KTAM เปิดขายกองทุนตราสารหนี้ใน-ตปท.6เดือนชู1.60%ต่อปี
นายสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ในระหว่างการเปิดจำหน่าย กองทุนเปิดกรุงไทยธนทรัพย์ เอ6 เดือน 1 ( KTSUPA6M1 ) ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 3 สิงหาคม 2553 อายุโครงการ 6 เดือน มูลค่า 1,500 ล้านบาท กองทุนมีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ทั้งในและต่างประเทศ โดยแผนการลงทุนจะเน้นลงทุนในตราสารการเงินประเภท Euro Commercial Paper (ECP) ที่ออกโดย Export-Import Bank of Korea (A1) เป็น Policy Bank ที่ถือหุ้นโดยรัฐบาลเกาหลีใต้ทั้ง 100% และ Kookmin Bank (A1) ซึ่งเป็นธนาคารขนาดใหญ่ของประเทศเกาหลีใต้ นอกจากนี้ กองทุนจะลงทุนในเงินฝากประจำของธนาคาร Barclays (AA-) ที่สาขาประเทศ United Arab Emirates รวมถึงจะลงทุนในตั๋วแลกเงินในประเทศที่ออกโดย บจ.อยุธยาดีเวลลอปเม้นท์ ลิสซิ่ง (A-) และ บมจ.เอเซียเสริมกิจ ลีสซิ่ง (BBB+) ผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนประมาณการที่ 1.60% ต่อปี โดยเงินลงทุนในต่างประเทศจะมีการทำสัญญาป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน
นอกจากนี้ บริษัทอยู่ในระหว่างการเปิดซื้อขายรอบใหม่ (Rollover) สำหรับกองทุนเปิดกรุงไทย ประจำ 3 เดือน คุ้มครองเงินต้น 2 ( KTFIX3M2) อายุโครงการ 3 เดือน ตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 30 กรกฎาคม 2553 เป็นกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในพันธบัตรภาครัฐในประเทศ 99% และส่วนที่เหลือลงทุนใน เงินฝากของธนาคารสินเอเชีย ผลตอบแทนประมาณการที่ 1.20% ต่อปี
นายสมชัย กล่าวต่อไปว่า อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรภาครัฐในไทยระยะไม่เกิน 6 เดือน ในช่วงที่ผ่านมามีการปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งเกิดจากการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เพิ่มเป็น 1.50% ตลาดคาดการณ์ว่าจะมีการปรับขึ้นต่อเนื่องอีก 0.25% - 0.50% ในช่วงที่เหลือของปีนี้ ส่งผลให้ผลตอบแทนจากการลงทุนในประเทศเริ่มปรับตัวเพิ่มขึ้น ขณะที่การลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศยังมีความผันผวนจากตัวเลขเศรษฐกิจในสหรัฐฯ และยุโรปที่ยังมีความอ่อนแอ แม้ว่าสถาบันการเงินส่วนใหญ่ในยุโรปจะผ่านการทดสอบความแข็งแกร่งทางการเงิน (Stress Test) ขณะที่ต้นทุนการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินบาทต่อดอลล่าร์สหรัฐฯ ยังอยู่ในระดับสูงและค่อนข้างผันผวน จึงทำให้ผลตอบแทนจากการลงทุนในต่างประเทศเมื่อแปลงกลับเป็นสกุลเงินบาทปรับลดลง แต่อย่างไรก็ตาม ยังสูงกว่าการลงทุนในตราสารในประเทศที่มีอันดับความน่าเชื่อถือใกล้เคียงกัน