du_sit on November 21, 2010, 03:21:40 AM
"เซกิ " หนุ่มเลือดอาทิตย์อุทัยหัวใจรักชาติ






"เซกิ โอเซกิ" ที่เคยฝากผลงานไว้จากภาพยนตร์ "คู่แรด"
ซึ่งได้รับการตอบรับดีอยู่ไม่น้อย
จนล่าสุดกลับมาสู่แผ่นฟิล์มอีกครั้งในภาพยนตร์สุดยิ่งใหญ่แห่งปี
"ซามูไรอโยธยา" จากค่ายมหากาพย์ ผู้มาถ่ายทอดบทบาทของ "ยามาดะ"
อีกหน้าหนึ่งประวัติศาสตร์ของชาติไทย ที่น่ายกย่องและสรรเสริญ
ถามถึงการทำงานสักหน่อยยากง่ายอย่างไงบ้าง
       "ถือว่าคุ้มค่าสำหรับคนธรรมดาคนหนึ่งที่ได้มีโอกาสแสดงภาพยนตร์
ฝึกมวยไทยเรียนแอ็คติ้งและอาศัยอยู่ในเมืองไทยครับ
เพราะตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมาในเมืองไทย
ผมได้มีโอกาสทดสอบตัวเองจากศาสตร์หลากหลายแขนงของศิลปะในเมืองไทยเยอะมาก
ตั้งแต่เล่นละครเวที, แสดงละคร , แสดงภาพยนตร์ และเรียนมวยไทย
ถือว่ายากมากๆ"
กดดันมั้ย เพราะ "ยามาดะ" มีตัวตนอยู่จริงๆ ในเมืองไทย
"แน่นอนครับ และกดดันมากๆ
ด้วยเพราะผมต้องมาแสดงภาพยนตร์เพื่อถ่ายทอดชีวิตของท่านที่เคยมีอยู่จริงๆ
ในประวัติศาสตร์ทั้งชาติไทยและญี่ปุ่น
เพราะตั้งแต่ใช้ชีวิตเกือบค่อนชีวิตอยู่กับภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ว่าจะเป็นสถานที่สำคัญๆ
ของท่านในเมืองไทยและญี่ปุ่น รูปปั้นเหมือนในแต่ละทีผมก็เคยเห็น
มีโอกาสสัมผัส ได้อ่านอัตชีวิตของท่าน และในประเทศของผม
ท่านเองก็เป็นที่ยกย่องและน่าเคารพเป็นอย่างมาก"
แสดงภาพยนตร์แนวพีเรียดง่ายมั้ย
       "ไม่เชิงยากซะทีเดียว เพราะบทพูดบางประโยคจากที่ผมพูดไม่ค่อยชัดอยู่แล้ว
(หัวเราะ) ก็ยิ่งทำให้ดูง่ายขึ้น
เพราะในบทจะเป็นตัวผมเองมากที่สุดที่ต้องพลัดบ้านพลัดถิ่น
แล้วมาเป็นทหารกองอาสา ที่ต้องเข้าช่วยรบกับสมเด็จพระนเรศวรมหาราช"
การแสดงในเรื่องมีหนักใจอะไรบ้าง
       "กลัวจะเป็นตัวถ่วงคนอื่นเขามากกว่า แม้จะผ่านการแสดงมาเยอะก็เถอะนะ
แต่โชคดีที่ทุกคนช่วยกันครับอย่างส้ม(ธรรมรส ใจชื่น) น้องเขก็เก่ง
ส่วนรับส่งอารมณ์ให้ผมมากๆ หรือแม้แต่นักแสดงเด็กอย่างน้องใบเงิน
ถือว่าทำให้ผมและทีมงานหายเครียดไปเลย ยิ่งผู้กำกับ (มด-นพพร วาทิน)
ไม่ต้องพูดถึงคอยช่วยเหลือและแนะตลอด ตรงไหนไม่ดีเล่นไม่ได้ก็บอกใจเย็นๆ
ต้องให้เข้าถึงอารมณ์ก่อนแล้วบทจะพาไปเอง"
แสดงภาพยนตร์สมัยใหม่กับแนวพีเรียดชอบแบบไหน
       "ผมว่าต่างกันนะ
เพราะอย่างภาพยนตร์แนวพีเรียดก็มีเสน่ห์ในแนวทางของตัวเอง
ซึ่งถือว่าเป็นการสืบสานวัฒนธรรมธรรมเนียมประเพณีของคนในยุคนั้นมิให้สูญหาย
หรือเลือนรางไปแถมยังทำให้คนรุ่นหลังได้เห็นด้วยว่าวิถีชีวิตในยุคสมัยนั้นเป็นอย่างไร
ไม่ยุ่งวุ่นวายอยู่กันแบบง่ายๆ
ส่วนภาพยนตร์สมัยใหม่ในปัจจุบันก็มีหลากหลายให้เลือกเล่น
ซึ่งก็เป็นศาสตร์อีกแขนงที่น่าสนใจ
และจะได้เรียนรู้ถึงโลกในยุคดิจิตอลด้วย"
ถามถึงความภูมิใจสักหน่อย
       "ถือเป็นความภูมิใจสำหรับตัวเองที่ได้ทำอะไรหลายๆ อย่างในศาสตร์ใหม่ๆ
ที่ยังไม่เคยได้ลองและได้เรียนรู้ ภูมิใจที่ได้สืบสานวัฒนธรรม ๒
แผ่นดินทั้งประเทศไทยและญี่ปุ่น ที่ต่างมีมิตรภาพอันดีกันมานานแสนนาน
รู้ดีที่ได้ทำงานในเมืองไทยและได้มีโอกาสใช้ชีวิตกับประสบการณ์ของตัวเองกับภาพยนตร์
2 เรื่องที่ผ่านมา
และวันนี้อีกหนึ่งภาพยนตร์ที่แสดงให้ประจักษ์ถึงมิตรภาพความรัก
และเลือดนักรบแล้ว"















« Last Edit: November 21, 2010, 04:22:09 AM by du_sit »