KTAM เปิดขาย2กองทุนตราสารหนี้ ชูผลตอบแทน6เดือนรับ2.10%ต่อปี
นายสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน ) เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ในระหว่างการเปิดจำหน่ายกองทุนเปิดกรุงไทยธนทรัพย์ เอ 6 เดือน 4 (KTSUPA6M4 ) ระหว่างวันที่ 26 มกราคม - 1 กุมภาพันธ์ 2554 อายุ 6 เดือน มูลค่าโครงการ 1,500 ล้านบาท เงินลงทุนขั้นต่ำ 10,000 บาท โดยกองทุนนี้จะลงทุนในเงินฝากของ HSBC Bank Middle East Ltd. (F1+ โดย Fitch) ซึ่งเป็นธนาคารในกลุ่ม HSBC Holding Plc. ดำเนินธุรกิจธนาคารพาณิชย์เต็มรูปแบบ โดยมีฐานธุรกิจในตะวันออกกลาง สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ นอกจากนี้ กองทุนจะลงทุนในเงินฝากและตราสารการเงินระยะสั้นของธนาคารนครหลวงไทย (F1 (tha) โดย Fitch) ธนาคารดอยซ์แบงค์ (F1+ (tha) โดย Fitch) บมจ. จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก (A+ โดย TRIS) และ บมจ.บัตรกรุงไทย (BBB+ โดย TRIS) ผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนประมาณการที่ 2.10%ต่อปี และเงินลงทุนในต่างประเทศจะมีการทำสัญญาป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน
นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ในระหว่างการเปิดจำหน่ายกองทุนเปิดกรุงไทยประจำ3 เดือน คุ้มครองเงินต้น 2 ( KTFIX3M2 ) ระหว่างวันที่ 24-28 มกราคม 2554 อายุ 3 เดือน มูลค่าโครงการ 5,000 ล้านบาท เงินลงทุนขั้นต่ำ 10,000 บาท โดยกองทุนจะลงทุนในพันธบัตรภาครัฐในประเทศ 70% และลงทุนในเงินฝาก 30% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนประมาณการที่ 1.75% ต่อปี
นายสมชัย กล่าวต่อไปว่า อัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ภาครัฐระยะสั้นในประเทศทรงตัวใกล้เคียงกับสัปดาห์ก่อนหน้า โดยตราสารรุ่นอายุ 6 เดือน มีอัตราเสนอซื้อขายประมาณ 2.25-2.30% p.a. แม้ว่าตลาดการเงินส่วนใหญ่จะคาดว่าแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะยังอยู่ในช่วงขาขึ้น แต่เนื่องจากสภาพคล่องทางการเงินยังมีอยู่สูง การปรับพอร์ตของนักลงทุนที่มาเน้นถือครองตราสารระยะสั้นเพิ่มขึ้น รวมถึงเงินลงทุนจากต่างประเทศที่ทยอยครบกำหนดทำให้ความต้องการลงทุนในตราสารรุ่นอายุต่ำกว่า 1 ปี ยังมีอยู่ค่อนข้างสูง
ส่วนภาวะการลงทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ อัตราผลตอบแทนของตราสารระยะสั้นในรูปสกุลดอลล่าร์สหรัฐฯ ยังคงอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากค่าดอลล่าร์สหรัฐฯ มีแนวโน้มแข็งค่าจากตัวเลขเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้น ทำให้มีแรงขายหุ้นเพื่อทำกำไรในภูมิภาค เพื่อนำเงินออกนอกประเทศ ส่งผลให้ค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าต่อเนื่อง และอัตราแลกเปลี่ยนล่วงหน้าก็อ่อนค่าเพิ่มขึ้นเช่นกัน ผลดังกล่าวทำให้ผลตอบแทนการลงทุนในตราสารต่างประเทศเมื่อมีการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนกลับเป็นสกุลเงินบาทปรับตัวเพิ่มขึ้น จึงนับว่าเป็นโอกาสที่ดีสำหรับการลงทุนในกองทุนที่กำหนดอายุโครงการ เพื่อล็อคผลตอบแทนไว้