สตีฟ คาเรลล์/ พอล รัดด์ Dinner For Schmucks
สองนักแสดง สตีฟ คาเรลล์ และพอล รัดด์ แสดงนำในภาพยนตร์เรื่อง Dinner for Schmucks ซึ่งกำกับโดย เจย์ โร้ช ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างจากภาพยนตร์ฝรั่งเศส ปี 1998 เรื่อง The Dinner Game คาเรลล์ที่ปัจจุบันอายุ 47 ปีแล้ว กลายเป็นนักแสดงตลกชายที่คนดูชื่นชอบมากที่สุดของฮอลลีวู้ด
หลังจากภาพยนตร์ฮิตเรื่อง The 40 Year Old Virgin คาเรลล์ นักแสดงสุดยอดฝีมือผู้นี้ได้เริ่มสั่งสมชื่อเสียงอยู่ในวงการที่การเป็นดาราเรียกคนดู คือปัจจัยสำคัญในการก้าวสู่การเป็นนักแสดงแถวหน้าของวงการ ภาพยนตร์อย่าง The 40 Year Old Virgin, Date Night และ Get Smart ไม่เพียงแต่ทำรายได้จากทั่วโลกเกินกว่า $150 ล้านเท่านั้น แต่ยังช่วยเพิ่มความโด่งดังให้กับคาเรลล์ด้วย ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทีมผู้อำนวยการสร้างของภาพยนตร์เรื่อง Dinner for Schmucks (วอลเตอร์ เอฟ พาร์กส์ และลอรี่ แม็คโดนัลด์) คิดว่าคาเรลล์คือตัวเลือกแรกของพวกเขาในบทหนุ่มบื้อ ซึ่งคาเรลล์กระโดดใส่โอกาสนี้ทันที “ผมอยากแสดงบทนี้เดี๋ยวนั้นเลย โดยเฉพาะเมื่อผมได้ยินว่าเจย์ (โร้ช) และพอล (รัดด์) อาจเข้ามาร่วมงานด้วย ความจริงที่ว่าพวกเขาจะมาทำงานกับภาพยนตร์เรื่องนี้คือปัจจัยในการตัดสินใจร่วมงานของผมเลยก็ว่าได้”
พอล รัดด์ คือคนที่เหมาะจะมารับบทเป็นหนุ่มผู้แน่วแน่ และเป็นคู่หูที่ลงตัวทีเดียวกับคาเรลล์ สองคู่หูเคยร่วมงานด้วยกันมาแล้ว และการแสดงที่เข้าขาระหว่างพวกเขาสองคนก็เป็นสิ่งที่เห็นได้ชัด “ระหว่างเราสองคน มันเป็นมากกว่ารักแรกพบ (หัวเราะ) เราไม่มีเวลาซ้อมบทกันมากนัก ดังนั้นความจริงที่ว่าเราเป็นเพื่อนกันอยู่แล้ว และเราเคยทำงานด้วยกันมาก่อนจึงช่วยได้อย่างมาก เราเดินเข้ามาและเริ่มทำงานด้วยกัน โดยไว้วางใจในกันและกันทันที” คาเรลล์กล่าว สำหรับพอล ความจริงที่ว่าเขาอยู่ใกล้ๆ กับคาเรลล์ตอนที่เขาโดนถอนขนหน้าอกในระหว่างการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง The 40 Year Old Virgin เป็นวิธีกำจัดกำแพงขวางกั้นทั้งปวง “มันช่วยได้มากอย่างเห็นได้ชัดเมื่อคุณเกิดความไว้วางใจและชอบคนอย่างพอล” สตีฟยอมรับ
พอล รัดด์คือหนึ่งในนักแสดงที่คนดูอาจเคยเห็นเขาในบทเล็กๆ มานานหลายปี แต่กลับเป็นบทเล็กๆ ที่สามารถสร้างความประทับใจเอาไว้ในใจคนดู ดูเหมือนการรอคอยจะสิ้นสุดลงแล้ว ในที่สุด นักแสดงหนุ่มชาวนิวเจอร์ซี่ย์ก็มีโอกาสได้แสดงให้เห็นสิ่งที่เขาเป็น อย่างไรก็ดี ถึงแม้การทำงานร่วมกับสตีฟจะเป็นประสบการณ์ที่สุดแสนแฮปปี้ แต่พอลก็ยอมรับว่าเขามีปัญหากับการควบคุมเสียงหัวเราะของตัวเองระหว่างถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ “มีอยู่ฉากหนึ่งที่ผมหยุดหัวเราะไม่ได้เลย เป็นฉากที่สตีฟพาลูซี่ พันช์มา มีอะไรให้เล่นเยอะมากระหว่างสตีฟกับเดวิด (วอลเลี่ยมส์) มันยากที่จะไม่หัวเราะ ผมเห็นหน้าของสตีฟและระเบิดเสียงหัวเราะออกมา บางครั้งผมก็ต้องพยายามคิดเรื่องน่ากลัวๆ เพื่อจะได้เลิกหัวเราะ แต่มันส่งผลที่ดีมาก การหายใจและคิดเพราะผมไม่อยากจะไม่เป็นที่นับถือ มันเวิร์กกับผลที่ออกมาจริงๆ”
เพราะ Dinner For Schmucks ไม่ใช่การรีเมกภาพยนตร์เรื่อง The Dinner Game ออกมาตรงๆ แต่เป็นเหมือนเวอร์ชั่นที่ถูกหยิบมาสรรค์สร้างใหม่เสียมากกว่า ทั้งคาเรลล์และรัดด์จึงได้รับอนุญาตจาก เจย์ โร้ช ให้ด้นมุขสดอย่างมีอิสระ โดยอิงกับบทภาพยนตร์เวอร์ชั่นใหม่ที่เป็นฝีมือของเดวิด กุยออน และไมเคิล แฮนเดลแมน “เราคุยกันถึงความจริงที่ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้มีความแตกต่างไปจากเรื่อง The Dinner Game ดังนั้น เราจึงไม่อยากจะดูภาพยนตร์ต้นฉบับก่อนจะเริ่มถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้กัน เพราะมันอาจจะยังค้างคาอยู่ในหัวของเรา แม้กระทั่งในจิตใต้สำนึก เรามองว่า Dinner For Schmucks เปรียบได้กับหนทางที่จะสร้างภาพยนตร์เวอร์ชั่นของพวกเราเองขึ้นมา” รัดด์อธิบาย “สำหรับผมแล้ว” คาเรลล์กล่าวเสริม “เป้าหมายไม่ใช่การทำให้ดีกว่าภาพยนตร์ต้นฉบับ เพราะมันคงเป็นไปไม่ได้ มันคือทัศนคติแบบเดียวกันกับที่ผมมีตอนแสดงซีรีส์ The Office เวอร์ชั่นอเมริกัน เป้าหมายก็คือการสร้างผลงานที่น่าสนใจ และดูได้เพลิดเพลิน โดยไม่พยายามที่จะเลียนแบบภาพยนตร์ต้นฉบับ”
The Diner Gamer ผลงานของฟรานซิส เวเบอร์ คือหนึ่งในภาพยนตร์ที่เป็นที่รักของคนดูมากที่สุดในวงการภาพยนตร์ฝรั่งเศส เวเบอร์มีผลงานภาพยนตร์ฮิตหลายเรื่องด้วยกัน อาทิเช่น La Cage Aux Folles หรือ Les Fugitifs แค่นั้นก็ทำให้สตีฟกับพอลถึงกับสยดสยองแล้วเมื่อภาพยนตร์เรื่องนี้จะต้องเปิดตัวฉายในฝรั่งเศส แต่ถึงยังไงพวกเขาก็ยังมีความมั่นใจ “ผมไม่ได้อ่านข่าวใดที่พูดถึงภาพยนตร์เวอร์ชั่นของเราในแง่ลบเลย” สตีฟกล่าว “ผมก็เหมือนกัน” พอลกล่าวเสริม “ผมไม่รู้เรื่องคำวิจารณ์หรืออะไรแบบนั้นเลย ภาพยนตร์ต้นฉบับมีแฟนชื่นชอบเยอะมาก ซึ่งรวมถึงเราด้วย ทำให้ผมคาดเดาว่าคงจะมีคนที่คงจะเกลียดเราเพราะเราไปยุ่งกับผลงานดั้งเดิมที่พวกเขาชื่นชอบ (ยิ้ม) ในด้านหนึ่งผมก็เข้าใจความคิดแบบนั้นนะ แต่ผมคงจะต้องเตือนคุณว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ใช่ภาพยนตร์รีเมก ผมหวังว่าคนดูคงจะมองภาพยนตร์เรื่องนี้ว่ามีแนวทางของมัน และไม่ใช่งานรีเมกภาพยนตร์เรื่อง The Dinner Game”
ทีมนักแสดงของภาพยนตร์เรื่องนี้ยังรวมถึงนักแสดงตลกอย่าง แซ็ค กาลิเฟียนากิส (The Hangover), เจเมน คลีเม้นต์ (Flight of the Concordes) และเดวิด วอลเลี่ยมส์ (Little Britain) ซึ่งล้วนแต่เข้ามาช่วยเสริมสร้างสภาพแวดล้อมที่ทำให้เกิดความร่วมมือ “มีนักแสดงที่น่าทึ่งอยู่เยอะ เจย์ (โร้ช) ชอบให้ทุกคนร่วมมือกัน คิดเรื่องของพวกเขาขึ้นมาเอง และในภาพยนตร์เรื่องนี้ก็มีตัวละครตลกๆ อยู่ตั้งเยอะ และมีคนตลกๆ ที่ทำให้งานง่ายขึ้นมาก บทภาพยนตร์เรื่องนี้มีรูปทรงที่ดีมากอยู่แล้ว ดังนั้นเราจึงทำตามสิ่งที่พวกเขาได้เขียนเอาไว้ แต่อาจมีการเปลี่ยนแปลงไปบ้างเนื่องจากการด้นมุขสด” รัดด์อธิบาย แต่คุณจะรักษาความฮาได้ยังไงหลังจากต้องแสดงฉากตลกซ้ำแล้วซ้ำอีก ตามที่คาเรลล์บอก ความจริงของเรื่องนี้เป็นสิ่งที่คุณไม่รู้ “คุณมีเครื่องวัดขณะที่คุณกำลังถ่ายทำอยู่ ซึ่งบอกคุณว่าเรื่องนั้นอาจจะตลก แต่คุณไม่รู้หรอกจนกว่าคุณจะนั่งลงในโรงภาพยนตร์ และดูภาพยนตร์เรื่องนี้พร้อมกับคนดูคนอื่นๆ การทำตัวให้ตลกในภาพยนตร์แตกต่างไปจากการทำตัวให้ตลกเวลาแสดงสด ซึ่งคุณจะได้การตอบสนองจากคนดูในทันที เราต้องวัดผลจากกันและกัน จากเจย์ (โร้ช) จากทีมงานและจากนักแสดงคนอื่น มีคนตลกๆ มากมายเข้ามาเกี่ยวข้อง ดังนั้นคุณจึงต้องรับความเห็นของคนอื่นๆ” สำหรับพอล ทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับภาพยนตร์เรื่องนี้ล้วนแต่เป็นคนตลก ตามที่เขาบอก คุณแค่หวังผลลัพธ์ที่ดีที่สุด “มีหลายสิ่งหลายอย่างมากมายที่คุณไม่สามารถควบคุมได้ในฐานะนักแสดง ตั้งแต่งานตัดต่อจนถึงสภาพอากาศ มีเรื่องบ้าๆ ที่ถูกใส่ลงไป และหวังว่ามันจะเวิร์ก”
ด้วยประวัติผลงานของสตีฟ ภาพยนตร์เรื่องนี้จึงมีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จ การกลายมาเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในวัย 40 ทำให้คาเรลล์มองความมีชื่อเสียงในมุมมองที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง “ผมวัดไม่ได้หรอกว่ามันจะดีกว่าหรือเปล่าระหว่างการมีชื่อเสียงตอนนี้มากกว่าการมีชื่อเสียงตั้งแต่อายุ 20 กว่าๆ ผมแค่รู้สึกขอบคุณที่มันเกิดขึ้น ที่ผมประสบความสำเร็จระดับนี้ ผมไม่เคยคิดฝันมาก่อนเลย ผมไม่เคยใฝ่ฝัน ผมแค่อยากเป็นนักแสดงที่มีงานทำ มีเงินใช้จ่ายจากอาชีพนี้ ดังนั้นเรื่องทั้งหมดนี้จึงเป็นเรื่องน่าประหลาดใจสำหรับผม เห็นได้ชัดว่าการมีชื่อเสียงโด่งดังในวัยอย่างผมแตกต่างจากการมีชื่อเสียงโด่งดังตอนอายุ 20 กว่าๆ แน่ ตอนนี้ ลำดับความสำคัญก่อนหลังของผมมีความแน่นอนแล้ว ซึ่งก็คือครอบครัวของผม ชีวิตที่บ้านของผมมีความสำคัญกับผมอย่างมาก ดังนั้น ทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาจึงเป็นเซอร์ไพรส์ ถ้ามันเกิดขึ้นตั้งแต่ผมอายุยังน้อย ผมอาจจะยังโตไม่พอที่จะรับมือกับมันได้” คาเรลล์อธิบาย ตามที่พอลบอก สตีฟไม่เปลี่ยนไปเลยนับแต่ที่เขาเห็นสตีฟครั้งแรกในภาพยนตร์เรื่อง Anchorman “เขาไม่เปลี่ยนไปเลยตั้งแต่นั้น เขาเป็นแค่ผู้ชายธรรมดาๆ นิสัยดี และใจดีเหมือนที่เขาเคยเป็น เขาไม่มีลูกน้อง ไม่มีผู้ช่วย เขาไม่ใช่คนที่ทำตัวเป็นดาราดัง” พอลกล่าวเสริมขณะที่มองตาสตีฟ “โอ๊ย พอได้แล้วน่า ขอร้อง” สตีฟบอก โดยทำท่าทีถ่อมเนื้อถ่อมตัว