news on January 25, 2011, 06:05:44 PM
KTAM เปิดขาย2กองทุนตราสารหนี้ ชูผลตอบแทน6เดือนรับ2.10%ต่อปี

                  นายสมชัย   บุญนำศิริ     กรรมการผู้จัดการ   บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน )   เปิดเผยว่า      บริษัทอยู่ในระหว่างการเปิดจำหน่ายกองทุนเปิดกรุงไทยธนทรัพย์ เอ  6 เดือน 4   (KTSUPA6M4 )    ระหว่างวันที่ 26 มกราคม  - 1 กุมภาพันธ์  2554   อายุ 6 เดือน มูลค่าโครงการ  1,500 ล้านบาท  เงินลงทุนขั้นต่ำ 10,000  บาท  โดยกองทุนนี้จะลงทุนในเงินฝากของ HSBC Bank Middle East Ltd. (F1+ โดย Fitch) ซึ่งเป็นธนาคารในกลุ่ม HSBC Holding Plc. ดำเนินธุรกิจธนาคารพาณิชย์เต็มรูปแบบ โดยมีฐานธุรกิจในตะวันออกกลาง  สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์  นอกจากนี้  กองทุนจะลงทุนในเงินฝากและตราสารการเงินระยะสั้นของธนาคารนครหลวงไทย (F1 (tha) โดย Fitch)   ธนาคารดอยซ์แบงค์ (F1+ (tha) โดย Fitch)  บมจ. จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก (A+ โดย TRIS)  และ บมจ.บัตรกรุงไทย (BBB+ โดย TRIS)   ผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนประมาณการที่ 2.10%ต่อปี    และเงินลงทุนในต่างประเทศจะมีการทำสัญญาป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน

                  นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ในระหว่างการเปิดจำหน่ายกองทุนเปิดกรุงไทยประจำ3 เดือน คุ้มครองเงินต้น 2 ( KTFIX3M2 )  ระหว่างวันที่ 24-28 มกราคม 2554    อายุ 3 เดือน มูลค่าโครงการ  5,000 ล้านบาท   เงินลงทุนขั้นต่ำ 10,000 บาท  โดยกองทุนจะลงทุนในพันธบัตรภาครัฐในประเทศ  70%    และลงทุนในเงินฝาก 30%  ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน  ผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนประมาณการที่ 1.75% ต่อปี                 

                 นายสมชัย    กล่าวต่อไปว่า    อัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ภาครัฐระยะสั้นในประเทศทรงตัวใกล้เคียงกับสัปดาห์ก่อนหน้า โดยตราสารรุ่นอายุ 6 เดือน มีอัตราเสนอซื้อขายประมาณ 2.25-2.30% p.a. แม้ว่าตลาดการเงินส่วนใหญ่จะคาดว่าแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะยังอยู่ในช่วงขาขึ้น  แต่เนื่องจากสภาพคล่องทางการเงินยังมีอยู่สูง  การปรับพอร์ตของนักลงทุนที่มาเน้นถือครองตราสารระยะสั้นเพิ่มขึ้น รวมถึงเงินลงทุนจากต่างประเทศที่ทยอยครบกำหนดทำให้ความต้องการลงทุนในตราสารรุ่นอายุต่ำกว่า 1 ปี ยังมีอยู่ค่อนข้างสูง

                   ส่วนภาวะการลงทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ  อัตราผลตอบแทนของตราสารระยะสั้นในรูปสกุลดอลล่าร์สหรัฐฯ ยังคงอยู่ในระดับต่ำ   เนื่องจากค่าดอลล่าร์สหรัฐฯ มีแนวโน้มแข็งค่าจากตัวเลขเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้น   ทำให้มีแรงขายหุ้นเพื่อทำกำไรในภูมิภาค  เพื่อนำเงินออกนอกประเทศ  ส่งผลให้ค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าต่อเนื่อง และอัตราแลกเปลี่ยนล่วงหน้าก็อ่อนค่าเพิ่มขึ้นเช่นกัน  ผลดังกล่าวทำให้ผลตอบแทนการลงทุนในตราสารต่างประเทศเมื่อมีการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนกลับเป็นสกุลเงินบาทปรับตัวเพิ่มขึ้น   จึงนับว่าเป็นโอกาสที่ดีสำหรับการลงทุนในกองทุนที่กำหนดอายุโครงการ เพื่อล็อคผลตอบแทนไว้