ผู้ถือหุ้นTMI อนุมัติปันผล 0.05 บ. อานิสงส์ต้นทุนจีนพุ่งหนุนยอดขาย
ผู้ถือหุ้นธีระมงคลฯ ไฟเขียวให้จ่ายปันผลหุ้นละ 0.05 บาทปลายเดือนกรกฎาคมนี้ ส่งซิกผลงานครึ่งปีหลังยังฉายแววรุ่ง ออเดอร์ล้นเล็งปั๊มกำลังผลิตเพิ่ม รับอานิสงส์ต้นทุนวัตถุดิบจีนพุ่งกวาดยอดขายเพิ่ม
นายธีระชัย ประสิทธิ์รัตนพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ธีระมงคล อุตสาหกรรม จำกัด(มหาชน)หรือ TMI เปิดเผยว่า ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2553 เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2553 มีมติอนุมัติให้บริษัทจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานประจำปี2552ในอัตราหุ้นละ 0.05 บาท จำนวน 320 ล้านหุ้น รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 16 ล้านบาท สำหรับผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผลครั้งนี้จะต้องมีรายชื่อปรากฏอยู่ในวันปิดสมุดทะเบียน ณ วันที่ 5 กรกฎาคม 2553 และกำหนดจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 30 กรกฎาคม 2553
นายธีระชัย กล่าวว่า สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทในปัจจุบันยังมีอัตราการเติบโตต่อเนื่อง และบริษัทมั่นใจว่า รายได้รวมทั้งปี 2553 จะเติบโตได้ตามเป้า 17-20% อย่างแน่นอน เมื่อเปรียบเทียบจากปี 2552 ที่มีรายได้รวม 295.87 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 23.63 ล้านบาท
“ตั้งแต่เดือนพ.ค.ที่ผ่านมา ผลิตภัณฑ์ใหม่ของบริษัททั้ง 3 ประเภท ได้แก่ รีโมทสวิตช์ (Remote Switch) หลอดไฟพร้อมบัลลาสต์อิเลคทรอนิคส์ (Click-set) และหลอดคอมแพคฟลูออเรสเซนต์ (Compact Fluorescent) ได้รับความสนใจจากลูกค้าอย่างต่อเนื่อง จนทำให้ต้องมีการวางแผนเพื่อรองรับปริมาณความต้องการซื้อที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งบริษัทจะเน้นการเข้าประมูลโครงการอุปกรณ์ไฟฟ้าแสงสว่างจากภาครัฐต่อเนื่อง” นายธีระชัย กล่าว
นอกจากนี้ ต้นทุนวัตถุดิบในต่างประเทศที่มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น เชื่อจะส่งผลดีกับบริษัทในการผลิตสินค้าขายในประเทศ และส่งออก เนื่องจากต้นทุนการผลิตของบริษัทสามารถแข่งขันได้ โดยเฉพาะในอนาคตหากประเทศจีนยกเลิกการให้ความช่วยเหลือภาษีส่งออกของจีนในเหล็กซิลิคอนจากเดิมที่เคยช่วยเหลือ 15% เป็น 0% จะส่งผลให้สินค้าของคู่แข่งขันมีราคาสูงขึ้น ประกอบกับค่าเงินหยวนที่มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น เหล่านี้เป็นปัจจัยที่จะส่งผลให้สินค้าจากจีนมีราคาเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย
ปัจจุบัน บริษัทอยู่ระหว่างการขอรับการสนับสนุนการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ของธุรกิจการผลิตและจำหน่ายหลอดไฟฟ้า ซึ่งจะทำให้บริษัทได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลและภาษีเงินปันผลสำหรับรายได้จากการดำเนินธุรกิจดังกล่าวเป็นระยะเวลา 8 ปี เนื่องจากเป็นการส่งเสริมของภาครัฐที่ต้องการให้ธุรกิจ SMEs เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง และจะเป็นผลดีของบริษัทและผู้ถือหุ้นต่อไปในระยะยาว