“ศรีไทยซุปเปอร์แวร์” ปั๊มยอดขายปีนี้ 5.7 พันล้านพร้อมทุ่มงบ 250 ล้านบาท บุกตลาดอินเดีย
บมจ.ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ เปิดแผนธุรกิจครึ่งปีหลัง รุกเพิ่มโปรดักส์ใหม่กลุ่มบรรจุภัณฑ์อาหาร-เครื่องดื่ม ปั๊มกำลังผลิตในเวียดนามเพิ่ม เร่งแตกไลน์การผลิตในศรีไทย ชิน-โอซาก้า พร้อมอัดงบลงทุน 250 ล้านบาท ขยายฐานการผลิตไปอินเดีย ลั่นทั้งปียอดขายรวมโตตามเป้า 5.7 พันล้านบาท
นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SITHAI เปิดเผยถึงแผนการดำเนินธุรกิจในครึ่งปีหลัง 2553 ว่า บริษัทจะมุ่งเน้นการเติบโตของยอดขายสายธุรกิจหลักทั้งผลิตภัณฑ์พลาสติกเพื่องานอุตสาหกรรม โดยมุ่งเน้นกลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ ได้แก่ การผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์กลุ่ม Food & Beverage Packaging เช่น บรรจุภัณฑ์อาหารสำหรับ Chilled Food และ Ready-to-eat, บรรจุภัณฑ์แก้วน้ำผนังบางตามร้านสะดวกซื้อ, ถังป๊อบคอร์น และแก้วน้ำที่มีลวดลายสวยงามและจำหน่ายตามโรงภาพยนตร์ ขณะที่บรรจุภัณฑ์เครื่องดื่ม ได้แก่ ฝาและขวด PET นั้น บริษัทอยู่ระหว่างการติดตั้งเครื่องเป่าขวด PET และคาดว่าจะเริ่มผลิตได้ภายในไตรมาส 4/2553 ซึ่งจะช่วยให้บริษัทบริการลูกค้าได้อย่างครบวงจร และมีรายได้เข้ามาเพิ่มขึ้น
ส่วนสายผลิตภัณฑ์เครื่องใช้บนโต๊ะอาหารที่ทำจากเมลามีนจะมีการขยายกำลังการผลิตเพื่อให้สามารถรองรับกับความต้องการในตัวสินค้าเพิ่มมากขึ้น โดยจัดหาเครื่องอัดเมลามีนเพิ่มเติม ขยายสายการผลิตบางส่วนจากโรงงานโคราชมาไว้ที่โรงงานสุขสวัสดิ์เพื่อลดปัญหาการขาดแคลนแรงงาน ขยายกำลังการผลิตของโรงงานในเวียดนาม ขยายสายการผลิตไปสู่บริษัทในเครือ คือ ศรีไทย ชิน-โอซาก้า รวมทั้งขยายฐานการผลิตไปยังอินเดีย ซึ่งคาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 250 ล้านบาท
สำหรับสายธุรกิจซื้อมาขายไป บริษัทมีแผนจะขยายระบบธุรกิจเครือข่ายเพื่อจัดจำหน่ายสินค้าที่มีคุณภาพ และปลอดภัยต่อผู้บริโภค ในนาม “SNatur” โดยครอบคลุมกลุ่มสินค้าหลัก ได้แก่ อาหารเสริม (Food Supplement) เช่น เครื่องดื่มสมุนไพร (S-Ladina, S-Manna) เป็นต้น, เครื่องสำอาง (Cosmetic) เช่น ผลิตภัณฑ์เสริมความงาม Mangostana เป็นต้น, ของใช้ส่วนตัว (Personal Care) เช่น ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว Mangostana เป็นต้น และผลิตภัณฑ์ในครัวเรือน (Home Care) เช่น ยาสีฟัน, ผงซักฟอก เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ในปี 2553 บริษัทคาดว่าจะมียอดขายโดยรวมอยู่ที่ 5,700 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นยอดขายจากผลิตภัณฑ์พลาสติกอยู่ที่ 3,500 ล้านบาท เมลามีนอยู่ที่ 1,930 ล้านบาท และ Trading อยู่ที่ 270 ล้านบาท ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นจะอยู่ที่ 21% ส่วนแนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2553 และช่วงครึ่งปีหลัง 2553 คาดว่ามีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องจากช่วงครึ่งปีแรก 2553 ที่มีผลขาดทุนสุทธิ 81.7 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทอยู่ระหว่างเร่งรัดดำเนินการเพื่อขอชดเชยค่าสินไหมทดแทน ซึ่งในเบื้องต้นได้รับมาจากบริษัท เมืองไทยประกันภัยมาแล้วจำนวน 100 ล้านบาท และคาดว่าได้รับส่วนที่เหลือภายในสิ้นปี 2553 ซึ่งหากเป็นไปตามคาดการณ์ จะทำให้มีรายได้ดังกล่าวเข้ามาชดเชยผลขาดทุนจากเหตุการณ์เพลิงไหม้โกดังโรงงานเก็บเม็ดพลาสติก
นอกจากนี้ การจำหน่ายสินค้า “SNatur” ได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค และนักขายอิสระในระบบ MLM จนส่งผลให้ยอดขายของธุรกิจซื้อมาขายไปซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ดี เพิ่มสูงขึ้นจากปีก่อน โดยคาดว่าภายในปี 2554 จะมียอดขายเพิ่มขึ้นเป็น 400 ล้านบาท
นายสนั่น กล่าวอีกว่า สำหรับแนวโน้มธุรกิจเมลามีน ยังมีความต้องการสินค้าสูงเกินกว่ากำลังการผลิต จึงเชื่อว่ายังมีแนวโน้มเติบโตได้อีกมากในอีก 5 ปีข้างหน้า โดยเฉพาะตลาดส่งออก ส่วนผลิตภัณฑ์พลาสติกเป็นวัสดุที่สามารถนำมาทดแทนวัสดุอื่นได้เป็นอย่างดีเพราะมีคุณสมบัติคงทน และน้ำหนักเบา คาดว่าจะยังมีศักยภาพเติบโตได้อีกเช่นเดียวกัน
ปัจจุบัน บริษัทมีกำลังการผลิตในผลิตภัณฑ์เมลามีนอยู่ที่ประมาณ 13,500 ตันต่อปี โดยบริษัทได้ลงทุนในเครื่องอัดเมลามีนเพิ่มในระหว่างปี 2553 เป็นจำนวนกว่า 88 เครื่อง,ขยายกำลังการผลิตของโรงงานในประเทศเวียดนาม จากปัจจุบันให้มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 500 ตันต่อปี ส่วนผลิตภัณฑ์พลาสติกปัจจุบันมีกำลังการผลิตประมาณ 45,000 ตันต่อปี และสาขาโรงงานในประเทศเวียดนามมีกำลังการผลิตพลาสติกประมาณ 2,500 ตันต่อปี
อย่างไรก็ตาม บริษัทมีฐานลูกค้าทั้งในประเทศ และมีตลาดส่งออกไปยัง 107 ประเทศทั่วโลก โดยกลุ่มลูกค้าผลิตภัณฑ์เมลามีนในประเทศ ประกอบด้วย ตัวแทนจำหน่าย นักขายอิสระในระบบการขายตรง (Direct Sales), ลูกค้าสถาบัน (โรงแรม, ร้านอาหาร, สายการบิน) ส่วนกลุ่มลูกค้าผลิตภัณฑ์พลาสติก ส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้ากลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ ตัวแทนจำหน่าย ผู้ประกอบการโรงภาพยนตร์ และค่ายเพลง รวมทั้งยังมีการจัดงานมหกรรมลดราคาประจำปี ส่วนระบบธุรกิจเครือข่าย SNatur มีกลุ่มลูกค้าหลัก ได้แก่ นักขายอิสระในระบบ MLM