บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด กล่าววันนี้ว่า อันดับเครดิตองค์กรและตราสารหนี้ของ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (ทรู) ยังไม่ได้รับผลกระทบในทันทีจากการที่บริษัทได้ประกาศแผนขยายธุรกิจให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ด้วยการซื้อหุ้นในบริษัทย่อยจากกลุ่มฮัทชิสัน
ทั้งนี้ ทรูได้ออกประกาศเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2553 โดยระบุว่าบริษัทได้ลงนามในสัญญาซื้อขายหุ้นเพื่อการซื้อธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ของฮัทช์ด้วยการซื้อหุ้นในบริษัท 4 แห่ง ได้แก่ บริษัท ฮัทชิสัน ไวร์เลส มัลติมีเดีย โฮลดิ้งส์ จำกัด บริษัท บีเอฟเคที (ประเทศไทย) จำกัด (BFKT) Rosy Legend Ltd. และ Prospect Gain Ltd. การซื้อธุรกิจดังกล่าวประกอบไปด้วยการซื้อหุ้นมูลค่า 4.35 ล้านบาทและการชำระคืนหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ของบริษัทที่ทรูซื้อกิจการมูลค่าไม่เกิน 6,300 ล้านบาท
โดยแหล่งเงินทุนจะเป็นเงินกู้จากธนาคารพาณิชย์ ภายหลังจากการทำธุรกรรมดังกล่าว BFKT จะยังคงเป็นผู้ให้เช่าอุปกรณ์โครงข่ายแก่ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) (กสท) ในขณะที่บริษัทย่อยของทรูจะเป็นผู้ให้บริการขายต่อบริการและความจุโครงข่ายที่ซื้อมาจาก กสท ในมุมมองด้านอันดับเครดิตนั้น ทริสเรทติ้งกล่าวว่าการซื้อธุรกิจดังกล่าวน่าจะช่วยต่อยอดธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ของทรูมูฟหลังจากสัมปทานหมดอายุลงและจะเสริมความแข็งแกร่งด้านความสามารถในการให้บริการข้อมูลจากการมีความกว้างของคลื่นความถี่ (Bandwidth) ที่เพิ่มขึ้นอีก 10MHz ในคลื่นความถี่ย่าน 850MHz ในขณะเดียวกัน การที่ทรูมูฟมีโครงสร้างธุรกิจที่เหมาะสมหลังจากสัมปทานหมดอายุก็น่าจะช่วยลดแรงกดดันในการหาแหล่งเงินกู้เพื่อนำมาใช้ชำระคืนหนี้ในปี 2555-2556
อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งกล่าวว่า การซื้อธุรกิจดังกล่าวก็จะก่อให้เกิดความเสี่ยงในระดับหนึ่งด้วยเช่นกัน แม้ว่าขณะนี้ทริสเรทติ้งยังไม่มีข้อมูลที่ครบถ้วนเกี่ยวกับเงื่อนไขของแผนการซื้อธุรกิจในครั้งนี้ อีกทั้งแผนการซื้อหุ้นดังกล่าวก็ยังมีความไม่ชัดเจนอีกหลายประการ แต่ทริสเรทติ้งก็คาดว่าทรูจะซื้อธุรกิจดังกล่าวภายใต้กรอบกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนเพื่อลดปัญหาข้อโต้แย้งที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังมีความกังวลในด้านการลงทุนขยายโครงข่ายของทรูเพื่อสร้างความแตกต่างด้านความสามารถในการให้บริการเนื่องจากทรูมีฐานะการเงินที่อ่อนแอและไม่สามารถเพิ่มภาระหนี้อย่างมีนัยสำคัญได้หากการลงทุนดังกล่าวไม่สามารถสร้างกระแสเงินสดที่ชัดเจนและเหมาะสมในอนาคต
ในระหว่างนี้ทริสเรทติ้งจะติดตามความคืบหน้าในการซื้อธุรกิจของทรูอย่างใกล้ชิดและจะประเมินผลกระทบที่จะเกิดต่ออันดับเครดิตของบริษัททันทีเมื่อมีข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับความชัดเจนด้านกฎระเบียบ รูปแบบของสัญญาเช่าโครงข่ายและสัญญาขายต่อบริการ รวมทั้งรายละเอียดของสัญญาเงินกู้
ปัจจุบันทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ให้แก่ทรูที่ระดับ “BBB” ด้วยแนวโน้ม “Negative” หรือ “ลบ”