Gmail on October 31, 2010, 04:27:53 PM
ปตท. และบริษัทในเครือฯ เปิดตัว “หน่วยวิเคราะห์สถานการณ์น้ำมัน” (Petroleum Outlook Team)
 
          ปตท. และบริษัทในเครือฯ เปิดตัว “หน่วยวิเคราะห์สถานการณ์น้ำมัน” (Petroleum Outlook Team) ระดมสมองรับมือราคาน้ำมันเพื่อใช้ในการบริหารจัดการธุรกิจ ชี้ราคาน้ำมันปี 2554 ยังผันผวนต่อเนื่อง 75 – 90 เหรียญสหรัฐฯ / บาร์เรล พร้อมจัดสัมมนาใหญ่เชิญกูรูด้านเศรษฐกิจและพลังงานวิเคราะห์สถานการณ์ 4 พฤศจิกายนนี้

          ดร.ปรัชญา ภิญญาวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลายและรองกรรมการผู้จัดการใหญ่หน่วยธุรกิจน้ำมัน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ขณะนี้ ปตท. และกลุ่มบริษัทในเครือฯ ซึ่งประกอบด้วยบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) บริษัท ปตท. อะโรเมติกส์และการกลั่น จำกัด (มหาชน) บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) และบริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) ได้ร่วมกันจัดตั้ง “หน่วยวิเคราะห์สถานการณ์น้ำมัน” หรือ Petroleum Outlook Team ซึ่งเป็นหนึ่งในแผนงานของ Oil Supply Chain Integration Management (OIM) เพื่อทำหน้าที่ติดตามสถานการณ์ตลาดน้ำมัน แลกเปลี่ยนข้อมูลความรู้ ประมวลผล ประเมินราคาและสถานการณ์ และคาดการณ์ราคาน้ำมันขึ้น เพื่อใช้วางแผนทางธุรกิจปิโตรเลียม ทั้งในระยะสั้นและ
ระยะยาวระหว่างหน่วยงานทั้งหมด รวมทั้งการบริหารความเสี่ยงทางด้านราคาวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์ นอกจากนี้ ยังใช้เป็นฐานข้อมูลเผยแพร่สู่สาธารณชนและองค์กรอื่นๆ เพื่อนำไปใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงในการบริหารจัดการทางธุรกิจต่อเนื่อง โดยมีการนำเสนอผ่านสื่อหนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ และเว็บไซต์ www.pttplc.com และในอนาคต หน่วยวิเคราะห์สถานการณ์น้ำมันกลุ่ม ปตท. มีโครงการที่จะพัฒนาไปสู่การจัดตั้งเป็นสถาบันด้านการวิเคราะห์พลังงานของประเทศต่อไป

          พร้อมกันนี้ ยังได้ริเริ่มจัดสัมมนา “การวิเคราะห์สถานการณ์ปิโตรเลียมประจำปี ครั้งที่ 1” (1st PTT Group Annual Petroleum Outlook) ขึ้นเป็นครั้งแรก เพื่อเปิดตัวหน่วยงานดังกล่าว พร้อมกับเป็นช่องทางในการนำเสนอผลงานและบทวิเคราะห์ต่างๆ ซึ่งจากนี้ไป จะมีการจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี

          สำหรับ

          สำหรับทิศทางราคาน้ำมันในปี 2554 หน่วยวิเคราะห์สถานการณ์น้ำมันกลุ่ม ปตท. คาดว่า ราคาน้ำมันดิบในปี 2554 จะปรับเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มจะขยายตัวอย่างต่อเนื่องและไม่น่าจะกลับมาสู่ภาวะถดถอยอีก หลังจากรัฐบาลต่างๆ มีการออกมาตรการทั้งด้านการเงินและการคลัง เพื่อสร้างเสถียรภาพและกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจส่งผลให้ความต้องการใช้น้ำมันของโลกมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยความต้องการที่เพิ่มขึ้นนั้นกว่าครึ่งมาจากภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะจากจีนและอินเดีย สวนทางกับความต้องการใช้น้ำมันของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วที่อาจจะกลับไปหดตัวอีกครั้ง

          อย่างไรก็ตาม แม้อุปสงค์น้ำมันโลกจะปรับเพิ่มขึ้น แต่อุปทานก็มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยเฉพาะปริมาณการผลิตน้ำมันดิบจากกลุ่มนอกโอเปกและก๊าซธรรมชาติของกลุ่มโอเปกที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น ส่งผลให้กลุ่มโอเปกยังจำเป็นต้องควบคุมกำลังการผลิตให้ใกล้เคียงกับปริมาณที่ผลิตได้ในปัจจุบัน เพื่อสร้างสมดุลทางด้านการตลาด

          นอกจากนั้น ปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ ได้แก่ ปัจจัยเสี่ยงทางด้านเศรษฐกิจ การเคลื่อนย้ายเงินลงทุน ภูมิศาสตร์การเมืองระหว่างประเทศ กฎระเบียบข้อบังคับต่างๆ รวมถึงฤดูกาลที่ผันแปร ก็ล้วนเป็นตัวแปรสำคัญที่จะส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบในปี 2554 จะมีความผันผวนยิ่งขึ้น

          จากปัจจัยข้างต้น ทีมวิเคราะห์สถานการณ์น้ำมันกลุ่ม ปตท. ได้คาดการณ์ว่า น้ำมันดิบดูไบจะมีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 83 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล และจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบราคา 75 – 90 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลแต่อาจจะมีโอกาสแตะระดับ 100 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในระยะสั้นๆ หากมีปัจจัยอื่นที่ไม่คาดคิดหรือเกิดเหตุการณ์ที่รุนแรงกว่าที่คาดไว้ เช่น ภัยธรรมชาติ สงครามในตะวันออกกลาง เป็นต้น เข้ามาเกี่ยวข้อง