นักแสดงของ THE WARRIOR’S WAY
แจง ดองกัน ผู้รับบท หยาง นักดาบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกและเป็นศูนย์กลางของ The Warrior’s Way อาจยังไม่เป็นที่รู้จักดีนักในสหรัฐอเมริกา แต่เขาคือซูเปอร์สตาร์เอเชียตัวจริงเสียงจริงคนหนึ่ง แจงเคยรับบทใน Friend หนังเกาหลีที่กอบโกยรายได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์และได้รับคำชมอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะกับฝีมือการแสดงของเขา และหลังจากนั้นก็สั่งสมกองทัพสาวกผู้นิยมชมชอบเรื่อยมา “ในเกาหลี ญี่ปุ่น และจีน เขาเทียบได้กับ จอห์นนี เดปป์ หรือ แบรด พิตต์ เลยทีเดียว” ไมเคิล พีย์เซอร์ บอก “เราโชคดีมากที่เขายอมแสดงในหนังเรื่องนี้ เขาสละเวลาเพื่อเราเกือบสองปีในการเตรียมพร้อมสำหรับบทนี้”
แจงต้องปฏิเสธข้อเสนอจากเรื่องอื่นๆ มากมายเพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งใน The Warrior’s Way “ถึงจะดังคับฟ้า แต่ แจง ดองกัน ก็ยังเป็นนักแสดงที่อ่อนน้อมถ่อมตนและสุภาพเรียบร้อย” ลี จูอิก เล่า “เขาชอบความท้าทาย และพิถีพิถันมากในการเลือกหนังให้ตัวเองแสดง แม้จะเป็นนักแสดงซึ่งเป็นที่ต้องการตัวมากที่สุดคนหนึ่งในเอเชีย แต่ก็กล้าพอที่จะไม่รับงานในโปรเจกต์ใดๆ ซ้อนกับงานแสดงใน The Warrior’s Way เขาเล็งเห็นศักยภาพและเชื่อมั่นในตัวเรามาก”
แจงเผยว่าการเดินทางจากบทมาเป็นหนังอาจจะยาวนาน แต่ท้ายที่สุดแล้วก็คุ้มที่รอ “ผมอยากเป็นส่วนหนึ่งในหนังเรื่องนี้จริงๆ ก็เลยตกปากรับคำ” เขาบอก “ผมชอบบทหนัง เพราะมันทั้งสดใหม่และท้าทาย เป็นหนังที่จับกลิ่นอายตะวันตกเดิมๆ มารวมกับมนต์ขลังแบบตะวันออก แล้วถ่ายทอดออกมาในแบบที่ทั้งสองวัฒนธรรมจะพึงพอใจ ส่วนผมเองก็พอใจกับผลงานของเรามากๆ”
ผู้คุมงานสร้าง ลี เชื่อว่าสิ่งที่นักแสดงหนุ่มลงทุนลงแรงเสี่ยงไปนั้น จะต้องได้รับผลตอบแทนงามๆ แน่นอน “เขาต้องดังเป็นพลุแตกในฮอลลีวู้ดแน่ๆ ตอนที่หนังเข้าฉายแล้ว” ลีบอก “เขาดูมีเสน่ห์น่าหลงใหลไม่น้อย ก็คงต้องปล่อยให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า เขาจะกลายเป็นดาวดังในระดับนานาชาติเทียบเท่ากับที่เขาเป็นในเอเชียได้ไหม”
กับหนังภาษาอังกฤษเรื่องแรก แจงรับบทชายหนุ่มพูดน้อย ซึ่งจะสื่อสารด้วยท่าทางเป็นหลัก “แจง ดองกัน มอบความนิ่งขรึมสะกดกลั้นให้ตัวละคร รวมถึงอารมณ์ต่างๆ ที่ทำให้เราเชื่อได้ว่าเขาเปลี่ยนจากนักฆ่าเลือดเย็นมาเป็นอีกคนที่กำลังตกหลุมรักเข้าอย่างจัง” ออสบอร์นเห็น
“ดองกันคือเสาหลักของหนังเรื่องนี้” ผู้อำนวยการสร้าง ทิม ไวท์ บอก “นี่เป็นบทบาทที่ท้าทายมาก หยางคือนักรบซึ่งอยู่ภายใต้เงื่อนไขว่าห้ามแสดงอารมณ์ใดๆ ดังนั้น คนดูอาจจะเข้าใจยากสักหน่อย แต่บอกได้เลยว่าดองกันเสน่ห์ล้นทุกฉากที่ปรากฏตัว เขาหล่อมาก และสง่างามราวกับนักบัลเล่ต์ในฉากประดาบ”
แจงบอกว่า หนังคาวบอยเรื่องแรกในชีวิตเป็นประสบการณ์ที่ตื่นเต้นและตื้นตันมาก อีกทั้งยังยอมรับนับถือในฝีมือของนักแสดงร่วมที่ทั้งมากพรสวรรค์และทุ่มเทกันเต็มที่ กระทั่งงานนี้กลายเป็นประสบการณ์ที่ลืมไม่ลง “ผมรู้สึกโชคดีมากที่มีโอกาสได้ร่วมงานกับนักแสดงเก่งๆ อย่างนั้น” แจงเล่า “ถึงจะต่างภาษาต่างวัฒนธรรมกัน แต่ผมว่านักแสดงน่ะจะเข้าใจคนอื่นๆ ด้วยหัวใจ”
เคต บอสเวิร์ธ คือนักแสดงนำหญิงที่จะประกบ แจง ดองกัน ในเรื่องนี้ โดยรับบท ลินน์ นักขว้างมีดตามงานคาร์นิวัล ผู้รอดชีวิตจากโศกนาฏกรรมไม่คาดฝัน “พลังทางการแสดงระหว่างเคตและดองกัน ทำให้ทั้งสองกลายเป็นคู่ที่มีเสน่ห์น่ามองที่สุดเท่าที่ผมเคยดูหนังมา” พีย์เซอร์เล่า “หัวใจของทั้งคู่เต็มไปด้วยความเมตตาจริงๆ นั่นแหละที่ทำให้พวกเขาพ่ายแพ้ต่อบางสิ่งในตัวตนภายในเพื่อคนอื่นๆ นี่คือหัวใจของความสัมพันธ์ที่คนดูสามารถเข้าถึง หยางและลินน์ต่างไม่เคยเตรียมรับมือกับความรู้สึกเหล่านี้มาก่อน มันใหม่สำหรับทั้งสองมาก แถมยังใสบริสุทธิ์มาก ผมว่าต้องโดนใจคนดูแน่ๆ”
ตัวละครนี้ถือว่าต่างจากที่บอสเวิร์ธแสดงมา “ไม่เหมือนบทหนังเรื่องอื่นๆ ที่ฉันเคยอ่านมาเลย” เธอเผย “และก็ฉันไม่เคยนึกถึงภาพตัวเองในบทคาวเกิร์ลนักขว้างมีดผมแดงที่มีความบ้าอยู่ในตัวมาก่อนด้วย”
แต่กระนั้น นักแสดงสาวกลับกระโจนเข้าใส่บทบาทนี้ทันที ผู้อำนวยการสร้าง ไวท์ บอกว่า “ลินน์เป็นตัวละครที่แปลกไม่ซ้ำใคร หลังจากต้องกลายเป็นเด็กกำพร้าพกพาบาดแผลในใจตั้งแต่อายุ 13 เธอก็มีแต่พวกนักแสดงปาหี่เฉพาะกิจที่ดูแปลกๆ ไม่ค่อยสมประกอบพวกนี้คอยดูแล เลยกลายเป็นพวกที่คาดเดาเอาแน่เอานอนไม่ได้เพราะเคลื่อนไปด้วยพลังความบ้า ความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้า และความไร้กฎเกณฑ์ใดๆ เคตเจตนาจะตีแผ่ความขัดแย้งและความซับซ้อนในตัวของเธอเอง เธอเป็นนักแสดงที่กล้าจริงๆ”
บอสเวิร์ธพูดถึงลินน์ว่า “เป็นตัวละครที่เหมือนเด็กๆ คือมีรักมากมายไว้มอบให้ใครๆ เธอหุนหันพลันแล่นและไร้มารยาทอย่างเหลือเชื่อ หยางเป็นนักรบก็จริง แต่เป็นนักรบที่สวมชุดเกราะแห่งอารมณ์และความรู้สึก และไม่เคยปล่อยให้ใครเข้ามาในหัวใจ ความสัมพันธ์ของทั้งสองจึงเป็นไปแบบอิงอาศัยกันและกัน คือเขาดับความร้อนในใจเธอ ในขณะที่เธอก็เปิดประตูหัวใจเขา นี่แหละที่ผลักดันให้หยางผูกพัน และพอเขาเริ่มผูกพัน ประตูหัวใจเริ่มเปิดกว้าง ความรักที่เธอมีให้เขาก็เติบโตได้ที่พอดี”
นักแสดงสาวกล่าวว่าถ้อยคำสำเนียงละมุนหูของ แจง ดองกัน นั้น ช่วยเติมเต็มความสมบูรณ์ให้สไตล์เอะอะโวยวายของเธอระหว่างเข้าฉาก “ดองกันใจดีและเป็นคนช่างคิด” บอสเวิร์ธเล่า “ฉันต้องเป็นพวกพูดจาโผงผางชัดถ้อยชัดคำเวลาอยากให้เขารู้ความคิดเห็น ส่วนเขาก็แค่นั่งอดทนฟังนิ่งๆ สักนาทีสองนาทีเท่านั้นแหละ”
อีกคนที่เสริมความแกร่งให้กล้ามเนื้อบางส่วนของหนัง คือนักแสดงระดับออสการ์ เจฟฟรีย์ รัช ผู้รับบท รอน ชายหนุ่มที่ปล่อยชีวิตไปตามยถากรรมและมีความลับดำมืดซ่อนอยู่ภายใต้รูปลักษณ์ภายนอกที่แลดูน่าขบขัน แบร์รี ออสบอร์น พูดว่างานสร้างครั้งนี้โชคดีมากที่ได้รัชมาร่วมแสดง “เขาเป็นนักแสดงชั้นเยี่ยม” ผู้คุมงานสร้างเล่าต่อ “รอนก็เหมือนหยางนั่นแหละ คือมีภูมิหลังลึกลับหลบซ่อนที่จะต้องปกปิด ซึ่งเจฟฟรีย์แสดงได้สมจริงมาก เขากลายเป็นแรงบันดาลใจให้ฉากต่างๆ และยังเป็นตัวโฆษณาหนังได้เป็นอย่างดี”
ผู้คุมงานสร้าง ไมเคิล พีย์เซอร์ เห็นว่ารัชต้องเด่นมากในบท ท่านผู้พัน “เจฟฟรีย์อ่านบทแล้วพูดว่า ‘อืม...ผมแสดงเป็นตัวร้ายได้นะ’” พีย์เซอร์ยังจำได้ “แต่ก็เพราะตั้งแต่เด็กๆ แล้วที่เขาอยากแสดงเป็นคาวบอย เราโชคดีมากที่ค้นพบ 6 ขวบที่หายไปในตัว เจฟฟรีย์ รัช ยุครุ่งโรจน์ และเขาตกลงจะแสดงเป็นรอน”
ลี ซึงมู สร้างสรรค์ตัวละครนี้ให้ฉายภาพของอะไรก็ตามที่หยางอาจจะกลายเป็นในอนาคต “รอนรู้ว่าหยางรักลินน์” ลีบอก “นอกจากนี้ยังรู้จากประสบการณ์ว่าพลังทำลายล้างในตัวผู้ชายน่ะรุนแรงขนาดไหน เขาคิดว่าถ้าหยางยังปักหลักอยู่ที่นี่ ต้องมีแต่เรื่องเลวร้ายตามมาแน่ ถึงได้เตือนให้เขาไปเสียดีกว่า”
รัชเข้าใจความขัดแย้งที่เป็นแรงขับเคลื่อนตัวละครด้วยสัญชาตญาณส่วนตัว “รอนคือหนึ่งในตัวละครแปลกๆ ที่คนดูจะได้พบในดินแดนประหลาดๆ นี้” เขาเล่า “เขาน่าสนใจมาก คอยแต่งเติมเสน่ห์ดึงดูดให้มิติต่างๆ เท่าที่เมืองนี้มี แต่ที่ทำให้นักแสดงอย่างผมขนลุกซู่ไปหมด คือครึ่งหลังของหนัง การเปลี่ยนแปลงสุดเซอร์ไพรส์จะเกิดขึ้นกับเขา จากนั้นจะลึกซึ้งขึ้น มีเนื้อมีหนังขึ้นกว่าเดิม และน่าสนใจเพิ่มขึ้นอีกมากทีเดียว”
นักแสดงมากประสบการณ์เห็นว่า รอน และ หยาง คือสองด้านที่ตรงข้ามกันของเหรียญ “แจง ดองกัน นำความเงียบขรึมที่ดูใสซื่อบริสุทธิ์อย่างยิ่งมาสู่ภายในของนักรบคนนี้ ซึ่งละทิ้งการฆ่าและหันมาเปิดร้านซักรีด แต่ถ้าหากพูดถึงตัวละครหนึ่งในเมืองโล้ดที่นำเสนอความเป็นหนังคาวบอยได้ดีที่สุด ก็ต้องขี้เมาเรื่อยเปื่อยขำหลุดโลกอย่างรอนนี่แหละ อ้อ...ผมสวมรองเท้าบู๊ตย้อนยุคด้วยนะ”
ในส่วนของบทท่านผู้พัน นักแสดงอย่าง แดนนี ฮัสตัน นำพาขนบหนังคาวบอยอเมริกันขนานแท้ดั้งเดิมมาสู่ตัวละครนี้ พ่อของฮัสตัน หรือผู้กำกับ จอห์น ฮัสตัน และปู่ของเขาซึ่งเป็นนักแสดง คือ วอลเตอร์ ฮัสตัน เคยร่วมงานกันกระหึ่มวงการมาแล้วในหนังคาวบอยในดวงใจตลอดกาล The Treasure of the Sierra Madre ในขณะที่ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับ แดนนี ฮัสตัน ครั้งนี้ก็ทำให้นักแสดงร่วมทั้งหลายพิศวงสงสัยไปต่างๆ นานา “ตลกมาก ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะแสดงเป็นตัวละครที่ชั่วร้ายสุดขั้วอย่างนี้ เพราะจริงๆ แล้ว เขาเป็นคนหนึ่งที่ตลกและน่าคบที่สุดเท่าที่เคยพบมา” บอสเวิร์ธบอก “แดนนีมีรอยยิ้มบนหน้าตลอดเวลา ชีวิตมีแต่สนุกสนานรื่นเริง แถมด้วยมีอารมณ์ขันชั้นเลิศอีกต่างหาก ตอนเข้าฉากกับเขา ยากมากทีเดียว เพราะแทบจะนึกภาพเขาเป็นมหาวายร้ายไม่ออก”
หลายๆ ปีก่อน ท่านผู้พันพยายามขืนใจลินน์วัย 12 เพื่อหลุดรอดจากเงื้อมมือท่านผู้พันให้ได้ เธอเหวี่ยงกระทะที่มีน้ำมันเดือดปุดใส่หน้าเขาจนเสียโฉมถาวร เขาสนองกลับด้วยการสังหารทิ้งทั้งครอบครัวและปล่อยให้ความตายมาเยือนเธอเอง เมื่อรู้ว่าเธอยังมีชีวิตอยู่ จึงถือเป็นโอกาสดีสำหรับการแก้แค้น “ท่านผู้พันเปล่งประกายเด่นกว่าใคร และที่แน่ๆ คือเขาบ้า” ฮัสตันเล่า “เขาค่อนข้างอัตตาสูง อีโก้จัด ทว่าหลายๆ ครั้งที่เขาขี้ขลาด แต่ดีที่มี เฮลล์ ไรเดอร์ส เป็นลิ่วล้อและคอยเก็บกวาดปัญหาต่างๆ ให้พ้นทาง”
ฮัสตันยอมรับนับถือ แจง ดองกัน กับการเป็นที่สุดในโปรเจกต์นี้อย่างไม่ลดละ “เหตุผลหลักๆ ข้อหนึ่งที่สร้างหนังเรื่องนี้ขึ้น คือมีเขาอยู่ในนั้น ถึงจะเป็นนักแสดงทรงพลังถึงระดับมีสิทธิ์เลือกได้ตามใจ แต่เขายังคงเป็นคนที่อ่อนน้อมถ่อมตน เรียบร้อยน่ารัก และสุภาพอ่อนโยน นอกจากนี้ยังเป็นนักแสดงที่เข้าใจความนิ่งขรึมอย่างถ่องแท้”
ในส่วนของบท เอ้ตบอล ผู้นำชาวเมืองกลุ่มน้อยๆ ซึ่งให้ที่พักหยาง รับบทโดย โทนี ค็อกซ์ ผู้มาพร้อมกับความเชี่ยวชาญทางการแสดงชนิดที่ผู้ชมลืมไปเลยว่าเขาสูงเพียง 3 ฟุต 6 นิ้ว “บทใหญ่ๆ อย่างนี้ไม่ค่อยผ่านมาถึงมือผมบ่อยนักหรอก ด้วยข้อจำกัดทางรูปลักษณ์ของผมเอง” ค็อกซ์บอก “เขาเป็นตัวละครที่แข็งแกร่งมาก เป็นที่หนึ่งอีกด้วย เขาต้องแกร่งเพื่อความอยู่รอดของชีวิตที่เหลือในคณะละครเร่ และต้องเป็นผู้นำ คนดูจะไม่รู้สึกเลยว่าเอ้ตบอลเป็นแค่คนตัวเล็กๆ”
ด้วยความที่ชาวเมืองตกอยู่ในความกลัวและหวาดระแวง หลังจากท่านผู้พันสังหารโหดครอบครัวของลินน์ไปแล้ว เอ้ตบอลจึงต้องใช้เวลา 12 ปีสุดท้ายในชีวิต พยายามฟื้นฟูจิตใจของเธอ “เขาเป็นเหมือนพ่อของลินน์” ค็อกซ์เผย “เธอผ่านอะไรมามากมายเหลือเกิน และเขาก็รู้ เขารู้สึกว่าทำอะไรสักอย่างเพื่อช่วยเธอได้ แต่ที่ผ่านๆ มากลับไม่ได้ทำ ตอนนี้เลยรู้สึกต้องรับผิดชอบเธอ”
ค็อกซ์ก็อยากเห็นฉากแอ็กชั่นเหนือธรรมดาพอๆ กับแฟนๆ ที่รอคอย นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้แสดงศิลปะการต่อสู้ที่ซุ่มฝึกเพื่อใช้ในหนังสักเรื่องมาหลายปี “ผมได้สายดำแล้วนะ แต่ไม่เคยแสดงในหนังแนวนี้เลย” เขากล่าว “ผมรู้สึกเหมือนเป็นเด็กๆ ในร้านขายลูกกวาด มีฉากแอ็กชั่นมากมาย และเราต้องแม่นยำที่สุดทุกจุดที่เราทำ รวมถึงวิธีการทำด้วย”
ดาวดังจากฟากฟ้าเอเชียอีกดวงในงานสร้างนี้ รับบท ขลุ่ยสุดโศก (Saddest Flute) อดีตผู้ดูแลหยางและผู้นำเผ่าขลุ่ยโศก (Sad Flutes) ซึ่งปัจจุบันกำลังต่อต้านเขา ตี้หลุง นักแสดงชาวจีนผู้เป็นที่ชื่นชมยกย่องนำความสง่างามมาสู่ตัวละคร อันเป็นการเพิ่มแต้มให้หนังและอาชีพบนเส้นทางสายงานแสดงกว่า 4 ทศวรรษของเขาด้วย “ความสัมพันธ์ระหว่างขลุ่ยสุดโศกและหยางเหมือนครูกับศิษย์ หรือพ่อกับลูกชาย” นักแสดงบอก “แต่กลายเป็นความสัมพันธ์ที่ยุ่งยากซับซ้อนเพราะขลุ่ยสุดโศกไม่สามารถแสดงอารมณ์ใดๆ โดยในหนัง เราบอกได้จากสายตาที่มองกันและกันว่าพวกเขาสนิทกันมาก เขาดูแลหยางเหมือนเลือดเนื้อเชื้อไขแท้ๆ”
นอกจากไม่ต่างจากพ่อที่เชื่อมั่นว่าวิธีเดียวที่ลูกชายจะประสบความสำเร็จ คือทำให้เขาแกร่งพอที่จะรับมือกับโลกอันแสนโหดร้าย ขลุ่ยสุดโศกยังคาดหวังในตัวหยางอีกมากมาย “เขาเกรี้ยวกราดดุดันแบบที่สุดของที่สุดได้” ตี้หลุงบอก “ขลุ่ยสุดโศกจับหยางไปใส่ในการฝึกที่หนักหนา สาหัสที่สุด โดยวาดฝันไว้ว่าจะมอบสุดยอดศิลปะการต่อสู้ให้หยาง เขารู้ดีว่าในสายงานที่ทำอยู่นี้ ผู้ที่แกร่งที่สุดเท่านั้นถึงจะอยู่รอด ที่สำคัญ ถ้าแกร่งไม่พอจะปกป้องตัวเอง แล้วจะไปช่วยใครได้”
สำหรับการนั่งแท่นผู้กำกับหนังภาษาอังกฤษเรื่องแรก การมีทีมนักแสดงที่สมบูรณ์พร้อมถือเป็นคำอวยพรจากเบื้องบน ลี ซึงมู กล่าว “เจฟฟรีย์, แดนนี, ดองกัน, เคต รวมถึงนักแสดงคนอื่นๆ ล้วนเป็นส่วนสำคัญในกระบวนการสร้างสรรค์หนังเรื่องนี้ทั้งสิ้น ทุกคนส่งเสริมกัน แถมยังผูกพันกันเหนียวแน่น แล้วผมจะต้องเรียกร้องอะไรอีก?”