wmt on August 25, 2010, 09:50:58 AM
            นายสมชัย  บุญนำศิริ  กรรมการผู้จัดการ  บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน)  เปิดเผยว่า    บริษัทได้เพิ่มทางเลือกสำหรับการลงทุนให้กับนักลงทุน   ในสัปดาห์นี้ จึงเปิดจำหน่าย 2 กองทุน ได้แก่  กองทุนเปิดเคแทม  โกลด์  ฟันด์  ( KTAM Gold   Fund  : KT-GOLD )  จำหน่ายช่วง  IPO ระหว่างวันที่  24  สิงหาคม  -  7 กันยายน 2553       มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท     ในราคา 10 บาทต่อหน่วย  มูลค่าขั้นต่ำในการสั่งซื้อ 2,000  บาท   เป็นกองทุนที่มีนโยบายการลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน SPDR  ® Gold   Trust  (กองทุนรวมหลัก)  เพียงกองทุนเดียว   โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ  80 ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิของกองทุน    โดยกองทุนรวมหลัก  จัดตั้งขึ้นภายใต้กฎหมายของประเทศสวิสเซอร์แลนด์  และบริหารจัดการโดย   World Gold    Trust    Services, LLC     กองทุนรวมหลัก    มีนโยบายมุ่งเน้นลงทุนในทองคำแท่ง  เพื่อสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับผลตอบแทนของราคาทองคำ

          นอกจากนี้  กองทุนดังกล่าว ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์  นิวยอร์ก  ญี่ปุ่น   ฮ่องกง   และสิงคโปร์    ซึ่งบริษัทจัดการจะทำการซื้อขายหน่วยลงทุนของกองทุนดังกล่าว  ในตลาดหลักทรัพย์  ประเทศ สิงคโปร์   และใช้สกุลเงินดอลล่าร์สหรัฐ      ส่วนที่เหลือลงทุนในตราสารหนี้ ที่มีลักษณะคล้ายเงินฝาก     หรือตราสารหนี้ทั่วไป  หรือเงินฝากในสถาบันการเงินตามกฎหมายไทย  ที่มีอายุตราสารหรือสัญญา   หรือระยะเวลาการฝากเงิน  แล้วแต่กรณี ต่ำกว่า 1 ปี  เพื่อสำรองเงินไว้สำหรับดำเนินงานของกองทุน   รอการลงทุนในต่างประเทศ   หรือรักษาสภาพคล่องของกองทุน    ตามที่คณะกรรมการก.ล.ต.กำหนด     กองทุนจะลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า เพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 25 ของมูลค่าเงินลงทุนในต่างประเทศ 

          นายสมชัย  กล่าวต่อไปว่า   ทองเป็นสินทรัพย์เพื่อการลงทุนที่ได้รับความสนใจมากที่สุดประเภทหนึ่งในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากราคาทองปรับตัวขึ้นมาก  จากประมาณ $400/oz ในปี 2547 มาอยู่ที่ประมาณ $1,200/oz ในปัจจุบัน (7,500 บาท/ทอง 1 บาท มาเป็น 18,500 บาท/ ทอง 1 บาท) ซึ่งผู้ซื้อทอง หรือผู้ลงทุนในทองในช่วงเวลาดังกล่าวจะได้กำไรถึงร้อยละ 200 ซึ่งเป็นระดับกำไรที่สูงมาก เมื่อลองเทียบกับผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้น (SET Index) ในช่วงเวลาเดียวกัน ผู้ลงทุนจะได้ผลตอบแทนประมาณร้อยละ 40 

                 อย่างไรก็ตาม ราคาทองได้ปรับตัวขึ้นมากแล้ว  ส่งผลให้นักลงทุนบางส่วนมีความกังวลเกี่ยวกับราคาทองในอนาคต  ราคาทองมักถูกผลักดันจากปัจจัยพื้นฐานหลายปัจจัย ได้แก่ ภาวะเศรษฐกิจ ค่าเงินดอลล่า ราคาสินค้าโภคพัณฑ์โดยรวม อัตราดอกเบี้ยและเงินเฟ้อ ความต้องการลงทุนของนักลงทุน และความต้องการลงทุนเพื่อเป็นเงินทุนสำรองของธนาคารกลาง

              ปัจจัยทางด้านภาวะเศรษฐกิจ   โดยปรกติแล้วราคาทองจะปรับตัวสูงขึ้นเมื่อนักลงทุนมีความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจ หรือความเสี่ยงของประเทศ (Economic and Sovereign Risks) ราคาทองปรับตัวขึ้นจาก$650/oz เป็น $950/oz ในปี 2550 จากความเสี่ยงจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในขณะที่ราคาทองปรับขึ้นจาก $1,090/oz เป็น $1,230/oz ในช่วงต้นปี 2553 จากความกังวลเกี่ยวกับปัญหาหนี้ภาครัฐในยุโรป  คาดการณ์ว่า ความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจน่าจะเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้ราคาทองปรับตัวขึ้นได้อีกในช่วงครึ่งหลังของปี 2553 และปี 2554

    ปัจจัยทางด้านทางค่าเงิน   ราคาทองมักจะปรับตัวผกผันกับค่าเงินดอลล่า ซึ่งเราคาดการณ์ว่าค่าเงินดอลล่ามีแนวโน้มที่จะอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐฯมีแนวโน้มที่จะชะลอตัวลงในช่วงครึ่งหลังของปี 2553 ส่งผลให้นักลงทุนคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯมีแนวโน้มที่จะอัดฉีดเม็ดเงินเข้าไปในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น ซึ่งปัจจัยดังกล่าวน่าจะเป็นปัจจัยที่ทำให้ราคาทองปรับตัวสูงขึ้นได้ในช่วงปี 2554-2555

                ปัจจัยทางด้านดอกเบี้ย และเงินเฟ้อ      อัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯมีแนวโน้มที่จะอยู่ในระดับ 0-0.25% จนถึงปี 2554 ในขณะที่ภาวะเงินเฟ้อมีแนวโน้มที่จะปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเงินเฟ้อจากราคาอาหารที่ปรับตัวสูงขึ้น สถานการณ์ ดังกล่าวส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยอยู่ต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อ (Negative Real Interest Rate) โดยปรกติ เมื่อเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวราคาทองจะปรับตัวขึ้นประมาณร้อยละ 20-40 ต่อปี

               ปัจจัยจากความต้องการลงทุนในทองมีแนวโน้มที่จะปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งความต้องการลงทุนในทองเป็นหนึ่งปัจจัยหลัก  ที่ส่งผลให้ราคาทองปรับสูงขึ้น นอกจากนี้ ความต้องการซื้อทองจากธนาคารกลางยังเป็นปัจจัยที่สำคัญที่ส่งผลให้ราคาทองปรับสูงขึ้นมาก โดยในปัจจุบันทองยังเป็นสัดส่วนที่น้อยมากในเงินทุนสำรองของธนาคารทั่วโลก ซึ่งสัดส่วนดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นในอนาคต เนื่องจากค่าเงินดอลล่ามีแนวโน้มที่จะอ่อนค่าลง ส่งผลให้ธนาคารกลางต่างๆต้องกระจายการลงทุนไปในสินทรัพย์อื่นๆรวมถึงทองคำ  จากปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ราคาทองมีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นได้ถึง $1,350 - $1,500 /oz ใน12-24 เดือน

          นอกจากนี้ บริษัทยังเปิดจำหน่าย กองทุนเปิดกรุงไทยตราสารหนี้ เอฟไอเอฟ 16 ( KTFF16 ) อายุโครงการ 2 ปี 3 เดือน  มูลค่า   900 ล้านบาท   ระหว่างวันที่  25-31  สิงหาคม 2553    โดยกองทุนจะลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศ   ในสัดส่วนสถาบันละ 25%   ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน  ประกอบไปด้วย พันธบัตรของธนาคาร First Gulf Bank   เป็นธนาคารที่มีสินทรัพย์ใหญ่เป็นอันดับ 4 ใน UAE    , ลงทุนใน  TAQA Abu Dhabi National Energy    เป็นบริษัทพลังงานในรัฐอาบู ดาบีโดยมีรัฐบาล อาบูดาบี เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ผ่านหน่วยงานภาครัฐ , ลงทุนใน VTB   Capital  SA  เป็นธนาคารขนาดใหญ่อันดับ 2 ของรัสเซียโดยมีผู้ถือหุ้นเป็นรัฐบาลรัสเซีย   และลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลเกาหลีใต้    โดยผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนประมาณการที่ 3.10% ต่อปี