งที่ได้รับความสนใจจากตลาดต่างประเทศและมีอัตราการเติบโตสูงเป็นอย่างยิ่ง
“คณะผู้แทนการค้าได้จัดคณะเดินทางร่วมกับหน่วยงานรัฐและภาคเอกชนเพื่อบุกตลาดต่างๆ เช่น สหรัฐอเมริกาและแคนาดา กลุ่มประเทศในสหภาพยุโรป ลาตินอเมริกา อาเซียน และประเทศในเอเชีย เพื่อขยายความร่วมมือและสนับสนุนส่งเสริมด้านการค้าและการลงทุนระหว่างกันอย่างจริงจังต่อเนื่อง และมีส่วนร่วมกำหนดยุทธศาสตร์ การค้าและการลงทุน รวมถึงการเสนอแนะมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรีการค้าอีกด้วย” นายเกียรติ กล่าว
อย่างไรก็ตาม แม้คณะผู้แทนการค้าไทยจะมุ่งแสวงหาโอกาสในการลงทุนและขยายตลาดใหม่อย่างต่อเนื่อง แต่ก็ไม่ได้มองข้ามการแก้ไขปัญหาอุปสรรคการค้าและการลงทุนของบริษัทไทยและต่างประเทศ โดยได้ดำเนินการผ่านคณะกรรมการที่ปรึกษาด้านการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ เพื่อแก้ไขอุปสรรคต่อการทำธุรกิจการค้าและการลงทุนในไทย ประกอบด้วยหอการค้าต่างประเทศในไทย และหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นช่องทางรับฟังปัญหาและอุปสรรคที่เกิดจากการทำธุรกิจในประเทศไทยของบริษัทต่างชาติ และหาแนวทางแก้ไข ประเด็นอุปสรรคสำคัญซึ่งได้รับการแก้ไขแล้ว ได้แก่ การออกวีซ่าใบอนุญาตทำงานให้คนต่างชาติ การปรับปรุงพรบ.ศุลกากร ภาษีสรรพสามิต และการปรับปรุงหลักเกณฑ์การเป็นเจ้าของทรัพย์สินในไทย รวมถึงการแก้ไขปัญหาข้อร้องเรียนของบริษัทต่างชาติและเอกชนไทยผ่านเวทีต่างๆ ควบคู่กับการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์นโยบายของรัฐบาลและส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศไทย ซึ่งจะก่อให้เกิดความเชื่อมั่นกับทั้งภาคธุรกิจในประเทศและต่างประเทศ
จากความสำเร็จในการขยายตลาดการลงทุนและผลักดันโครงการที่ได้ดำเนินการอยู่ให้มีความก้าวหน้าอย่างเป็นรูปธรรม และให้การดำเนินงานในอนาคตมีความต่อเนื่อง ประธานผู้แทนการค้าไทยกล่าวว่า คณะผู้แทนการค้าไทยจึงได้จัดทำยุทธศาสตร์การค้าการลงทุนของไทย ซึ่งเป็นกรอบการดำเนินงาน 3 ปี เพื่อใช้เป็นแนวทางในการกำหนด นโยบายด้านการค้าการลงทุนระหว่างประเทศ และเสริมสร้างศักยภาพของสินค้าไทยในการแข่งขันในตลาดโลก ตลอดจนวางแนวทางในการเจรจาเขตการค้าเสรีและร่วมพิจารณาท่าทีของประเทศไทยในการเจรจาเขตการค้าเสรีไทย-สหภาพยุโรป ไทย-เอฟตา ซึ่งจะให้ความสำคัญกับการบุกตลาดใหม่ในกลุ่มประเทศแอฟริกาและลาตินอเมริกา โดยตั้งเป้าในการสร้างเม็ดเงินจาการลงทุนไว้ที่ 30,000 ล้านบาท ภายใน 3 ปี
“สำหรับตลาดใหญ่อย่างประเทศจีน เราก็ไม่ได้มองข้าม แต่จะมุ่งพัฒนาความสัมพันธ์ไปในระดับมณฑล ซึ่งจะนำไปสู่การเปิดช่องทางการค้าการลงทุนใหม่ และการส่งเสริมอุตสาหกรรมก่อสร้างในประเทศเป้าหมาย เช่น เวียดนาม บรูไน อินเดีย กาตาร์ ลิเบีย บาห์เรน ศรีลังกา บังกลาเทศ เพิ่มเติมได้รวดเร็วยิ่งขึ้น” นายเกียรติกล่าว