happy on September 20, 2010, 03:46:23 PM


21 OCTOBER 2010




เรื่องย่อ
              เมื่อบาทหลวง ค็อททอน มาร์คัส เดินทางมาถึงบ้านไร่ของหลุยส์ สวีทเซอร์ ซึ่งอยู่ในชนบทของหลุยเซียนา หลวงพ่อมาร์คัสคิดว่าการ “ปราบผี” คราวนี้ คงเหมือนคราวอื่นๆ ที่เขาปฏิบัติมานับครั้งไม่ถ้วน เช่นเดียวกับสวีทเซอร์ผู้เป็นเจ้าบ้าน ที่หวังว่าหลวงพ่อมาร์คัสคือที่พึ่งสุดท้าย ในการช่วยขับไล่ปิศาจที่เข้ามาสิงอยู่ในร่างของเนลล์ บุตรสาววัยรุ่นของเขา ทว่าหลังจากทำหน้าที่เป็นหมอผีกำมะลอมานานหลายปี มาร์คัสตั้งใจจะปราบผีครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย เขาและลูกทีมจึงวางแผนบันทึกภาพพิธีกรรมเป็นภาพยนตร์สารคดีด้วย แต่เมื่อสถานการณ์เลวร้ายลงถึงขั้นเลือดตกยางออก มาร์คัสจึงรู้ทันทีว่า เขาได้พบกับปิศาจร้ายของจริงเข้าให้แล้ว และมันก็ช้าเกินกว่าที่จะหันหลังกลับ ความเชื่อของหลวงพ่อมาร์คัสถูกสั่นคลอนจนถึงก้นบึ้งหัวใจ เขาและลูกทีมต้องหาทางช่วยชีวิตเนลล์ รวมทั้งชีวิตตัวเองให้ได้ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป



เบื้องหลังงานสร้าง
              ไม่ว่าเวลาจะผ่านมาเนิ่นนานกี่ยุคกี่สมัย พิธีปราบผีก็ยังดำรงอยู่มาจนถึงสหัสวรรษใหม่ ซึ่งมีโรงเรียนสอนวิชากำราบผี และผู้สำเร็จการศึกษาด้านนี้เกิดขึ้นมากมาย จากผลสำรวจในปี 2005 โดยกัลลัป โพลล์ บ่งบอกว่าชาวอเมริกัน 42 เปอร์เซ็นต์ เชื่อในเรื่องปิศาจมาเข้าสิงร่างคน ปีที่ผ่านมา อัครสังฆมณฑลแห่งชิคาโก (Archdiocese of Chicago) ได้แต่งตั้งนักปราบผีอาชีพที่ทำงานแบบเต็มเวลาเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ส่วนในนิวยอร์ค กลุ่มพระสี่รูปทำการสืบสวนคดีที่น่าสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับปิศาจถึง 40 คดี ตั้งแต่ปี 1995
บาทหลวง เจมส์ เลอบาร์ อดีตพระนักปราบผีแห่งอัครสังฆมณฑลนิวยอร์ค อ้างว่ามีชาวอเมริกันผู้นับถือแคธอลิคหนึ่งในทุกๆ สิบคนเคยพบเห็นหรือมีประสบการณ์เกี่ยวข้องกับการถูกผีสิงโดยตรง “สิบปีก่อน พ่อไม่มีสักคดี” ท่านกล่าว “แต่เดี๋ยวนี้ พ่อมีสามร้อยคดี” ท่ามกลางภารกิจของโบสถ์แคธอลิคที่ข้องเกี่ยวกับลัทธิซาตานและเวทย์มนตร์ ซึ่งแผ่ขยายออกไปทั่วโลก บาทหลวง แกเบรียล อามอร์ธ ผู้ดำรงตำแหน่งหัวหน้านักปราบผีแห่งวาติกันมาเป็นเวลานานถึง 25 ปี เปิดเผยว่า พระสันตะปาปา เบเนดิคท์ ที่ 16 ทรงสนับสนุนให้ “ต่อสู้กับปิศาจ” โดยการฝึกหัดพระจำนวนหลายร้อยรูป เพื่อเป็นนักปราบผีโดยเฉพาะ
              ภาพยนตร์เรื่อง The Last Exorcism นำประสบการณ์ดังกล่าวมาเผยแพร่ ผ่านตัวละครบาทหลวง ค็อททอน มาร์คัส ผู้รับหน้าที่ปราบผีมานานกว่า 25 ปี ซึ่งตัวมาร์คัสนั้นรู้อยู่แก่ใจว่า สิ่งที่เขาทำตลอดมานั้นเป็นเรื่องไม่จริง และด้วยความต้องการล้างมือจากเรื่องโกหกหลอกลวงทั้งหลาย หลวงพ่อมาร์คัสจึงยอมให้มีการถ่ายทำสารคดีเกี่ยวกับการประกอบพิธีไล่ผีครั้งสุดท้ายของเขา ซึ่งกลับกลายเป็นว่า เขาต้องเผชิญหน้ากับอำนาจลึกลับที่น่าสะพรึงเป็นครั้งแรก
              “เราตั้งคำถามผ่านหนังเรื่องนี้ว่า มันคืออำนาจเหนือธรรมชาติ หรือความชั่วร้ายจากฝีมือมนุษย์ เนลล์เป็นโรคประสาท หรือถูกผีเข้าจริงๆ” ผู้กำกับ แดเนียล สตัมม์ กล่าว “สำหรับผม นี่คือคำถามที่น่าสนใจ หนังนำเสนอเรื่องความเชื่อ และบทบาทของมันที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตของเรา มันจะช่วยคุณได้อย่างไร และจะทำลายคุณได้อย่างไรด้วย”แพทริค เฟเบียน ผู้รับบทเป็นบาทหลวง ค็อททอน มาร์คัส เสริมว่า “มันเป็นเรื่องของการมองเห็นพระเจ้าและปิศาจ เกี่ยวกับความศรัทธาที่จะเข้ามาหาคุณ ในเวลาที่คุณต้องการมันมากที่สุด”
              The Last Exorcism เริ่มต้นจากผู้อำนวยการสร้าง เอริค นิวแมน ที่ต้องการสร้างภาพยนตร์เกี่ยวกับการถูกผีสิง ให้ใกล้เคียงกับความเป็นจริงที่สุด นิวแมนติดต่อสองนักเขียน แอนดรูว์ เกอร์แลนด์ และฮัค บ็อทโค เจ้าของผลงานเขียนบทเรื่อง Mail Order Wife  ที่มีสไตล์การดำเนินเรื่องแบบภาพยนตร์สารคดี ซึ่งนิวแมนต้องการนำมาใช้ใน The Last Exorcism ด้วย
              เมื่อเริ่มพัฒนาบทภาพยนตร์ เกอร์แลนด์และบ็อทโคได้แรงบันดาลใจจาก Marjoe สารคดีเรื่องดังในยุคทศวรรษที่ 70 “Marjoe เป็นเรื่องของพระนักเทศน์รูปหนึ่ง ผู้ยอมให้ถ่ายทำสารคดีเกี่ยวกับชีวิตของเขา ให้เห็นถึงเรื่องราวไม่ชอบมาพากล เขาไม่ศรัทธาในสิ่งที่เขาทำ และพยายามถอยห่างออกมา เราคิดว่านี่คือจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับหนังที่เรากำลังทำอยู่” เกอร์แลนด์อธิบาย
              ขณะที่จุดประสงค์ดั้งเดิมของ The Last Exorcism คือการเขย่าขวัญผู้ชม เกอร์แลนด์และบ็อทโคไม่ลืมที่จะสร้างความสมจริงน่าเชื่อถือแก่เรื่องราวด้วย “เราอยากให้หนังดำเนินไปตามแนวทางของสารคดี ก่อนที่มันจะก้าวเข้าไปในส่วนที่เกี่ยวกับพลังลึกลับเหนือธรรมชาติ” เกอร์แลนด์เอ่ย “สารคดีที่จะเปิดเผยเบื้องหลังของชายคนหนึ่ง ผู้ทำการปราบผีแบบปลอมๆ ซึ่งหากไม่มีเรื่องราวเหนือธรรมชาติมาเกี่ยวข้อง มันก็ยังเป็นหนังที่น่าสนใจอยู่ดี” จากถ้อยคำของสองนักเขียนบท สไตล์แบบสารคดีทำให้ทั้งคู่มีอิสระในการสร้างสรรค์งานมากขึ้น “เรื่องจริงนั้นแปลกกว่านิยาย” บ็อทโคกล่าว “เราต้องหลีกเลี่ยงที่จะใส่สิ่งไม่น่าเชื่อลงไป เมื่อมันเป็นหนังในรูปแบบปกติ ซึ่งมีการแบ่งเรื่องเป็นสามองค์ และมีเงื่อนงำที่ผู้ชมทุกคนพากันคาดเดา แต่ในสารคดี เราสามารถเพิ่มสิ่งที่ต้องการลงไปได้ ซึ่งถ้าเป็นหนังสยองขวัญทั่วไป ผู้ชมจะต้องพูดว่ามันเพี้ยนหรือแปลกประหลาดเกินไป”
              ผู้อำนวยการสร้าง อีไล รอธ เจ้าของผลงานกำกับเรื่อง Hostel และงานแสดงใน Inglourious Basterds ตกลงใจร่วมงานกับคู่หู เอริค นิวแมน ทันทีที่ได้อ่านบทภาพยนตร์ฉบับสุดท้าย “มันเป็นบทหนังที่น่ากลัวที่สุดเรื่องหนึ่ง เท่าที่ผมเคยอ่านมา” เขากล่าว “ทำเอาผมวางไม่ลง และอดขนลุกขนพองไม่ได้ ผมชอบไอเดียเกี่ยวกับการไล่ผีปลอมๆ ที่แสดงให้เห็นว่าทุกอย่างเป็นเรื่องลวงโลก จากนั้นจึงค่อยๆ รู้ว่ามีอำนาจบางอย่างที่อยู่เหนือความเข้าใจของเรา และเราไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับมัน”
              ในการค้นหาผู้กำกับภาพยนตร์ที่เหมาะสม นิวแมนและรอธติดใจความสามารถของแดเนียล สตัมม์ เจ้าของผลงานเรื่อง A Necessary Death ที่ดำเนินตามแนวทางของภาพยนตร์สารคดี “หนังของแดเนียลน่าตื่นเต้นมากเรื่องความสมจริงและการแสดง” นิว
แมนชม “มันเป็นงานที่แตกต่าง มีความเป็นหนังทดลองแนวจิตวิทยาอย่างมาก นั่นแสดงให้เห็นว่าเขาทำงานในสไตล์นี้ได้ดีทีเดียว” ขณะที่สตัมม์เองยอมรับว่า ภาพยนตร์สยองขวัญคือแนวที่เขาไม่คุ้นเคย “ฉากสยองขวัญทั้งหลายเป็นเรื่องใหม่สำหรับผม ฉากที่ตื่นเต้นที่สุดในการถ่ายทำคือ ฉากที่เกี่ยวพันกับตัวละคร ซึ่งผมก็แค่ปล่อยให้นักแสดงทำงานของพวกเขาไป โดยไม่รู้ว่ามันจะออกมาเป็นอย่างไร เพราะเราจะได้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันไปทุกครั้ง”
              สตัมม์เชื่อว่าความพิถีพิถันด้านภาพในโลกภาพยนตร์ คือเคล็ดลับในการสร้างความสมจริงให้เรื่องราว “ผู้กำกับภาพมีความสำคัญเทียบเท่าตัวละครตัวหนึ่ง ซึ่งมีส่วนช่วยให้ผู้ชมรู้สึกผ่อนคลายหรือถูกคุกคามได้ ผมคิดว่า สำหรับหนังสยองขวัญสักเรื่องมันเยี่ยมยอดมาก ที่จะทำให้ผู้ชมใกล้ชิดกับความสยองมากกว่าที่พวกเขาต้องการ”


happy on September 20, 2010, 03:50:14 PM




นักแสดง
แพทริค เฟเบียน (ค็อททอน มาร์คัส)
              เฟเบียนมีประสบการณ์การแสดง 18 ปี กับผลงานภาพยนตร์โทรทัศน์ 72 เรื่อง รวมทั้งภาพยนตร์และละครเวทีอีกจำนวนหนึ่ง เขาเป็นที่จดจำของผู้ชมจากบท “เท็ด ไพรซ์” ในภาพยนตร์โทรทัศน์เรื่อง Big Love ที่ออกอากาศทางช่อง HBO เฟเบียนเป็นชาวเพนซิลวาเนีย จบการศึกษาสาขาศิลปะการแสดงจากมหาวิทยาลัยเพนน์ สเตท และจบปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย สเตท งานอดิเรกของเขาคือการขี่ม้า และเล่นกีฬาหลายประเภท เช่น เทนนิส, วอลเลย์บอล, สโนว์บอร์ด ปัจจุบันเขาอาศัยอยู่ในลอส แองเจลิส กับภรรยา แมนดี สเต็คเคลเบิร์ก ผู้เป็นทั้งนักร้องและนักแสดงตลก
              ผลงานภาพยนตร์โทรทัศน์ของเฟเบียนมีดังนี้ Las Vegas (2007), Boston Legal (2008), Burn Notice (2008), The Cleaner (2008), Snow 2: Brain Freeze (2008), Life (2009), The Mentalist (2009), According to Jim (2008-2009), Valentine (2008-2009), Drop Dead Diva (2009), Crash (2009), The Deep End (2010), Big Love (2009-2010), Rizzoli & Isles (2010), Svetlana (2010) และ Gigantic (2010)

แอชลีย์ เบลล์ (เนลล์ สวีทเซอร์)
              นักแสดงสาวมากพรสวรรค์อีกหนึ่งคนของวงการ ผู้มีความมุ่งมั่นเต็มเปี่ยม ที่จะแสวงหาความท้าทายในอาชีพนักแสดง ด้วยการรับบทบาทที่หลากหลาย เบลล์สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนศิลปะ Tisch อันมีชื่อเสียงแห่งมหาวิทยาลัยนิวยอร์ค และฝึกฝนการแสดงจากการทำงานในภาพยนตร์, ภาพยนตร์โทรทัศน์, ภาพยนตร์โฆษณา และละครเวที ผลงานของเธอมีดังนี้ Boston Public (TV-2003), CSI: Crime Scene Investigation (TV-2007), The Truth About Angels (2009), United States of Tara (TV-2009), State of Play (2009), Stay Cool (2009) และ Magic (2010)

ไอริส บาห์ร (ไอริส ไรเซน)
              เป็นทั้งนักเขียน, นักแสดง และผู้กำกับภาพยนตร์ที่ได้รับคำชื่นชมอย่างสูง บาห์รมีผลงานแสดงทางโทรทัศน์มากมายหลายเรื่อง แต่ที่โด่งดังที่สุดคือการรับบทเป็น “ราเชล ไฮเนอมันน์” ใน Curb Your Enthusiasm รวมถึงการเป็นผู้เขียนบท, ผู้กำกับ, ผู้อำนวยการสร้าง และนำแสดงในซีรีส์โทรทัศน์เรื่อง Svetlana บาห์รเกิดและโตในย่านบรองซ์ นครนิวยอร์ค เธอย้ายไปอยู่อิสราเอลตอนอายุ 13 ปี เมื่อายุ 20 ปี เธอออกเดินทางท่องเที่ยวเอเชียตามลำพัง และนำประสบการณ์ครั้งนั้นมาเขียนเป็นหนังสือชื่อ Dork Whore ภายหลังกลับจากเอเชีย เธอเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยบราวน์ และทันทีที่เรียนจบ บาห์รก็ย้ายไปอยู่นิวยอร์ค เพื่อเป็นนักแสดงอย่างเต็มตัว ผลงานภาพยนตร์โทรทัศน์ที่ผ่านมาของเธอมีดังนี้ Friends (2003), Coupling (2003), Significant Others (2004), Curb Your Enthusiasm (2005), E-Ring (2006), Commander in Chief (2006), Shorty McShorts’ Shorts (2007), State of Mind (2007), The Big Bang Theory (2007), Dollhouse (2009) และ Svetlana (2010)

หลุยส์ เฮอร์ธัม (หลุยส์ สวีทเซอร์)
              เป็นเวลานานกว่า 30 ปี ที่หลุยส์ เฮอร์ธัมประกอบอาชีพนักแสดงที่บ้านเกิดของเขา เมืองบาตรัน รูจ ในรัฐหลุยเซียนา นอกจากนี้ เขายังมีบริษัทผลิตภาพยนตร์ของตัวเองชื่อ แรนแซค ฟิล์ม ที่สร้างภาพยนตร์มาแล้วถึง 8 เรื่อง เช่น Favorite Son (1997), The Ghost (2001), The Rain Makers (2005) และ Nola (2006)
              ผลงานของเฮอร์ธัมในฐานะนักแสดงมีดังนี้ Living Proof (TV-2008), The Curious Case of Benjamin Button (2008), I Love You Phillip Moriis (2009), In the Electric Mist (2009), Men of a Certain Age (TV-2009), Journey to Promethea (TV-2010), Wrong Side of Town (2010), Treme (TV-2010), Breaking Bad (TV-2010) และ The Gates (TV-2010)

คาเล็บ แลนดรี โจนส์ (คาเล็บ สวีทเซอร์)
              นักแสดงหนุ่มวัยยี่สิบผู้ปรากฏตัวใน No Country for Old Men ภาพยนตร์ 4 รางวัลออสการ์ประจำปี 2007 ของคู่พี่น้องโคเอน และร่วมแสดงใน The Social Network ผลงานล่าสุดของผู้กำกับ เดวิด ฟินเชอร์ รวมทั้ง X-Men: First Class ภาคต่อของ X-Men ส่วนในวงการโทรทัศน์ เขารับบทเป็น “จิมมี อัดเลอร์” ใน Friday Night Lights ปี 2008  จำนวนสามตอน






happy on September 20, 2010, 03:52:52 PM
ทีมงาน
แดเนียล สตัมม์ (ผู้กำกับภาพยนตร์)
              เกิดและโตที่เมืองฮัมบวร์ก ประเทศเยอรมนี ในช่วงวัยรุ่นเขาทำงานเป็นนักจัดรายการวิทยุ และเป็นบรรณาธิการนิตยสารวัยรุ่น เมื่อเริ่มสนใจละครเวที สตัมม์ลงเรียนวิชาการแสดง และทดลองเขียนบท ก่อนที่เขาจะเดินทางไปทำงานด้านสันติภาพที่กรุงเบลฟาสท์ ประเทศไอร์แลนด์เหนือ สามปีต่อมา สตัมม์กลับมาเยอรมนี เพื่อศึกษาวิชาเขียนบทและการสร้างภาพยนตร์ที่เมืองลุดวิกสบวร์ก ผลงานเขียนบทภาพยนตร์โทรทัศน์ของเขาดีเด่นถึงขั้นได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัล จากนั้น สตัมม์ก้าวขึ้นไปเป็นผู้กำกับสารคดีชีวิตของนิค เคฟ นักดนตรีร็อคชื่อดัง
              สตัมม์ย้ายไปอยู่ลอส แองเจลิส เพื่อเรียนต่อวิชาการกำกับที่สถาบันภาพยนตร์อเมริกัน ผลงานวิทยานิพนธ์ของเขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัล ASC Award หลังจากนั้นอีกสามปี เขามีผลงานภาพยนตร์สั้นมากมาย จนกระทั่งในปี 2008 ภาพยนตร์ขนาดยาวเรื่องแรก A Necessary Death ก็ได้ปรากฏแก่สายตาผู้ชม และได้รับรางวัลขวัญใจมหาชนจากเทศกาลภาพยนตร์ AFI ภาพยนตร์เรื่อง The Last Exorcism คือผลงานกำกับเรื่องที่สองของเขา

แอนดรูว์ เกอร์แลนด์ และฮัค บ็อทโค (ผู้เขียนบทร่วม และผู้อำนวยการสร้างฝ่ายบริหาร)
              คู่หูนักเขียนบทและผู้กำกับภาพยนตร์อิสระเรื่อง Mail Order Wife (2004) ที่ได้รับการโหวตจากเว็บไซท์ Funnyordie.com ให้เป็นหนึ่งใน “ภาพยนตร์ 14 เรื่องที่คุณควรดูก่อนตาย” นอกจากนี้ เกอร์แลนด์ยังทำงานร่วมกับท็อด ฟิลลิปส์ (The Hangover) ในการกำกับสารคดีเรื่อง Frat House ที่พิชิตรางวัล Grand Jury Prize จากเทสกาลภาพยนตร์ซันดานซ์ ประจำปี 1998 ด้วย ผลงานเขียนบทและกำกับร่วมกันเรื่องล่าสุดของเกอร์แลนด์และบ็อทโค ได้แก่ The Virginity Hit

เอริค นิวแมน (ผู้อำนวยการสร้าง)
              หนึ่งในผู้ก่อตั้ง Strike Entertainment บริษัทผลิตภาพยนตร์ในสังกัดของ NBC/Universal ก่อนหน้านี้ นิวแมนเคยทำงานในฝ่ายผลิตและพัฒนาของ Beacon Communications ซึ่งเครดิตของเขาระหว่างทำงานที่นั่นคือภาพยนตร์เรื่องดังอย่าง Bring It On, The Family Man, Spy Game,  End of Days, The Hurricane และ Thirteen Days
              ในฐานะผู้อำนวยการสร้าง นิวแมนมีผลงานภาพยนตร์เรื่องดัง เช่น Dawn of the Dead (2004), Slither (2006), Children of Men (2006), Flash of Genius (2008) รวมทั้งผลงานที่กำลังตามมาอย่าง The Thing และ The Man with the Iron Fist

อีไล รอธ (ผู้อำนวยการสร้าง)
              สร้างชื่อขึ้นมาจากภาพยนตร์เรื่องแรก Cabin Fever (2002) ที่เขารับหน้าที่ทั้งเขียนบท, อำนวยการสร้าง และกำกับ ตามด้วย Hostel (2005) ที่เขายังคงทำงานควบสามตำแหน่งเช่นเดิม ผลงานเรื่องนี้ประสบความสำเร็จมากมายจนได้รับรางวัลภาพยนตร์สยองขวัญยอดเยี่ยมแห่งปีจากนิตยสารเอ็มไพร์ และมีภาคสองตามออกมาในปี 2007
              ทางด้านบทบาทนักแสดง รอธมีผลงานโดดเด่นเป็นที่จดจำของผู้ชมในภาพยนตร์โดยผู้กำกับ เควนติน ทารันติโน เรื่อง Grindhouse (2007), Death Proof (2007) และ Inglourious Basterds (2009)
 
มาร์ค อับราฮัม (ผู้อำนวยการสร้าง)
              ประธานและผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท Strike Entertainment เจ้าของผลงานอำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่องดังอย่าง Bring It On (2000), The Family Man (2000), Spy Game (2001), The Emperor’s Club (2002), The Rundown (2003), Dawn of the Dead (2004) และ Children of Men (2006) 
 
โทมัส เอ บลิส (ผู้อำนวยการสร้าง)
              ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท Strike Entertainment บลิสเริ่มสร้างภาพยนตร์ 8 มม.ตั้งแต่เรียนอยู่ชั้นประถม เขาจบการศึกษาทั้งวิชาภาพยนตร์และกฎหมายจาก UCLA ผลงานอำนวยการสร้างภาพยนตร์เด่นๆ ของเขา ได้แก่ Air Force One (1997), The Hurricane (1999), End of Days (1999), Thirteen Days (2000), The Family Man (2000), Spy Game (2001), Dawn of the Dead (2004) และ Children of Men (2006)

ซอลทาน ฮอนติ (ผู้กำกับภาพ)
              ผู้กำกับภาพชาวฮังกาเรียน ที่เริ่มต้นอาชีพด้วยการถ่ายภาพนิ่ง ภายหลังเรียนจบสาขาภาพยนตร์และละคร ฮอนติเดินทางมาลอส แองเจลิส ในปี 2002 เพื่อศึกษาวิชาการถ่ายภาพเพิ่มเติมที่สถาบันภาพยนตร์อเมริกัน ผลงานเด่นของเขาคือการกำกับภาพในภาพยนตร์เรื่อง Torn from the Flag: A Film by Klaudia Kovacs (documentary-2007), A necessary Death (2008), In Spite of Darkness: A Spiritual of Encounter with Auschwitz (documentary-2008), Finding Madison (2008) และ Tales from the Catholic Church of Elvis! (2009) ภาพยนตร์เรื่อง The Last Exorcism คือการร่วมงานกันครั้งที่สองระหว่างฮอนติและผู้กำกับ แดเนียล สตัมม์ 
ชิลพา คานนา (ผู้ลำดับภาพ)
              The Last Exorcism คือการร่วมงานกันครั้งที่สองระหว่างชิลพา คานนา ผู้ลำดับภาพชาวอินเดีย และผู้กำกับ แดเนียล สตัมม์ ผลงานที่ผ่านมาของเธอคือ A necessary Death (2008), South of Heaven (2008) และ Life Is Hot in Cracktown (2009)

แอนดรูว์ โบฟิงเจอร์ (ผู้ออกแบบงานสร้าง)
ผลงาน - The Way of War (2009)
            - Mirror 2 (2010)

ชอว์นา เลโอเน (ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย)
ผลงาน - Abduction of Jesse Bookman (2008)
            - Drool (2009)
            - Drones (2010)
            - Mothman (TV-2010)
            - Ticking Clock (2010)

นาธาน บาร์ (ผู้ประพันธ์ดนตรีประกอบ)
ผลงานเด่น - Death Valley (2004)
                  - The Dukes of Hazzard (2005)
- Hostel (2005)
- Beerfest (2006)
- Grindhouse (2007)
-  Hostel: Part II (2007)
- Shutter (2008)
- Tortured (2008)
- Open House (2010)
----------------------------------------