happy on October 18, 2010, 11:49:18 AM


Dinner for Schmucks
ชื่อไทย       ปาร์ตี้นี้มีแต่เพี้ยน
วันที่เข้าฉาย    28 ตุลาคม 2553
จัดจำหน่าย   บริษัท ยูไนเต็ด อินเตอร์เนชั่นแนล พิคเจอร์ส (ฟาร์อีสต์)
เว็บไซต์   DinnerForSchmucks.com 

ทีมนักแสดง
   สตีฟ คาเรลล์ (STEVE CARELL) รับบท แบร์รี่ สเป็ค
   พอล รัดด์ (PAUL RUDD)          รับบท ทิม คอนราด

ทีมผู้สร้าง
   เจย์ โร้ช (JAY ROACH) – ผู้กำกับ/ ผู้อำนวยการสร้าง


เกี่ยวกับเนื้อเรื่อง
   ทิม คอนราด (พอล รัดด์) เกือบจะมีชีวิตที่สมบูรณ์พร้อมทุกอย่างแล้วเชียว เขาเป็นหนุ่มหล่อหน้าตาดี ฉลาดปราดเปรื่อง และเขากำลังจะขอยกระดับความสัมพันธ์กับแฟนสาวคนสวยที่คบหากันมานานอย่าง จูลี่ (สเตฟานี่ โชสแท็ก) ไปสู่การเป็นคู่หมั้นหมาย ในด้านการงาน ทิมเป็นนักวิเคราะห์การเงินที่บริษัทเอกชน เฟนเดอร์ ไฟแนนเชียล ความหลักแหลมทางธุรกิจของทิมอยู่ในการเฝ้าจับตามองของประธานบริษัท แลนซ์ เฟนเดอร์ (บรูซ กรีนวู้ด) ผู้พร้อมจะเลื่อนตำแหน่งให้ทิม เพียงแต่ก่อนอื่นเขาจะต้องไปร่วมดินเนอร์ประจำเดือนที่แมนชั่นสุดโอ่อ่าของเฟนเดอร์เสียก่อน
   ช่างฟังดูแสนง่ายดาย จะมีปัญหาอะไรนักเชียวกับการไปดินเนอร์กับบรรดาผู้บริหารของบริษัท
   เรื่องของเรื่องก็คือ สิ่งที่จะชี้ชะตาทิศทางงานของเขาไม่ใช่อาหาร แต่เป็นการเลือกแขกที่เขาจะพาไปร่วมดินเนอร์ด้วยต่างหาก
   กลับกลายเป็นว่าเฟนเดอร์และเพื่อนๆ มาร่วมตัวกันดินเนอร์และหาความสุขใส่ตัวด้วยการพบปะกับผู้คนที่พิเศษต่างไปจากคนธรรมดา เป็นปัจเจกชนที่มีเสน่ห์ที่เกิดมาพร้อมกับความคิด “นอกกรอบ” หญิงและชายเหล่านี้ได้แต่ใช้ชีวิตเกาะขอบสังคม และพวกเขาถูกพาตัวมาร่วมงานเพราะความแปลกแตกต่างของพวกเขา
   พูดง่ายๆ ก็คือ เฟนเดอร์ขอให้เพื่อนร่วมงานแต่ละคนพาพวกซื่อบื้อมาร่วมดินเนอร์ด้วยนั่นเอง
   ตอนแรก จิตสำนึกของคอนราดประณามเรื่องนี้ “ขยะชัดๆ” เขาคิดอย่างเย้ยหยัน แต่ขณะที่เขาเตรียมตัวไปงานเลี้ยง สวรรค์ก็ส่งของขวัญมาให้
ของขวัญชิ้นนั้นคือเจ้าหน้าที่สรรพากร แบร์รี่ สเป็ค (สตีฟ คาเรลล์) ที่เดินโผล่พรวดออกมาหน้ารถสปอร์ตของทิม และโดนชน แบร์รี่ซึ่งเป็นช่างสตาฟสัตว์สมัครเล่น เป็นผู้มอบชีวิตที่สองให้กับซากหนูที่ตายแล้ว ด้วยการใช้ฝีมือในการสตาฟสัตว์ของเขาทำการสตาฟซากหนู และจับพวกมันแต่งชุดเล็กๆ เลียนแบบชุดของคน จากนั้นก็นำมันไปวางเอาไว้ในฉากจำลองที่เอาแบบมาจากงานศิลปะ เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ หรือแม้กระทั่งเหตุการณ์ในชีวิตของเขาเองตามแต่ที่เขาต้องการ เขาเรียกผลงานเหล่านี้ว่าผลงาน “เม้าสเตอร์พีซ”
   ทิมไม่อาจต้านทานคนประหลาดอย่างแบร์รี่ได้ (จิตสำนึกจ๋า ลาก่อน!) และลงเอยด้วยการเชิญแบร์รี่ไปร่วมงานปาร์ตี้ในฐานะแขกงานดินเนอร์ของเฟนเดอร์ แต่แบร์รี่กลับมองทิมเป็นยิ่งกว่าคนขับรถที่เกือบจะฆ่าเขาตายเสียแล้ว เขายกให้ทิมเป็นเพื่อนซี้คนใหม่ของเขา และในไม่ช้า ความตั้งใจที่ดีแต่กลายเป็นหายนะของสมุห์บัญชีสุดเฟอะ ก็กลายเป็นพายุทอร์นาโดถล่มใส่ชีวิตที่เกือบสมบูรณ์แบบของทิม เมื่อมันทำลายข้อตกลงมูลค่าหลายล้านดอลล่าร์ รวมถึงความรักระหว่างทิมกับจูลี่ในเวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมง ต้องขอบคุณแบร์รี่ที่อนาคตอันสดใสและเต็มไปด้วยความหวังของทิมเป็นผลมาจากปัจจุบันที่แสนเจ็บปวดและทุกข์ระทม
   ทุกอย่างก็โอเคอยู่ ว่าแต่ดินเนอร์มื้อนั้นจะยังดำเนินต่อไปอยู่หรือ
   ผลงานจากผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง “Meet the Parents” และ “Meet the Fockers” (ซึ่งทำรายได้รวมกันจากทั่วโลกไปมากกว่า $725 ล้านเหรียญ) เจย์ โร้ช ที่เสกสรรคปั้นแต่งความฮาครั้งใหม่ในภาพยนตร์ที่เป็นการกลับมาร่วมงานกันอีกครั้งของ สตีฟ คาเรลล์ และพอล รัดด์ เรื่อง “Dinner for Schmucks” ภาพยนตร์ตลกที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเรื่องราวสุดแหวกแนวของอัจฉริยะด้านความตลกชาวฝรั่งเศส ฟรานซิส เวีเบอร์ (“La cage aux folles” ซึ่งกลายมาเป็นภาพยนตร์ตลกของฮอลลีวู้ดเรื่อง “The Birdcage”) 
   ที่เข้ามาร่วมกันสร้างเสียงฮาร่วมกับคาเรลล์, รัดด์, กรีนวู้ด และโชสแท็ก ในภาพยนตร์เรื่อง “Dinner for Schmucks” ก็คือ เจเมน คลีเมนต์ (ร่วมแสดงในผลงานสุดฮิตของ HBO เรื่อง “The Flight of the Conchords) ในบท คีแรน โวลลาร์ด ศิลปินผู้มีชื่อเสียง ซึ่งเป็นลูกค้ารายใหญ่ของจูลี่ ซึ่งบังเอิญกำลังปิ๊งส์จูลี่อยู่, ดาราตลก/ นักแสดงกล เจฟฟ์ ดันแฮม (“The Jeff Dunham Show”) ในบทแขกรับเชิญอีกคนในปาร์ตี้ดินเนอร์งานนี้ (กับไดแอน ภรรยาสุดแรด) ผู้ตัดสินใจให้แบร์รี่ดูแลเงินทองให้กับเขา และรอน ลิฟวิงสตัน (ผลงานทาง HBO เรื่อง “Sex and the City”) ในบท คัลด์เวลล์ ผู้จัดการบัญชีที่คอยตามจับผิดทิมในบริษัทเฟนเดอร์ไฟแนนเชียล
   พาราเม้าต์ พิคเจอร์ส, ดรีมเวิร์กส์ พิคเจอร์ส และสปายกลาส เอนเตอร์เทนเม้นต์ ภูมิใจเสนอ ผลงานการสร้างของบริษัท พาร์คส์ + แม็คโดนัลด์ / เอฟเวอรี่แมน พิคเจอร์ส จากผลงานการกำกับของ เจย์ โร้ช ซึ่งนำแสดงโดย สตีฟ คาเรลล์ และพอล รัดด์ เรื่อง “Dinner for Schmucks” ร่วมแสดงด้วย เจเมน คลีเมนต์, เจฟฟ์ ดันแฮม, บรูซ กรีนวู้ด และรอน ลิฟวิงสตัน ดนตรีประกอบเป็นฝีมือการประพันธ์ของ ธีโอดอร์ ชาปิโร่ ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายได้แก่ แมรี่ ว็อกท์ ผู้ทำหน้าที่ลำดับภาพได้แก่ อลัน บาวม์บาร์เท่น, เอซีอี และจอน โพลล์ โปรดักชั่นดีไซเนอร์ได้แก่ ไมเคิล โคเรนบลิธ ผู้กำกับภาพ ได้แก่ จิม เดโนลท์, เอเอสซี ทีมผู้อำนวยการสร้างบริหาร ได้แก่ ฟรานซิส เวเบอร์, ซาช่า บารอน โคเฮน, เอมี่ เซย์เรส, จอน โพลล์, โรเจอร์ เบิร์นบาวม์ และแกรี่ บาร์เบอร์ ภาพยนตร์เรื่องนี้อำนวยการสร้างโดย วอลเตอร์ เอฟ พาร์กส์, ลอรี่ แม็คโดนัลด์ และเจย์ โร้ช โดยได้แรงบันดาลใจจากภาพยนตร์เรื่อง “Le Dîner de Cons” ซึ่งเป็นผลงานของฟรานซิส เวเบอร์ จากบทภาพยนตร์ที่เป็นผลงานของ เดวิด กุยออน และไมเคิล แฮนเดลแมน “Dinner for Schmucks” กำกับโดย เจย์ โร้ช DinnerForSchmucks.com 





happy on October 18, 2010, 11:50:52 AM
เบื้องหลังงานสร้าง
   ผู้กำกับชาวฝรั่งเศส ฟรานซิส เวเบอร์ เป็นผู้ที่ชอบเฝ้าสังเกตพฤติกรรมของมนุษย์ โดยเฉพาะข้อบกพร่องที่น่าขันของผู้คนในชีวิตประจำวัน เป็นคนที่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลที่แสนมีโชค (ร้าย) พวกเขาต้องพบตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์น่าขัน บางคนเลือกที่จะแสร้งทำเป็นคนอื่น หรือรับมือกับวินาทีสำคัญในชีวิตขณะที่ก้าวข้ามเข้าไปในเส้นทางของใครบางคนที่แปลกประหลาดกว่าชาวบ้าน ในบรรดาผลงานภาพยนตร์ตลกที่โด่งดังของเวเบอร์ ได้แก่ภาพยนตร์อย่าง “Le Jouet,” “La cage aux folles,” “La Chévre,” “Les Fugitifs,” “Le Jaguar” และ “Le placard” ความยอดเยี่ยมของเวเบอร์ดูได้จากการที่รัฐบาลฝรั่งเศสถึงกับมอบรางวัลเกียรติยศสูงสุด Officier of the Legion d'honneur ให้กับเขาเลยทีเดียว 
   ภาพยนตร์ฮิตประจำปี 1998 ของเวเบอร์เรื่อง “Le Dîner de Cons” (“The Dinner Game”) ซึ่งสร้างจากละครเวทีของเขาที่ใช้ชื่อเรื่องเดียวกันนี้ พิสูจน์แล้วว่าเป็นผลงานฮิตอีกเรื่องเมื่อภาพยนตร์เรื่องนี้ได้กลายเป็นขวัญใจคนดู และยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลถึง 6 รางวัลด้วยกันที่งานแจกรางวัลซีซาร์ อวอร์ดประจำปี 1999 ซึ่งรวมถึงสองรางวัลที่เวเบอร์ได้ไป (รางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมและบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม) ท้ายที่สุด ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รางวัลกลับบ้านไปทั้งสิ้น 3 รางวัล (รวมหนึ่งรางวัลในสาขาการเขียนบทของเวเบอร์) โครงเรื่องที่มีความโดดเด่นคือมุขที่คาดไม่ถึง เมื่อการกระทำที่เป็นหายนะของ “ชายซื่อบื้อ” กลับผลักดันให้ตัวละครเอกของเรื่องต้องนึกย้อนกลับมามองชีวิตของตัวเองใหม่อีกครั้ง และในที่สุด มันได้ทำให้เขากลายเป็นคนที่ดีขึ้น
   ในหมู่แฟนๆ ของภาพยนตร์ต้นฉบับในอเมริกา ก็คือ ผู้สร้างภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จระดับที่เคยได้รับรางวัลออสการ์มาแล้ว วอลเตอร์ พาร์คส์ และลอรี่ แม็คโดนัลด์ (“Gladiator,” “The Ring,” “Sweeney Todd: The Demon Barber of Fleet Street”) ผู้เกิดความสนใจที่จะดัดแปลงภาพยนตร์เรื่องนี้มาให้ผู้ชมอเมริกาได้ดูกัน สองผู้อำนวยการสร้างชื่นชอบสองคุณลักษณ์ที่ควบคู่กันไปของภาพยนตร์เรื่องนี้ “เรารู้ดีว่าเราอยากจะสร้างภาพยนตร์ที่อิงอยู่กับคอนเซ็ปต์พื้นฐานของเรื่อง ถึงแม้มันอาจจะเป็นประเด็นที่แสนโหดร้าย มันคือภาพยนตร์ที่มีเรื่องราวที่อบอุ่นหัวใจจริงๆ” 
   เมื่อตัดสินใจทุ่มเทให้กับงานสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้แล้ว พวกเขาจึงเริ่มต้นการค้นหาตัวผู้กำกับที่เหมาะกับเนื้อหาของเรื่อง และในที่สุด พวกเขาก็โชคดีที่ได้พบกับ เจย์ โร้ช ซึ่งเคยเป็นผู้รับผิดชอบงานกำกับภาพยนตร์ตลกที่ประสบความสำเร็จไปทั่วโลก (ซึ่งรวมถึงภาพยนตร์ชุด Austin Powers และภาพยนตร์ตระกูล Focker ทั้งสองภาค) ตามที่พาร์คส์ได้อธิบายเอาไว้ “เจย์เป็นเหมือนนักวิทยาศาสตร์สาขาภาพยนตร์ตลก เป็นพวกนิยมความสมบูรณ์แบบ และมีความรอบรู้อย่างมาก” และยิ่งโชคดีทวีสองเท่าเมื่อเจย์นั้นมีตัวแทนคนเดียวกับ ฟรานซิส เวเบอร์ ซึ่งหลังจากที่เขาได้ดูภาพยนตร์ต้นฉบับ และตกหลุมรักมัน เขาก็เกิดความกระตือรือร้นที่จะนำเรื่องที่มีความคล้ายคลึงกันนี้ไปขึ้นจอ
   โร้ชที่ติดอกติดใจกับความเรียบง่ายของเรื่องราว กระโดดเข้าใส่โอกาสที่จะได้กำกับภาพยนตร์เรื่อง “Dinner for Schmucks” ทันที เขากล่าวว่า “ผมรู้ดีว่าผมคงไม่อาจทำได้เหนือกว่าสิ่งที่ฟรานซิสได้ทำเอาไว้แล้วได้ เพราะภาพยนตร์เรื่องนั้นเข้าขั้นเกือบสมบูรณ์แบบเลยทีเดียว สำหรับผม มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับการนำเอาคอนเซ็ปต์เดียวกัน และตีความให้ต่างกัน บอกเล่าเรื่องราวเดียวกันให้ออกมาแตกต่างกันเล็กน้อย”
   จากนั้น ภาพยนตร์เรื่องนี้จึงเดินหน้าต่อไป โดยเจย์ได้ดึงทีมเขียนบท เดวิด กุยออน และไมเคิล แฮนเดลแมน ให้เข้ามาทำหน้าที่ดัดแปลงบทภาพยนตร์ และทำให้จินตนาการของเขาให้ลุกขึ้นมาโลดแล่น กุยออนและแฮนเดลแมนยังทำหน้าที่เขียนบทให้กับภาพยนตร์เรื่อง “Used Guys” (ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างพัฒนางานสร้าง โดยมีโร้ชทำหน้าที่ผู้กำกับ) พวกเขามองว่าโร้ชคือ “ผู้กำกับที่ตลกมากๆ ผู้บังเอิญเป็นนักเล่าเรื่องที่แสนอ่อนไหวอีกด้วย” กุยออนและแฮนเดลแมนรับหน้าที่ในการอัพเดทภาพยนตร์เรื่อง “The Dinner Game” โดยจะต้องคงหัวใจของเรื่องราวต้นฉบับเอาไว้อย่างไม่ให้บุบสลาย ตามที่แฮนเดลแมนเล่า “มันเป็นภาพยนตร์ที่ตลกมากๆ แต่อันที่จริงมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับการค้นหาความเป็นมนุษย์ในตัวคนที่โดนหัวเราะเยาะ”
   สิ่งแรกและสำคัญที่สุดก็คือการตัดสินใจว่าภาพยนตร์เวอร์ชั่นอเมริกานี้จะยังคงความเป็นภาพยนตร์ตลกที่อิงกับตัวละครเอาไว้ แต่มันจะต้องมีฉากดินเนอร์บรรดาศักดิ์ (ซึ่งในเวอร์ชั่นภาพยนตร์ฝรั่งเศสนั้นไม่มีให้เห็น) คนดูชาวอเมริกันจะได้พบกับบรรดาคนบื้อ (หรือชมัคส์) และเกิดความเข้าใจในผู้คนที่โดนเรียกอย่างเสื่อมเสียเหล่านี้ โร้ชกล่าวว่า “ภาพยนตร์ต้นฉบับจบลงด้วยเรื่องราวของสิ่งที่อาจเกิดขึ้นได้ถ้าคนเหล่านี้มาอยู่รวมกัน และผมว่ามันคงจะสนุกที่จะจับพวกเขามาอยู่ในห้องอาหารห้องเดียวกัน และทำให้มันเว่อร์ไปอีกสักนิด ผมชอบไอเดียที่คนในบริษัทเดียวกันมารวมตัวกัน และพวกเขาก็ตื่นเต้นที่มีคนซื่อบื้อเดินเข้ามาและร่วมดื่มกินอยู่กับพวกเขา”
   เรื่องราวส่วนอื่นๆ ที่เหลือมีส่วนคล้ายคลึงกับภาพยนตร์ต้นฉบับ แต่อาจจะเดินไปบนเส้นทางที่แตกต่างออกไปเล็กน้อย อย่างเช่น ใน “Le Dîner” ตัวละครเอกของเรื่องที่กำลังไต่เต้าในบริษัทนั้น เป็นคนทำหนังสือ และได้ถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นนักวิเคราะห์การเงิน ขณะที่ตัวละคร ‘คนบื้อ’ ซึ่งในภาพยนตร์ต้นฉบับชอบสร้างแบบจำลองจากไม้ขีดไฟ ก็ถูกแปลงให้กลายเป็นนักสตาฟสัตว์ด้วยการใช้หนูในผลงานของเขา เจย์ โร้ชยอมรับว่า “ถึงเราจะไม่ได้เดินตามภาพยนตร์ต้นฉบับทุกกระเบียดนิ้ว แต่ผมว่าผมสามารถสร้างมันออกมาในแบบที่สามารถยืมเรื่องราวหลักๆ มา แต่จุดรายละเอียดจำเพาะทั้งหลายจะแตกต่างออกไป และผมว่ามันสนุกในแบบที่ต่างออกไปด้วย”
   
มีใครไปดินเนอร์กันบ้าง?
   ทางทีมผู้สร้างตั้งใจเอาไว้ว่าจะหานักแสดงตลกที่เก่งในเรื่องของการแสดงตลกท่าทาง ขณะเดียวกันก็ต้องสามารถสร้างตัวละครซึ่งเป็นที่ยอมรับ ถึงแม้จะมีนักแสดงชายมากมายหลายคนได้รับการพิจารณาในบท “คนบื้อ” แต่ดูเหมือน สตีฟ คาเรลล์ จะเหมาะกับบทนี้ที่สุด คาเรลล์ ซึ่งเป็นดารานำของภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จมากมายหลายเรื่อง รวมไปถึงยังเป็นดารานำของซีรีส์ที่ประสบความสำเร็จและได้รับความนิยมของ NBC เรื่อง “The Office” ยืนอยู่ในจุดท็อปฟอร์มสูงสุดในงานแสดงตลกของเขา และเขายังเก่งในเรื่องการนำความจริงใจและความน่าเห็นใจใส่ลงไปในทุกตัวละครที่เขาแสดง โดยไม่สนใจว่าเขาจะต้องแสดงเป็นตัวตลกมากขนาดไหน คาเรลล์ได้ใส่ความจริงใจแบบเด็กๆ เข้าไปในตัวแบร์รี่ คาเรลล์กล่าวว่า “ผมนึกภาพแบร์รี่เป็นเหมือนคานธีผสมเข้ากับหนึ่งในสามเกลอหัวแข็ง เขาไม่ได้มีความก้าวร้าวหรือความหยาบคายอยู่ในร่างกายเลย แต่ทุกครั้งที่เขาตัดสินใจอะไร การกระทำของเขาดูจะมีปฏิกริยาตอบสนองในด้านลบเสมอ”
   ผู้อำนวยการสร้างแม็คโดนัลด์ตั้งข้อสังเกตว่า “แบร์รี่อยากช่วยในทุกทาง แต่มักลงเอยด้วยการทำลายทุกแง่มุมในชีวิตของทิม เขาน่ารัก ตลก และน่าหงุดหงิดในเวลาเดียวกัน และสตีฟก็เยี่ยมมากในบทนี้”
   คาเรลล์กล่าวว่า “ผมไม่คิดว่าแบร์รี่คือตัวละครที่เป็นคนโง่หรอกนะ ผมคิดแค่ว่าเขาเป็นคนที่พยายามอย่างหนัก เขามีความชำนาญในการทำให้ตัวเองเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ที่ดูงุ่มง่าม แต่ก็เป็นไปโดยไม่ได้ตั้งใจอย่างแท้จริงและด้วยความตั้งใจดีด้วย เขาเป็นตัวละครที่น่าเศร้า แต่เขาก็เป็นคนที่ไม่เคยรู้สึกเสียใจแทนตัวเอง เขาไม่ใช่คนประเภทที่สงสารตัวเองหรือคาดหวังจะให้คนอื่นมาสงสารเขา ผมว่าเขามีความสุขในวิธีที่เขามองดูชีวิตและตัวเขาเอง”
   และก็เป็นมุมมองของแบร์รี่อีกเช่นกันที่มองทะลุผ่านรูปลักษณ์ภายนอกที่ผิวเผินของเพื่อนใหม่ของเขาเข้าไปมองเห็นถึงผู้ชายแสนดีที่อยู่ภายใน ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขายากที่จะอธิบายให้ตรงจุดได้ และเป็นส่วนผสมระหว่างความอดกลั้นอดทน จิตใจที่ดี ความตั้งใจดี ความไม่ชอบ ความชื่นชม และดวงซวย แบร์รี่คิดว่าทิมมีชีวิตที่น่าตื่นเต้น เขาแต่งตัวทันสมัยโดดเด่น ขับรถปอร์เช่ และเป็นเจ้าของอพาร์ตเม้นต์ในตึกที่แสนโอ่อ่าทันสมัย ในความคิดของแบร์รี่ ถึงแม้จะต้องเผชิญประสบการณ์เฉียดตายที่ช่วยให้พวกเขาได้พบกัน (และทิมเมินเฉยต่อความจริงข้อนี้) พวกเขาถูกชะตาชักนำพาให้กลายมาเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน...เฮ้ พวกเขาใช้โทรศัพท์มือถือเหมือนกันด้วยนะ! 
   “Dinner for Schmucks” ถือเป็นผลงานเรื่องที่ 3 แล้วที่คาเรลล์และพอล รัดด์ (ซึ่งได้รับเลือกให้มารับบท ทิม) ได้ร่วมงานกัน ทั้งสองคนต่างมีไมตรีจิตและมีความประทับใจในกันและกัน รัดด์กล่าวอย่างกระตือรือร้นว่า “ผมคิดว่าสตีฟคืออัจฉริยะนะ มีอยู่หลายครั้งทีเดียวที่เราแสดงด้วยกัน และผมก็ได้แต่มองดูเขา สิ่งที่เขาทำ และสิ่งที่เขาคิดขึ้นมา มันเป็นเรื่องมหัศจรรย์มากสำหรับผมที่ได้ไปอยู่ใกล้ๆ ได้นั่งและดูการแสดงของเขา ผมรู้สึกเหมือนตัวเองได้รับสิทธิพิเศษ อีกอย่าง เรายังสนุกด้วยกันมากด้วย”  (คาเรลล์ตอบว่า “พอลเป็นเพื่อนร่วมงานที่ทำงานด้วยอย่างสนุกสนาน เขาเป็นคนสนุกและเป็นคนดีจริงๆ เขาเป็นทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณคิดว่าเขาจะเป็น เป็นคนตลก น่ารัก ฉลาด และมีเสน่ห์”)
   บท ทิม ถือว่ามีความซับซ้อนกว่าแบร์รี่ และอาจจะกลายมาเป็นหนุ่มเฟอะฟะจอมบงการ แทนที่จะเป็นหนุ่มจิตใจดีแต่มีความขัดแย้งสับสนในตัวเองอย่างที่ทีมผู้สร้างอยากให้เขาเป็น โร้ชและทีมชมัคมองว่ารัดด์  “เป็นผู้ชายที่คุณไม่มีทางไม่เห็นใจเขา” ผู้กำกับโร้ชให้ความเห็นไว้ “พอลให้ความแตกต่างในการแสดงของเขา เขาแสดงได้หมดทุกอย่างตั้งแต่บทนำจนถึงบทหนุ่มเฟอะฟะสุดขั้ว เขาเป็นคนตลกมาก และมีความสามารถในการดึงให้คนดูคอยเอาใจช่วยเขา ไม่ว่าเขาจะเล่นเป็นคนโง่สักแค่ไหนก็ตาม” 
   นับแต่เริ่มแรก รัดด์รู้สึกตื่นเต้นที่ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของภาพยนตร์เรื่องนี้ “ด้วยการมี เจย์ เป็นคนกำกับ และเป็นบทภาพยนตร์ของเดวิดและไมเคิล ผมคิดว่ามันสุดยอดมาก มันคือรูปแบบตามธรรมเนียมคลาสสิก เหมือนผลงานของลอเรลกับฮาร์ดี้ มันยึดโครงสร้างแบบเดียวกัน และเป็นงานที่แสดงได้สนุกมาก” 
   พอลยังกระโดดเข้าหาโอกาสที่จะได้แสดงเป็น ทิม โดยไม่หวาดกลัวต่อความยากลำบากที่มาพร้อมกับการต้องแสดงเป็นตัวละครที่มีความซับซ้อนในตัวขนาดนี้ เป็นคนที่ไม่ใช่ผู้ชายแสนดีเสมอไป “มีอยู่หลายครั้งเมื่อความรู้จักผิดชอบชั่วดีของเขากลายเป็นประเด็นที่น่าสงสัย เขาต้องการทุกอย่าง และยินดีที่จะโกหกถ้าจำเป็นต้องทำ หรือทำหลายสิ่งหลายอย่างในแบบที่ไม่น่าชื่นชม แต่ผมคิดว่าความตั้งใจของเขาคือสิ่งที่ดี” คาเรลล์อธิบายอย่างกระชับรัดกุมว่า “ผมว่าตัวละครอย่างทิม อาจจะเป็นตัวละครที่แสดงยากที่สุดในภาพยนตร์เรื่องนี้ เพราะเขาไม่ใช่คนดี เขาเป็นคนที่อยากจะก้าวหน้าในธุรกิจ เป็นคนที่ตกลงไปในเส้นทางเดียวกับผู้บริหารพวกนี้ และมันก็ผิด เป็นเรื่องที่ผิดมากๆ เขารู้ดีว่ามันไม่ถูกต้อง แต่มันก็ไม่อาจรั้งเขาเอาไว้จากความพยายามที่จะไปให้ถึงเป้าหมายของตัวเอง แต่ขณะเดียวกัน คุณก็แคร์ความรู้สึกเขา” 
   ผู้กำกับ เจย์ โร้ช ไม่มีคำกล่าวอื่นใดจะกล่าวนอกจากคำชมที่มีต่อสองดารานำของเขา “ผมชอบทำงานกับคนที่แสดงเข้าขากันได้ดี หรือมีมิตรภาพที่ดีต่อกัน หรือด้นมุขสดได้ ผมเคยเห็นสองคนนี้ทำแบบนั้นมาก่อน และดูเหมือนพวกเขาจะเป็นทีมตลกแบบยุคสมัยก่อน แทบจะเหมือนกับ แจ็ค เลมม่อน กับวอลเตอร์ แมทเธา ในภาพยนตร์เรื่อง ‘The Odd Couple’ เลยแหละ”   
   คาเรลล์ยอมรับว่า นอกจากจะได้ร่วมงานกับโร้ชแล้ว เสน่ห์ส่วนหนึ่งของภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คือการที่เขาได้อยู่ในกลุ่มนักแสดงที่มีความสามารถนี่แหละ “หลายต่อหลายคนของทีมนักแสดงภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นคนที่ตลกมากๆ ไม่ใช่แค่คนเดียวเท่านั้นที่เป็นคนตลก แต่ทุกคนเลย เจย์อนุญาตให้ทุกคนสนุกและกล้าสำรวจ ไม่มีใครกลัวที่จะลองสิ่งใหม่ๆ และกล้าที่จะทำสิ่งที่น่าสนใจ” โร้ชสรุปง่ายๆ ว่า  “นี่คือทีมนักแสดงในฝันของผมเลย ทุกคนล้วนแต่ด้นมุขได้สุดยอดมาก” 
   ทีมนักแสดงของภาพยนตร์เรื่องนี้ล้วนแต่มีความคิดสร้างสรรค์ในการปล่อยมุขฮา ในบทที่มีความสดใหม่ เริ่มจากนักแสดงชาวนิวซีแลนด์ เจเมน คลีเม้นต์, นักแสดงกลยอดนิยม เจฟฟ์ ดันแฮม, ดารานำชาวแคนาเดียน บรูซ กรีนวู้ด, หนุ่มอเมริกันท่าทางฉลาด รอน ลิฟวิงสตัน, สาวสวยชาวฝรั่งเศส สเตฟานี่ โชสแท็ก และนักแสดงชาวอังกฤษอย่าง ลูซี่ ดาเวนพอร์ท, เดวิด วอลเลี่ยมส์ และลูซี่ พันช์ ร่วมด้วยบรรดานักแสดงที่มารับบทเป็นสุดแสบที่ชอบแทงหลังชาวบ้าน เหล่าชมัคสุดเฟอะฟะในงานปาร์ตี้ดินเนอร์ และอื่นๆ อีกมากมายที่จะหาพบได้เฉพาะในโลกเฮฮาของภาพยนตร์ของ เจย์ โร้ช เท่านั้น
สำหรับเจย์ โร้ช ในทางหนึ่ง การสร้างภาพยนตร์ก็คือการทำงานที่มีเหตุผลที่ดี โร้ชสารภาพว่า “ผมชอบเรื่องเกี่ยวกับผู้คนที่พยายามคิดหาหนทางที่จะรับมือกับความท้าทาย ไม่ว่าจะเป็นอาการอกหักหัวใจสลาย ความหงุดหงิดผิดหวัง ความผิดปกติทางอารมณ์ จากมุมมองของผม ‘Meet the Parents’ เป็นเรื่องเกี่ยวกับชายคนหนึ่งที่ต้องรับมือกับความรู้สึกลึกๆ ในใจที่ว่าเขาไร้ความสามารถและจัดการทุกอย่างในชีวิตได้แย่มาก สำหรับผมแล้ว เรื่องราวส่วนใหญ่ของ ‘Dinner for Schmucks’ เป็นเรื่องเกี่ยวกับแบร์รี่ที่ต้องรับมือกับความโดดเดี่ยวของเขา ความผิดหวังที่เขามีต่อชีวิต สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกสนใจภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คือไอเดียในการนำความคิดนี้ มา และทำให้มันกลายเป็นเรื่องราววุ่นวายยุ่งเหยิง ส่งผลกระทบที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของทิม ผมชอบเรื่องราวที่มาพร้อมกับตัวละครที่คิดหาหนทางที่จะใช้ชีวิตในแง่บวกและมองโลกในแง่ดี ถึงแม้มันอาจเป็นรูปแบบการใช้ชีวิตที่ดูแปลกประหลาดสำหรับคนอื่น ดังนั้นสำหรับผมแล้ว ถึงแม้แบร์รี่อาจดูเป็นผู้ชายขี้แพ้ไม่เอาอ่าวที่ทำความเข้าใจได้ยากที่สุด แต่ในความเป็นจริง เขากลับเป็นตัวละครที่เข้าถึงง่ายที่สุดและฉลาดที่สุดในภาพยนตร์เรื่องนี้เลย”
   “ดังนั้น หัวใจของภาพยนตร์เรื่องนี้” โร้ชกล่าวปิดท้าย “ก็คือการค้นหาหนทางที่ถูกต้อง ถึงแม้กลไกของพลอตเรื่องจะพูดถึงดินเนอร์แสนประหลาดที่คุณเชิญคนมาเพื่อหาความสนุกจากพวกเขา แต่หัวใจของเรื่องนี้กลับเป็นการนำเสนอทัศนคติที่แสนประหลาดของแบร์รี่เกี่ยวกับตัวตน เป็นการมองโลกในแง่ดีจนเกือบเป็นความคิดเพ้อฝันของเขา ที่กลับกลายเป็นพลังชีวิตที่แสดงให้ทิมได้เห็นว่า วิธีการใช้ชีวิตของเขาผิดพลาดแค่ไหน ผมประทับใจกับแง่นั้นมาก”





happy on October 18, 2010, 11:56:41 AM
ประวัตินักแสดง
สตีฟ คาเรลล์ (STEVE CARELL) รับบทแบร์รี่ สเป็ค
สตีฟ คาเรลล์แจ้งเกิดในฐานะหนึ่งในนักแสดงตลกที่ฝีมือการสร้างความฮาของเขาทำให้เขาเป็นที่ต้องการตัวมากที่สุดคนหนึ่งในฮอลลีวู้ด เขาเริ่มเป็นที่รู้จักจากรายการของ Comedy Central ที่คว้ารางวัลเอ็มมี่มาแล้วอย่าง “The Daily Show with Jon Stewart”
   คาเรลล์เริ่มประเดิมงานแสดงภาพยนตร์ในบทนำเป็นครั้งแรกกับภาพยนตร์เรื่อง “The 40 Year Old Virgin” ซึ่งเขาร่วมเขียนบทกับผู้กำกับ จัดด์ อปาโทว์ ภาพยนตร์เรื่องนี้สามารถทำรายได้สูงเป็นอันดับ 1 ถึงสองอาทิตย์ติดต่อกัน ภาพยนตร์ฮิตประจำปี 2005 เรื่องนี้สามารถทำรายได้จากทั่วโลกมากถึง $175 ล้าน และเปิดตัวที่อันดับ 1 ใน 12 ประเทศ ความสำเร็จของภาพยนตร์เรื่องนี้ยังสืบเนื่องต่อมา เมื่อสามารถทำยอดขายถึง $100 ล้านเมื่อลงแผ่นดีวีดี (เฉพาะในอเมริกาเหนือเพียงแห่งเดียว)
   คาเรลล์ยังรับบทเป็น แม็กซ์เวลล์ สมาร์ท ในภาพยนตร์เรื่อง “Get Smart” ซึ่งเขาร่วมแสดงกับ แอนน์ แฮ็ทธาเวย์ และอลัน อาร์กิ้น ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำรายได้จากทั่วโลกไปมากกว่า $230 ล้าน และจากความสำเร็จในครั้งนั้นทำให้ทางวอร์เนอร์ บราเธอร์ส ประกาศข่าวว่าพวกเขาจะเปิดตัวภาพยนตร์ภาคต่อในปี 2011 นอกจากนี้ คาเรลล์ยังไปให้เสียงพากย์เป็น นายกแห่งเมืองฮูวิลล์ในภาพยนตร์การ์ตูนของค่ายทเวนตี้ เซ็นจูรี่ ฟ็อกซ์เรื่อง “Dr. Seuss’ Horton Hears a Who!”  ซึ่งสร้างจากหนังสือสำหรับเด็กที่เป็นผลงานของ ดร.ซุส  และในปี 2006 เขายังร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่อง “Little Miss Sunshine” ซึ่งได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และคว้ารางวัลจากสมาคมนักแสดงในสาขาทีมนักแสดงยอดเยี่ยม
   เมื่อเร็วๆ นี้ คาเรลล์ให้เสียงพากย์นำในภาพยนตร์การ์ตูนแนวตลกของยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ส เรื่อง “Despicable Me” โดยเขาให้เสียงเป็นซูเปอร์วายร้ายที่พบว่าแผนการในการขโมยดวงจันทร์ของเขาต้องหยุดชะงักลง เมื่อเด็กหญิงลูกกำพร้าสามคน รับเขาเอาไว้เป็นพ่อ นอกจากนี้ เขายังร่วมแสดงนำกับทีน่า เฟย์ ในภาพยนตร์ตลกโรแมนติค เรื่อง “Date Night” โดยทั้งคู่รับบท ฟิล และแคลร์ ฟอสเตอร์ คู่สามีภรรยาที่พยายามเพิ่มสีสันให้กับชีวิตคู่ด้วย
การออกไปเดทกัน และโดนเข้าใจผิดคิดว่าคู่ของเขาคือคู่ของเจ้าพ่อมาเฟียและภรรยา เมื่อพวกเขาแอบเนียนนั่งโต๊ะที่คู่มาเฟียจองเอาไว้ในร้านอาหารแห่งหนึ่ง ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำรายได้เฉพาะในอเมริกาไปมากเกินกว่า $100 ล้าน   
   ผลงานภาพยนตร์เรื่องก่อนหน้านี้ของคาเรลล์ ได้แก่ “Anchorman: The Legend of Ron Burgundy,” “Bruce Almighty,” “Bewitched” และ “Dan in Real Life” ขณะนี้ คาเรลล์อยู่ระหว่างแสดงนำในภาพยนตร์ที่ดัดแปลงบทมาจากซีรีส์ของอังกฤษที่ได้รับคำชม เรื่อง “The Office”

พอล รัดด์ (PAUL RUDD) รับบททิม คอนราด
ผลงานใหม่หลังจากนี้ของพอล รัดด์ ได้แก่ บทนำในภาพยนตร์ของ เจมส์ แอล บรูกส์ เรื่อง “Everything You’ve Got” ซึ่งเขาจะแสดงนำประกบบทกับรีส วิเธอร์สปูน และแจ็ค นิโคลสัน ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้จะเปิดตัวฉายในวันที่ 17 ธันวาคม 2010 ที่จะถึงนี้
   หลังจากนั้น เขาจะเริ่มเข้าฉากถ่ายทำภาพยนตร์ของ เจสซี่ เปเรทซ์ เรื่อง “My Idiot Brother” ซึ่งเขาแสดงนำร่วมกับ เอลิซาเบธ แบงก์ส, ซูอี้ เดสชาเนล, เอมิลี่ มอร์ติเมอร์ และราชิดา โจนส์ ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นผลงานความร่วมมือเรื่องที่ 2 ของรัดด์กับเปเรทซ์ หลังจากที่เคยร่วมงานกันมาแล้วในภาพยนตร์เรื่อง “The Château”
   หลังจาก “My Idiot Brother” รัดด์จะเข้าฉากถ่ายทำภาพยนตร์ของ เดวิด เวน เรื่อง “Wanderlust” ซึ่งเขาร่วมแสดงกับ เจนนิเฟอร์ อนิสตัน โดยทั้งคู่รับบทเป็นคู่สามีภรรยาชาวนิวยอร์กที่ย้ายไปอยู่ในชุมชนบ้านนอก เพื่อหลบหนีจากชีวิตในสังคมยุคใหม่ รัดด์จะทำหน้าที่อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ร่วมกับ จัดด์ อปาโทว์, เดวิด เวน และเคน มาริโน่
   ก่อนหน้านี้ รัดด์ยังแสดงนำในภาพยนตร์ของ จอห์น แฮมเบิร์ก เรื่อง “I Love You, Man” ซึ่งเขาร่วมแสดงกับ เจสัน ซีเกล ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำรายได้ไปมากกว่า $90 ล้าน เมื่อเร็วๆ นี้ เขายังแสดงนำและร่วมเขียนบทให้กับภาพยนตร์ของเดวิด เวน เรื่อง “Role Models” ซึ่งทำรายได้ไปมากกว่า $90 ล้าน และยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลของสมาคม Broadcast Film Critics Association ในสาขาภาพยนตร์ตลกยอดเยี่ยม
   รัดด์เคยแสดงนำในภาพยนตร์ของจัดด์ อปาโทว์ เรื่อง “Knocked Up” โดยประกบบทกับ เซ็ธ โรเก้น และเลสลี่ มานน์ ภาพยนตร์ตลกบล็อกบัสเตอร์เรื่องนี้ทำรายได้จากทั่วโลกไปมากกว่า $300 ล้าน และยังคว้ารางวัล People’s Choice Award สาขาภาพยนตร์ตลกยอดนิยมไปครองอีกด้วย
   ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของรัดด์ ได้แก่ “Monsters vs. Aliens,” “Forgetting Sarah Marshall,” “The 40 Year Old Virgin,” “Anchorman: The Legend of Ron Burgundy,” “The Ten” (ซึ่งเขาทำหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างด้วย), “Night at the Museum,” “Diggers,” “Reno 911!: Miami,” “The Cider House Rules,” “The Object of My Affection,” “Wet Hot American Summer,” “Clueless” และ “William Shakespeare’s Romeo + Juliet”

ประวัติผู้สร้าง
เจย์ โร้ช (JAY ROACH) – ผู้กำกับ/ ผู้อำนวยการสร้าง

เจย์ โร้ชมีชื่อเสียงในฐานะที่เป็นหนึ่งในผู้อำนวยการสร้างและผู้กำกับของฮอลลีวู้ดที่มีความสามารถในการสร้างภาพยนตร์ตลก โดยเขามีผลงานการกำกับภาพยนตร์ตลกสุดฮิตที่ประสบความสำเร็จมาแล้วมากมายหลายเรื่อง
   โร้ชประเดิมงานกำกับชิ้นแรกในปี 1997 ด้วยภาพยนตร์เรื่อง “Austin Powers: International Man of Mystery” ซึ่งนำแสดงโดยไมก์ ไมเยอร์ส ติดตามมาด้วยภาคต่อ “Austin Powers: The Spy Who Shagged Me” และ “Austin Powers in Goldmember” โร้ชยังกำกับและอำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง “Meet the Parents” และภาคต่อ“Meet the Fockers” ซึ่งนำแสดงโดย เบน สติลเลอร์, โรเบิร์ต เดอ นีโร, บาร์บร่า สตรัยแซนด์ และดัสติน ฮอฟฟ์แมน ก่อนหน้านั้น โร้ชกำกับภาพยนตร์เรื่อง “Mystery, Alaska” ซึ่งนำแสดงโดยรัสเซลล์ โครว์
   ในปี 2008 โร้ชคว้าสองรางวัลเอ็มมี่ จากการกำกับและอำนวยการสร้างภาพยนตร์ที่สร้างสำหรับฉายทางทีวีให้กับ HBO เรื่อง “Recount” ซึ่งนำแสดงโดย เควิน สเปซี่ย์, ลอร่า เดิร์น และทอม วิลกินสัน โร้ชได้รับรางวัลจากสมาคมผู้กำกับจากภาพยนตร์เรื่องนี้ และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำจากการทำหน้าที่ผู้อำนวยการสร้าง
   ผลงานการอำนวยการเมื่อเร็วๆ นี้ของเขา ได้แก่ ภาพยนตร์ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลอสการ์ของ ซาช่า บารอน โคเฮน เรื่อง “Borat: Cultural Learnings of America for Make Benefit Glorious Nation of Kazakhstan,” “Brűno” และ “Charlie Bartlett” ก่อนหน้านั้น เขาทำหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง “The Hitchhiker’s Guide to the Galaxy”
   ปัจจุบัน โร้ชอยู่ระหว่างอำนวยการสร้างภาพยนตร์ภาคที่ 3 ของตระกูลฟ็อคเกอร์ เรื่อง “Little Fockers” ซึ่งจะเปิดตัวฉายในเดือนธันวาคม ปี 2010 นี้
 





happy on October 18, 2010, 12:00:47 PM
สตีฟ คาเรลล์/ พอล รัดด์   Dinner For Schmucks
สองนักแสดง สตีฟ คาเรลล์ และพอล รัดด์ แสดงนำในภาพยนตร์เรื่อง Dinner for Schmucks ซึ่งกำกับโดย เจย์ โร้ช ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างจากภาพยนตร์ฝรั่งเศส ปี 1998 เรื่อง The Dinner Game คาเรลล์ที่ปัจจุบันอายุ  47 ปีแล้ว กลายเป็นนักแสดงตลกชายที่คนดูชื่นชอบมากที่สุดของฮอลลีวู้ด
หลังจากภาพยนตร์ฮิตเรื่อง The 40 Year Old Virgin คาเรลล์ นักแสดงสุดยอดฝีมือผู้นี้ได้เริ่มสั่งสมชื่อเสียงอยู่ในวงการที่การเป็นดาราเรียกคนดู คือปัจจัยสำคัญในการก้าวสู่การเป็นนักแสดงแถวหน้าของวงการ ภาพยนตร์อย่าง The 40 Year Old Virgin, Date Night และ Get Smart ไม่เพียงแต่ทำรายได้จากทั่วโลกเกินกว่า $150 ล้านเท่านั้น แต่ยังช่วยเพิ่มความโด่งดังให้กับคาเรลล์ด้วย ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทีมผู้อำนวยการสร้างของภาพยนตร์เรื่อง Dinner for Schmucks (วอลเตอร์ เอฟ พาร์กส์ และลอรี่ แม็คโดนัลด์) คิดว่าคาเรลล์คือตัวเลือกแรกของพวกเขาในบทหนุ่มบื้อ ซึ่งคาเรลล์กระโดดใส่โอกาสนี้ทันที “ผมอยากแสดงบทนี้เดี๋ยวนั้นเลย โดยเฉพาะเมื่อผมได้ยินว่าเจย์ (โร้ช) และพอล (รัดด์) อาจเข้ามาร่วมงานด้วย ความจริงที่ว่าพวกเขาจะมาทำงานกับภาพยนตร์เรื่องนี้คือปัจจัยในการตัดสินใจร่วมงานของผมเลยก็ว่าได้”
พอล รัดด์ คือคนที่เหมาะจะมารับบทเป็นหนุ่มผู้แน่วแน่ และเป็นคู่หูที่ลงตัวทีเดียวกับคาเรลล์ สองคู่หูเคยร่วมงานด้วยกันมาแล้ว และการแสดงที่เข้าขาระหว่างพวกเขาสองคนก็เป็นสิ่งที่เห็นได้ชัด “ระหว่างเราสองคน มันเป็นมากกว่ารักแรกพบ (หัวเราะ) เราไม่มีเวลาซ้อมบทกันมากนัก ดังนั้นความจริงที่ว่าเราเป็นเพื่อนกันอยู่แล้ว และเราเคยทำงานด้วยกันมาก่อนจึงช่วยได้อย่างมาก เราเดินเข้ามาและเริ่มทำงานด้วยกัน โดยไว้วางใจในกันและกันทันที” คาเรลล์กล่าว สำหรับพอล ความจริงที่ว่าเขาอยู่ใกล้ๆ กับคาเรลล์ตอนที่เขาโดนถอนขนหน้าอกในระหว่างการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง The 40 Year Old Virgin เป็นวิธีกำจัดกำแพงขวางกั้นทั้งปวง “มันช่วยได้มากอย่างเห็นได้ชัดเมื่อคุณเกิดความไว้วางใจและชอบคนอย่างพอล” สตีฟยอมรับ
พอล รัดด์คือหนึ่งในนักแสดงที่คนดูอาจเคยเห็นเขาในบทเล็กๆ มานานหลายปี แต่กลับเป็นบทเล็กๆ ที่สามารถสร้างความประทับใจเอาไว้ในใจคนดู ดูเหมือนการรอคอยจะสิ้นสุดลงแล้ว ในที่สุด นักแสดงหนุ่มชาวนิวเจอร์ซี่ย์ก็มีโอกาสได้แสดงให้เห็นสิ่งที่เขาเป็น อย่างไรก็ดี ถึงแม้การทำงานร่วมกับสตีฟจะเป็นประสบการณ์ที่สุดแสนแฮปปี้ แต่พอลก็ยอมรับว่าเขามีปัญหากับการควบคุมเสียงหัวเราะของตัวเองระหว่างถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ “มีอยู่ฉากหนึ่งที่ผมหยุดหัวเราะไม่ได้เลย เป็นฉากที่สตีฟพาลูซี่ พันช์มา มีอะไรให้เล่นเยอะมากระหว่างสตีฟกับเดวิด (วอลเลี่ยมส์) มันยากที่จะไม่หัวเราะ ผมเห็นหน้าของสตีฟและระเบิดเสียงหัวเราะออกมา บางครั้งผมก็ต้องพยายามคิดเรื่องน่ากลัวๆ เพื่อจะได้เลิกหัวเราะ แต่มันส่งผลที่ดีมาก การหายใจและคิดเพราะผมไม่อยากจะไม่เป็นที่นับถือ มันเวิร์กกับผลที่ออกมาจริงๆ”
เพราะ Dinner For Schmucks ไม่ใช่การรีเมกภาพยนตร์เรื่อง The Dinner Game ออกมาตรงๆ แต่เป็นเหมือนเวอร์ชั่นที่ถูกหยิบมาสรรค์สร้างใหม่เสียมากกว่า ทั้งคาเรลล์และรัดด์จึงได้รับอนุญาตจาก เจย์ โร้ช ให้ด้นมุขสดอย่างมีอิสระ โดยอิงกับบทภาพยนตร์เวอร์ชั่นใหม่ที่เป็นฝีมือของเดวิด กุยออน และไมเคิล แฮนเดลแมน “เราคุยกันถึงความจริงที่ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้มีความแตกต่างไปจากเรื่อง The Dinner Game ดังนั้น เราจึงไม่อยากจะดูภาพยนตร์ต้นฉบับก่อนจะเริ่มถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้กัน เพราะมันอาจจะยังค้างคาอยู่ในหัวของเรา แม้กระทั่งในจิตใต้สำนึก เรามองว่า Dinner For Schmucks เปรียบได้กับหนทางที่จะสร้างภาพยนตร์เวอร์ชั่นของพวกเราเองขึ้นมา” รัดด์อธิบาย “สำหรับผมแล้ว” คาเรลล์กล่าวเสริม “เป้าหมายไม่ใช่การทำให้ดีกว่าภาพยนตร์ต้นฉบับ เพราะมันคงเป็นไปไม่ได้ มันคือทัศนคติแบบเดียวกันกับที่ผมมีตอนแสดงซีรีส์ The Office เวอร์ชั่นอเมริกัน เป้าหมายก็คือการสร้างผลงานที่น่าสนใจ และดูได้เพลิดเพลิน โดยไม่พยายามที่จะเลียนแบบภาพยนตร์ต้นฉบับ”
The Diner Gamer ผลงานของฟรานซิส เวเบอร์ คือหนึ่งในภาพยนตร์ที่เป็นที่รักของคนดูมากที่สุดในวงการภาพยนตร์ฝรั่งเศส เวเบอร์มีผลงานภาพยนตร์ฮิตหลายเรื่องด้วยกัน อาทิเช่น La Cage Aux Folles หรือ Les Fugitifs แค่นั้นก็ทำให้สตีฟกับพอลถึงกับสยดสยองแล้วเมื่อภาพยนตร์เรื่องนี้จะต้องเปิดตัวฉายในฝรั่งเศส แต่ถึงยังไงพวกเขาก็ยังมีความมั่นใจ “ผมไม่ได้อ่านข่าวใดที่พูดถึงภาพยนตร์เวอร์ชั่นของเราในแง่ลบเลย” สตีฟกล่าว “ผมก็เหมือนกัน” พอลกล่าวเสริม “ผมไม่รู้เรื่องคำวิจารณ์หรืออะไรแบบนั้นเลย ภาพยนตร์ต้นฉบับมีแฟนชื่นชอบเยอะมาก ซึ่งรวมถึงเราด้วย ทำให้ผมคาดเดาว่าคงจะมีคนที่คงจะเกลียดเราเพราะเราไปยุ่งกับผลงานดั้งเดิมที่พวกเขาชื่นชอบ (ยิ้ม) ในด้านหนึ่งผมก็เข้าใจความคิดแบบนั้นนะ แต่ผมคงจะต้องเตือนคุณว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ใช่ภาพยนตร์รีเมก ผมหวังว่าคนดูคงจะมองภาพยนตร์เรื่องนี้ว่ามีแนวทางของมัน และไม่ใช่งานรีเมกภาพยนตร์เรื่อง The Dinner Game”
ทีมนักแสดงของภาพยนตร์เรื่องนี้ยังรวมถึงนักแสดงตลกอย่าง แซ็ค กาลิเฟียนากิส (The Hangover), เจเมน คลีเม้นต์ (Flight of the Concordes) และเดวิด วอลเลี่ยมส์ (Little Britain) ซึ่งล้วนแต่เข้ามาช่วยเสริมสร้างสภาพแวดล้อมที่ทำให้เกิดความร่วมมือ “มีนักแสดงที่น่าทึ่งอยู่เยอะ เจย์ (โร้ช) ชอบให้ทุกคนร่วมมือกัน คิดเรื่องของพวกเขาขึ้นมาเอง และในภาพยนตร์เรื่องนี้ก็มีตัวละครตลกๆ อยู่ตั้งเยอะ และมีคนตลกๆ ที่ทำให้งานง่ายขึ้นมาก บทภาพยนตร์เรื่องนี้มีรูปทรงที่ดีมากอยู่แล้ว ดังนั้นเราจึงทำตามสิ่งที่พวกเขาได้เขียนเอาไว้ แต่อาจมีการเปลี่ยนแปลงไปบ้างเนื่องจากการด้นมุขสด” รัดด์อธิบาย แต่คุณจะรักษาความฮาได้ยังไงหลังจากต้องแสดงฉากตลกซ้ำแล้วซ้ำอีก ตามที่คาเรลล์บอก ความจริงของเรื่องนี้เป็นสิ่งที่คุณไม่รู้ “คุณมีเครื่องวัดขณะที่คุณกำลังถ่ายทำอยู่ ซึ่งบอกคุณว่าเรื่องนั้นอาจจะตลก แต่คุณไม่รู้หรอกจนกว่าคุณจะนั่งลงในโรงภาพยนตร์ และดูภาพยนตร์เรื่องนี้พร้อมกับคนดูคนอื่นๆ การทำตัวให้ตลกในภาพยนตร์แตกต่างไปจากการทำตัวให้ตลกเวลาแสดงสด ซึ่งคุณจะได้การตอบสนองจากคนดูในทันที เราต้องวัดผลจากกันและกัน จากเจย์  (โร้ช) จากทีมงานและจากนักแสดงคนอื่น มีคนตลกๆ มากมายเข้ามาเกี่ยวข้อง ดังนั้นคุณจึงต้องรับความเห็นของคนอื่นๆ” สำหรับพอล ทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับภาพยนตร์เรื่องนี้ล้วนแต่เป็นคนตลก ตามที่เขาบอก คุณแค่หวังผลลัพธ์ที่ดีที่สุด “มีหลายสิ่งหลายอย่างมากมายที่คุณไม่สามารถควบคุมได้ในฐานะนักแสดง ตั้งแต่งานตัดต่อจนถึงสภาพอากาศ มีเรื่องบ้าๆ ที่ถูกใส่ลงไป และหวังว่ามันจะเวิร์ก”
ด้วยประวัติผลงานของสตีฟ ภาพยนตร์เรื่องนี้จึงมีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จ การกลายมาเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในวัย 40 ทำให้คาเรลล์มองความมีชื่อเสียงในมุมมองที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง “ผมวัดไม่ได้หรอกว่ามันจะดีกว่าหรือเปล่าระหว่างการมีชื่อเสียงตอนนี้มากกว่าการมีชื่อเสียงตั้งแต่อายุ 20 กว่าๆ ผมแค่รู้สึกขอบคุณที่มันเกิดขึ้น ที่ผมประสบความสำเร็จระดับนี้ ผมไม่เคยคิดฝันมาก่อนเลย ผมไม่เคยใฝ่ฝัน ผมแค่อยากเป็นนักแสดงที่มีงานทำ มีเงินใช้จ่ายจากอาชีพนี้ ดังนั้นเรื่องทั้งหมดนี้จึงเป็นเรื่องน่าประหลาดใจสำหรับผม เห็นได้ชัดว่าการมีชื่อเสียงโด่งดังในวัยอย่างผมแตกต่างจากการมีชื่อเสียงโด่งดังตอนอายุ 20 กว่าๆ แน่ ตอนนี้ ลำดับความสำคัญก่อนหลังของผมมีความแน่นอนแล้ว ซึ่งก็คือครอบครัวของผม ชีวิตที่บ้านของผมมีความสำคัญกับผมอย่างมาก ดังนั้น ทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาจึงเป็นเซอร์ไพรส์ ถ้ามันเกิดขึ้นตั้งแต่ผมอายุยังน้อย ผมอาจจะยังโตไม่พอที่จะรับมือกับมันได้” คาเรลล์อธิบาย ตามที่พอลบอก สตีฟไม่เปลี่ยนไปเลยนับแต่ที่เขาเห็นสตีฟครั้งแรกในภาพยนตร์เรื่อง Anchorman “เขาไม่เปลี่ยนไปเลยตั้งแต่นั้น เขาเป็นแค่ผู้ชายธรรมดาๆ นิสัยดี และใจดีเหมือนที่เขาเคยเป็น เขาไม่มีลูกน้อง ไม่มีผู้ช่วย เขาไม่ใช่คนที่ทำตัวเป็นดาราดัง” พอลกล่าวเสริมขณะที่มองตาสตีฟ “โอ๊ย พอได้แล้วน่า ขอร้อง” สตีฟบอก โดยทำท่าทีถ่อมเนื้อถ่อมตัว
« Last Edit: October 18, 2010, 12:10:31 PM by happy »

happy on October 18, 2010, 12:07:33 PM
เจย์ โร้ช /DINNER FOR SCHMUCKS

ผู้กำกับและผู้อำนวยการสร้างชาวอเมริกัน เจย์ โร้ช มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักดีจากงานกำกับภาพยนตร์เรื่อง Austin Powers และ Meet The Fockers  ในครั้งนี้เขาขอกลับมารีเมกภาพยนตร์ฝรั่งเศสสุดคลาสสิก เรื่อง The Dinner Game โดยผู้กำกับโร้ชยืนยันความรักความชื่นชมที่เขามีต่อตัวภาพยนตร์ต้นฉบับ และกล่าวถึงความตั้งใจของเขาที่ไม่ใช่แค่การสร้างภาพยนตร์เลียนแบบชอตต่อชอต แต่เป็นการคิดสร้างเรื่องราวนี้ขึ้นมาใหม่มากกว่า “ผมเป็นแฟนของ ฟรานซิส เวเบอร์ มานานหลายปี นับตั้งแต่เรื่อง La Cage Aux Folles และผมก็ชอบสถานการณ์ในเรื่องนี้มาก ผมเคยได้พบเขาและได้ดินเนอร์ด้วยกันสองครั้ง เขาเป็นคนใจดี คอยให้ความช่วยเหลือ และให้กำลังใจอย่างมาก เขาพูดกับผมว่า  ‘รู้ไหม ปัญหากับการรีเมกภาพยนตร์ก็คือพวกเขายึดมั่นภาพยนตร์ต้นฉบับมากเกินไป ดังนั้นจงสร้างภาพยนตร์ของคุณเองโดยเป็นการคิดสร้างขึ้นมาใหม่’ โดยเฉพาะในภาพยนตร์เรื่องนี้ ผมคิดว่ามันต้องเป็นการทำงานในแบบนั้นแหละ เพราะมันคือภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก ไม่ใช่แค่ในเรื่องรายได้เท่านั้น แต่มันยังเป็นภาพยนตร์ที่ดีมากทีเดียว” โร้ชยืนยัน
ทีมผู้อำนวยการสร้าง ลอรี่ แม็คโดนัลด์ และวอลเตอร์ เอฟ พาร์กส์ (อดีตประธานของดรีมเวิร์กส์) รู้สึกต้องมนต์ภาพยนตร์ที่เป็นเพชรเม็ดงามของฝรั่งเศสเรื่องนี้ในทันทีตั้งแต่มันเปิดตัวฉายในปี 1998 โร้ชอธิบายว่า “พวกเขาอยู่กับโปรเจ็กต์นี้มานานทีเดียว อย่างน้อยก็สิบปีได้ พวกเขามีประวัติศาสตร์อันยาวนานร่วมกับมัน ส่วนผมเดินเข้ามาเมื่อสามปีก่อน ผมคิดว่าพวกเขาตามติดโปรเจ็กต์นี้ตั้งแต่ภาพยนตร์ต้นฉบับเวอร์ชั่นฝรั่งเศสเปิดตัวฉาย มีโครงร่างของบทภาพยนตร์หลายเวอร์ชั่นที่มีขึ้นก่อนหน้าผมจะเข้ามา จากนั้นผมได้ดึงตัวมือเขียนบท เดฟ (กุยออน) และไมเคิล (แฮนเดลแมน) เข้ามา พวกเขาสุดยอดมาก เราให้เขาย้อนกลับไปหาตัวภาพยนตร์ต้นฉบับแทนที่จะเดินหน้าต่อไปจากโครงร่างบทที่มีอยู่ เราเริ่มต้นกันใหม่หมดเลย” และด้วยการเริ่มต้นงานกันใหม่นั้น  Dinner for Schmucks จึงกลายเป็นการนำเรื่องราวภาพยนตร์ต้นฉบับมาคิดสร้างสรรค์ใหม่ ในเรื่องราวที่ชายทึ่มๆ กลับมีความสามารถในการทำลายชีวิตของทุกคนที่เข้ามาใช้เวลาเป็นเพื่อนเขานานมากกว่าสองสามนาที อย่างไรก็ดี ในตอนจบของภาพยนตร์เรื่องนี้ ชายซื่อบื้อคนนี้ดูจะมีหัวจิตหัวใจมากกว่าคนอื่นๆ ที่อยู่รอบตัวเขาเสียอีก
นับแต่เริ่มแรก โร้ชประสานทำงานอย่างใกล้ชิดกับทีมผู้อำนวยการสร้างและทีมเขียนบท โร้ชเล่าว่า “เป็นเวลานานกว่าสองปีที่เดวิด, ไมก์ และผมทำงานร่วมกับวอลเตอร์และลอรี่ นอกจากจะเป็นผู้อำนวยการสร้างที่น่าทึ่งแล้ว พวกเขายังเป็นคนคิดสร้างเรื่องได้เก่งอีกด้วย สองมือเขียนบทของเราอาศัยอยู่ในนิวยอร์ก เราจึงต้องคุยโทรศัพท์กันทุกวันตอนหกโมงเช้า ตามเวลาของแอลเอ นานสามหรือสี่ชั่วโมง ตลอดระยะเวลานานหลายเดือน” โร้ชยังได้เพิ่มเติมองก์ที่ 3 เข้าไปในบทภาพยนตร์เวอร์ชั่นใหม่ของเขาด้วย ในภาพยนตร์ต้นฉบับนั้นจะไม่มีฉากดินเนอร์ให้เห็น ซึ่งสำหรับโร้ชแล้ว การเพิ่มฉากนั้นเข้าไปถือเป็นวิธีที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้มีความสมบูรณ์มากขึ้น “ผมอยากเลือกคนที่ตลกมากๆ มาแสดงภาพยนตร์เรื่องนี้ และนั่งดูพวกเขาเล่นเป็นพวกคนซื่อบื้อ ผมว่ามันเป็นการล้อเล่นที่ดีทีเดียว” ดูเหมือนเขาจะชอบความจริงที่ว่าการมองโลกในแง่ดีของตัวละครของสตีฟ รวมถึงจิตใจที่ดีของเขาเป็นสิ่งที่แพร่ไปถึงคนอื่นได้ และตัวละครของพอล รัดด์ได้ซึมซับลักษณะเช่นนั้นไปจากตัวเขา “ผมเป็นพวกที่ให้ความสำคัญกับเรื่องของอารมณ์นะ ผมจึงชอบเนื้อหาเล็กๆ แบบนี้มากทีเดียว”
สตีฟ คาเรลล์เป็น “คนที่ใช่” สำหรับบทนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาคือคนแรกที่เจย์เลือกให้มารับบทเป็นหนุ่มบื้อนายนี้ “ในวงการนี้ สตีฟเป็นที่ชื่นชอบมาก พอลเองก็เช่นกัน”
พอล (รัดด์) เดินเข้ามารับบทเป็นชายผู้แน่วแน่ในภาพยนตร์เรื่องนี้ เขาเป็นนักวิเคราะห์การเงินที่มีแววว่าจะได้เลื่อนตำแหน่ง แต่เพื่อให้ได้สิ่งที่เขาต้องการ เขาต้องหา “คนบื้อ” ที่จะไปร่วมงานดินเนอร์ประจำเดือนที่แมนชั่นสุดหรูของเจ้านายของเขา (บรูซ กรีนวู้ด) ตามที่โร้ชยืนยันเอาไว้ “พอลคือคนที่ทุกคนอยากจะเห็นอีก เขาเป็นคนดีจริงๆ พอลเหมือนกับ แจ็ค เล็มม่อน และสตีฟก็เหมือนกับปีเตอร์ เซลเลอร์ส พอลสามารถเล่นเป็นหนุ่มผู้เคร่งขรึม แต่ก็มีท่าทางที่ตลกอย่างมาก ผมคิดว่าเขาน่าจะเล่นได้ดีทีเดียว” หลังจากได้สองดารานำมาแล้ว การได้ตัวกลุ่มดาราตลกอย่าง เดวิด วอลเลี่ยมส์ และเจเมน คลีเม้นต์ มาร่วมแสดงภาพยนตร์เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องกล้วยๆ แล้ว
การประสานการทำงานกับคนจำนวนมากที่ล้วนแต่มีความสามารถในภาพยนตร์เรื่องเดียวกันไม่ใช่งานง่ายเลย แต่ด้วยวิธีการทำงานง่ายๆ สบายๆ ของโร้ช ทำให้การกำกับทุกอย่างไหลลื่นไปอย่างง่ายดาย อย่างไรก็ดี มีฉากที่ซับซ้อนฉากหนึ่งที่ทำให้กลายเป็นงานยากในการถ่ายทำ “ผมคงจะบอกว่าฉากที่ถ่ายทำได้ยากที่สุด ก็คือฉากดินเนอร์นี่แหละ เพราะมีคนเยอะแยะมากมายมาอยู่ในที่เดียวกัน นักแสดงทุกคนต่างสงสัยว่าพวกเขาควรจะทำอะไร และพวกเขาก็รอผมให้บอกทิศทางกับพวกเขา แต่ผมอยากให้พวกเขาแค่แสดงออกไปและด้นมุขสดกันได้เลยถ้ามันจำเป็น โดยไม่ต้องเป็นห่วงว่าผมจะบอกให้พวกเขาทำอะไร ผมอยากให้มันดูวุ่นวายมากพอแต่ไม่ถึงกับวุ่นวายยุ่งเหยิงเกินไป เพราะถ้ามันยุ่งเหยิงเกินไป คนดูจะหมดความสนใจได้” ผู้กำกับที่เคยกำกับภาพยนตร์ Austin Powers อธิบาย ฉากที่เหมือนจับปูใส่กระด้งนี้ใช้เวลาถ่ายทำสองอาทิตย์ โร้ชตัดสินใจที่จะตั้งกล้องหลายตัวเอาไว้ตามจุดสำคัญ เพื่อให้ได้มุมกล้องที่ต่างกันสองมุมในทุกชอตที่ถ่ายทำ
หลายคนอาจคิดว่าการจะเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ตลกได้นั้นคุณต้องเป็นคนที่มีอารมณ์ขันด้วย แต่ เจย์ โร้ช กลับไม่เคยมองตัวเองว่าเป็นคนตลกเลย “เอ่อ...ผมไม่ใช่คนตลกในแง่ที่ผมสามารถเล่าเรื่องโจ๊กตลกๆ ได้นะ ตอนที่ผมเป็นโปรเฟสเซอร์สอนอยู่ที่ยูเอสซี (มหาวิทยาลัยเซ้าเธิร์น แคลิฟอร์เนีย) ผมเคยเล่าเรื่องตลกเวลาเริ่มต้นสอนทุกครั้ง สมัยนั้นผมสอนวิชากำกับภาพ และเหตุผลเดียวที่ผมต้องเล่าเรื่องตลกเสียก่อนก็เพื่อทำลายกำแพงกั้น แต่โชคร้ายที่เรื่องฮาเหล่านั้นมันยิ่งแสดงให้เห็นว่าผมเล่าเรื่องฮาได้แย่แค่ไหน ในทางตรงกันข้าม ผมรู้ดีว่าอะไรทำให้ผมหัวเราะได้ และทำไม เวลาที่ผมนั่งอยู่ที่เก้าอี้หน้าจอมอนิเตอร์หรือกำลังกำกับฉากอะไรอยู่สักฉาก ผมพยายามที่จะเข้าถึงความคิดของคนดูให้มากที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้” ผู้กำกับโร้ชบอก
แม้จะเป็นคนที่ไร้อารมณ์ขัน แต่กลับมีรสนิยมที่คมกริบเวลามีคนอื่นปล่อยมุขตลก ทำให้โร้ชมีชื่อเสียงโด่งดังในฐานะหนึ่งในผู้อำนวยการสร้างและผู้กำกับของฮอลลีวู้ดที่มีสายตาเฉียบคมในงานสร้างภาพยนตร์ตลก รวมไปถึงยังมีผลงานฮิตที่โดดเด่น อย่าง Meet The Parents หรือ Borat คุณอาจต้องเป็นคนที่ปราศจากอคติเสียหน่อยเมื่อคุณต้องถ่ายทำฉากตลกซ้ำแล้วซ้ำอีก 20 รอบ แต่สำหรับ เจย์ โร้ช ทางออกเป็นเรื่องง่ายดายมาก “คุณต้องฝึกตัวเองให้กดปุ่มเริ่มต้นใหม่ เพียงแค่กดปุ่ม ความรู้ที่มีก่อนหน้านี้จะหายไปหมด ผมได้ดูฉากตลกๆ เป็นพันๆ ฉากในห้องตัดต่อ และผมยังได้ยินตัวเองหัวเราะอยู่ โดยเฉพาะเมื่อผมนั่งดูกับคนอื่น นั่นคือเหตุผลที่ทำให้ผมดูภาพยนตร์ในรอบพรีวิวบ่อยมาก เพราะยิ่งคุณนั่งอยู่กับคนที่ไม่เคยได้ดูภาพยนตร์เรื่องนั้นมาก่อน มันเหมือนคุณกำลังดูภาพยนตร์เรื่องนั้นผ่านสายตาพวกเขา ทำให้คุณมีความสดใหม่ขึ้นมาอีกครั้ง”
นอกจากเป็นที่รู้จักจากภาพยนตร์ตลกแล้ว โร้ชยังชอบผสมผสานหลายอย่างเข้าด้วยกัน และเขากำลังจะมีผลงานแนวการเมืองออกมาอีกสองเรื่อง หนึ่งในนั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับ มาร์ก เฟลด์ท ผู้เคยมีบทบาทสำคัญในคดีวอเตอร์เกท “ทอม แฮงก์สจะเล่นเป็นมาร์ก เราจัดการเรื่องบทภาพยนตร์มานานกว่าสองปีแล้วในเวลานี้ มันเป็นโปรเจ็กต์ที่ดีมาก เพราะนี่คืออีกด้านหนึ่งของคดีวอเตอร์เกทที่ผู้คนไม่เคยรู้” “อีกโปรเจ็กต์หนึ่งก็คือบทภาพยนตร์เกี่ยวกับการเลือกตั้งในปี 2008 ที่เป็นการแข่งขันระหว่างซาร่าห์ เพลิน (หัวเราะ) และโอบาม่า ดังนั้นมันน่าจะน่าสนใจอยู่หรอก”
แล้ว Austin Powers สุดที่รักของเราล่ะ แฟนๆ เดนตายของสายลับสุดฮารายนี้อยากจะรู้ว่าพ่อดอน ฮวนสัญชาติอังกฤษจะกลับมาในเร็วๆ นี้หรือไม่ แต่โร้ชดูจะไม่ค่อยกระตือรือร้นกับงานนี้สักเท่าไหร่ “ผมไม่ได้ทำงานกับเรื่องนี้เลย ผมรู้ดีว่ามีข่าวลือออกมาอยู่ตลอดเวลา ทุกๆ หกเดือนตั้งแต่ปี 2002 ตอนที่ภาพยนตร์ตอนสุดท้ายเปิดตัวฉาย มีคนเขียนข่าวว่าจะมีการสร้างภาพยนตร์เรื่องนั้น แต่ไม่ใช่เลย ผมเคยคุยกับไมก์ (ไมเยอร์ส) และเขาก็คิดถึงเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน แต่ไม่ใช่ผมแน่ ยังไม่มีกำหนดที่แน่นอน ยังไม่มีกำหนดวันถ่ายทำ ผมคงจะสร้างมันออกมาสักวันถ้าเราสามารถสร้างเรื่องขึ้นมาใหม่ และอาจจะเป็นมากกว่าเรื่องเกี่ยวกับด็อกเตอร์อีวิลกับออสตินก็ได้”
ในระหว่างนี้ จนกว่าโร้ชจะเกิดแรงบันดาลใจที่จะสร้างความประหลาดใจให้กับพวกเราด้วยภาพยนตร์ Austin Powers อีกภาค เราคงได้สนุกกับความบ๊องต๊องของ สตีฟ คาเรลล์ ผู้รับบทเป็นเจ้าหน้าที่สรรพากรและนักสตาฟสัตว์มือสมัครเล่น ผู้นำหนูตายมาใส่ชีวิตในภาพยนตร์สุดฮาที่สร้างจากภาพยนตร์ต้นฉบับ The Dinner Game”.