happy on July 08, 2010, 02:49:33 PM


BEYOND
A REASONABLE
                  DOUBT
19 AUGUST 2010


มีเหตุผลมากมายที่นักสร้างภาพยนตร์ทั้งหลาย ต่างหันกลับไปหาภาพยนตร์แนวหนึ่ง ซึ่งได้รับความนิยมอย่างสูงในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สอง และผู้ชมรู้จักกันดีว่า นี่คือภาพยนตร์ “ฟิล์มนัวร์” ภาพยนตร์แนวนี้มักมีเนื้อหาหลักเกี่ยวข้องกับความละโมบ และความทะเยอทะยานของมนุษย์ การค้นหาความจริงอันเจ็บปวด รวมถึงอำนาจของความรักและความปรารถนา ที่อาจบดบังหรือเปิดนัยน์ตาของเราได้ ภาพยนตร์ฟิล์มนัวร์ยังคงเป็นหนึ่งในคำจำกัดความที่สามารถอธิบายลักษณะเด่นของโลกภาพยนตร์อเมริกัน หรือแม้กระทั่งโลกภาพยนตร์ทั้งหมด
              ใน BEYOND A REASONABLE DOUBT ผู้กำกับ ปีเตอร์ ไอแอมส์ ได้จับเอาอารมณ์ความรู้สึกแบบฟิล์มนัวร์อย่างแท้จริง มาให้ผู้ชมในยุคสมัยใหม่ได้สัมผัส ในเรื่องราวน่าตื่นเต้น ที่มีตัวละครโดดเด่น และอารมณ์ขันร้ายลึก โดยศูนย์กลางของเรื่องอยู่ที่ ซีเจ นิโคลัส นักข่าวหนุ่มผู้ทะเยอทะยาน และมาร์ค ฮันเตอร์ อัยการเขตจอมเจ้าเล่ห์ ผู้ชนะคดีใหญ่ถึง 17 คดี ด้วยการใช้ DNA ปลอมเป็นหลักฐานตบตาคณะลูกขุน เพื่อพิสูจน์ว่าฮันเตอร์เป็นคนใจคด ซีเจจึงคิดแผนการสุดบ้าบิ่น โดยสร้างหลักฐานเท็จที่ระบุว่าตัวเขาเป็นฆาตกร จากนั้นจึงรอเวลาที่จะเปิดเผยความจริง เมื่อฮันเตอร์ใช้ DNA มาปรักปรำเขา ทว่าฮันเตอร์ไม่ได้อ่อนหัด แถมยังอันตรายกว่าที่ซีเจคิดไว้มาก ทำให้นักข่าวหนุ่มต้องหันไปพึ่งพาความช่วยเหลือจากเอลลา คริสทัล นักกฎหมายสาวไฟแรงแห่งสำนักงานของฮันเตอร์นั่นเอง
              ด้วยการหักมุมในตอนจบที่จะท้าทายสติปัญญาของผู้ชม อย่างที่ภาพยนตร์ฟิล์มนัวร์ชั้นดีทุกเรื่องมี BEYOND A REASONABLE DOUBT ผสานความชาญฉลาดของเนื้อเรื่อง ให้เข้ากับความโรแมนติก และความตื่นเต้นที่เราเคยได้รับจากภาพยนตร์ฮอลลีวูดคลาสสิคสมัยก่อน โดยได้นักแสดงชายเจ้าของรางวัลออสการ์อย่างไมเคิล ดั๊กลาส มาเชือดเฉือนบทบาทกับสองนักแสดงดาวรุ่ง เจสซี เม็ทคาล์ฟ และแอมเบอร์ แทมบลิน สมทบด้วยนักแสดงฝีมือดีอีกมากที่มาช่วยเพิ่มสีสัน เช่นเดียวกับโลเคชั่นของเมืองเชร็ฟพอร์ท รัฐหลุยเซียน่า ซึ่งใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้
              ผู้กำกับ ไอแอมส์ ถ่ายทอดเรื่องราวตามแนวทางของฟิล์มนัวร์ได้อย่างไม่มีจุดด่างพร้อย แม้ว่าจะได้รับอิทธิพลมาจากผลงานของผู้กำกับระดับตำนานอย่างฟริทซ์ แลง, บิลลี ไวล์เดอร์ และจอห์น ฮุสตัน ทั้งนี้ BEYOND A REASONABLE DOUBT ก็เป็นผลงานรีเมคภาพยนตร์ชื่อเดียวกันของฟริทซ์ แลง ที่ออกฉายในปี 1956 ซึ่งถือว่าเป็นภาพยนตร์สัญชาติอเมริกันเรื่องสุดท้ายของผู้กำกับบรมครูท่านนี้ด้วย




« Last Edit: July 08, 2010, 02:52:08 PM by happy »

happy on July 08, 2010, 02:54:00 PM




เบื้องหลัง: เมื่อของเก่ากลายเป็นของใหม่อีกครั้ง
              “เกือบยี่สิบปีแล้ว” ปีเตอร์ ไอแอมส์รำลึก “ที่ผมทำหนังเรื่อง NARROW MARGIN ให้บริษัท RKO เดิม” ภาพยนตร์เรื่องนั้นที่นำแสดงโดย จีน แฮคแมน, แอน อาร์เชอร์ และเจที วอลช์ ทำให้ไอแอมส์ผู้สร้างชื่อขึ้นมาจากผลงานแนวไซไฟอย่างเรื่อง CAPRICORN ONE, OUTLAND และ 2010 ได้ชิมลางกับภาพยนตร์ฟิล์มนัวร์เป็นครั้งแรก ผลลัพธ์คือความสนุกสนานที่ได้ทำงานแนวนี้ “ผมกลายเป็นเพื่อนกับเท็ด ฮาร์ทลีย์ และ RKO เท็ดบอกว่า ‘เรามาหาเรื่องอื่นทำต่อเถอะ ผมอยากทำหนังกับคุณอีก’ ผมเลยไปห้องสมุดของเขา และเจอหนังเก่าเรื่อง BEYOND A REASONABLE DOUBT ซ่อนอยู่ ตอนนั้นคือปี 1990 ผมคิดว่ามันน่าสนใจที่จะทำหนังเรื่องนี้” ไอแอมส์ที่ครั้งหนึ่งเคยทำงานเป็นผู้สื่อข่าว รู้สึกผูกพันกับเรื่องราวของนักข่าวใจกล้า ผู้หมายจับผิดอัยการเขตขี้โกง และแน่นอนว่าเขาสามารถรีเมคมันได้ทันที แต่นั่นจะทำให้เนื้อเรื่องดูง่ายดาย และตื้นเขินมากเกินไป “พวกเขามีบทหนังที่ผมไม่ถูกใจ” ไอแอมส์กล่าว “มันให้น้ำหนักพวกทนาย ซึ่งต่างจากที่ผมคิดไว้ ผมจึงขอถอนตัว เท็ดโทรมาบอกว่าผู้กำกับคนอื่นจะเข้ามาสานงานต่อ ไม่เสียดายเหรอ ผมตอบว่าไม่ ผมถอนตัวแล้ว จากนั้นอีกทุกๆ 3-4 ปี ผมจะคอยตามข่าวของหนังเรื่องนี้ และก็ยังไม่เห็นมันเข้าฉายเสียที”
              สำหรับชายมากความสามารถผู้เป็นทั้งผู้กำกับ, ผู้เขียนบท และผู้กำกับภาพ ไอแอมส์ขอลองรับตำแหน่งผู้อำนวยการสร้างอีกครั้งในรอบ 24 ปี หลังจากที่เขาเคยรับหน้าที่นี้มาแล้วในผลงานเรื่อง 2010 “ราว 2-3 ปีก่อน ผมโทรหาเท็ด และมันก็เกิดขึ้นจนได้” เมื่อมีโอกาสครั้งที่สอง ไอแอมส์จึงรีบคว้าไว้ “ผมบ้าบิ่นพอที่คิดทำหนังซึ่งไม่มีเทคนิคพิเศษ ไม่มีระเบิดตูมตาม เหมือนเรื่องก่อนๆ ที่ผมเคยทำ ผมอยากทำหนังเขย่าขวัญให้ใกล้เคียงกับหนังฟิล์มนัวร์คลาสสิค แต่ไม่อยากทำให้ผู้ใหญ่ดู ผมอยากทำให้เด็กวัยรุ่นดูมากกว่า”
              เพื่อให้เป็นไปตามจุดมุ่งหมาย ไอแอมส์นำบทภาพยนตร์ฉบับดั้งเดิมที่เขียนโดย ดั๊กลาส มอร์โรว์ มาปรับปรุงแก้ไขใหม่ ใส่เรื่องเกี่ยวกับพัฒนาการของการตรวจ DNA ลงไป รวมถึงเรื่องอำนาจของการสืบเสาะค้นหาความจริงขององค์กรสื่อสารมวลชนทั้งหลาย และเพิ่มบทบาทให้ตัวละครสำคัญ ซีเจ นิโคลัส ที่รับบทโดย เจสซี เม็ทคาล์ฟ ซึ่งสุดท้ายก็ได้ผลงานทันสมัยที่พูดถึงโลกยุคปัจจุบันได้ตรงประเด็นอีกหนึ่งชิ้น “หนังที่ผมอยากทำ เมื่อถูกนำเสนอในเรื่องราวเกี่ยวกับคนรุ่นใหม่ และวงการสื่อสารมวลชน ทำให้มันกลายเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับตัณหา และความโลภของมนุษย์อย่างไม่น่าเชื่อ มันเป็นเรื่องของการขาดความสัตย์ซื่อในสถานที่ๆ ต้องการความซื่อสัตย์ และผมคิดว่านี่จะเป็นเรื่องที่คนรุ่นใหม่รู้สึกคุ้นเคย เพราะมันเป็นเรื่องราวของพวกเขา เรื่องของคนที่คิดว่าตัวเองรู้มากกว่าที่เขามีประสบการณ์จริง”
              แต่การสร้างภาพยนตร์ฟิล์มนัวร์สำหรับวัยรุ่นนั้น “เป็นงานที่ยากลำบากกว่าที่ผมคิดไว้มาก” ไอแอมส์เอ่ย “เพราะถ้าคุณคิดอยากทำหนังอิสระแล้วล่ะก็ นักแสดงต้องมาเป็นอันดับหนึ่งเสมอ และถ้าได้คนที่ตลาดต้องการ ก็จะยิ่งดีมากขึ้นไปอีก” เป็นผู้อำนวยการสร้าง โมเช เดียมังท์นั่นเอง ที่ตระหนักถึงความจริงข้อนี้ ไอแอมส์เล่าว่าเดียมังท์บอกว่า “ผมว่าเราสร้างหนังเรื่องนี้ได้ ถ้าเรามีนักแสดงดังๆ สักคน คุณจะได้ตัวนักแสดงที่คุณอยากได้ทุกคน ถ้าคุณมีนักแสดงรุ่นใหญ่ฝีมือเยี่ยม มารับบทตัวละครอัยการเขต” และทีมผู้สร้างก็สามารถหาตัวนักแสดงที่จะมาเป็นเสาหลักให้นักแสดงคนอื่นๆ “ไมเคิล ดั๊กลาสตอบตกลง” ไอแอมส์กล่าวพร้อมกับฉีกยิ้ม เหมือนว่าเขาเพิ่งได้รับข่าวดีเมื่อวานนี้เอง “เมื่อเรามีไมเคิล สถานการณ์ก็เริ่มเข้าที่เข้าทาง”
              เมื่อถูกถามว่าทำไมเขาจึงเซ็นสัญญารับแสดงภาพยนตร์เรื่องนี้ ไมเคิล ดั๊กลาส เจ้าของรางวัลออสการ์ สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม จาก WALL STREET และผลงานชั้นเยี่ยมอย่าง TRAFFIC, FATAL ATTRACTION และ WONDER BOYS ตอบว่า “บทหนังมีความหลากหลาย, ได้ปีเตอร์ ไอแอมส์ที่ผมเคยร่วมงานกับเขาใน THE STAR CHAMBER เมื่อหลายปีก่อน มาเป็นผู้กำกับ, มีโมเช เดียมังท์เป็นผู้อำนวยการสร้าง และบริษัทผู้สร้างคือ ซิกเนเจอร์ ฟิล์ม ที่ผมทำงานด้วยมานานหลายปี” ผู้ร่วมอำนวยการสร้าง ไลเมอร์ เดียมังท์ กล่าวว่า “เมื่อไมเคิล ดั๊กลาสก้าวเข้ามา ทุกอย่างก็เป็นไปอย่างราบรื่น” เธอสำทับอีกว่า “คงไม่มีใครเหมาะกับบทนี้มากกว่าเขาอีกแล้ว ไมเคิลคือตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับบทมาร์ค ฮันเตอร์”
              “การคัดเลือกนักแสดงของเราจะไม่เป็นแบบนี้ ถ้าเราทำหนังภายใต้การดูแลของสตูดิโอใหญ่” เดียมังท์อธิบาย “พวกเขาคงไม่แฮปปี้แน่ ที่เราเลือกเจสซี เม็ทคาล์ฟ มารับบทนำ เพราะถึงเขาจะเป็นดาราดาวรุ่ง แต่ก็ยังไม่โด่งดังมากอย่างที่สตูดิโอต้องการ” การเลือกเจสซี เม็ทคาล์ฟ มาแสดงเป็นเจซี นิโคลัส นักข่าวหนุ่มผู้เป็นคู่ต่อกรของมาร์ค ฮันเตอร์ อาจส่งผลต่ออนาคตของตัวภาพยนตร์ และอนาคตของนักแสดงหนุ่มเอง “หนังเรื่องนี้และบทที่ผมได้รับ คือการกระโดดก้าวใหญ่ของผม” เม็ทคาล์ฟอธิบาย “ในวัยยี่สิบปลายๆ ผมเคยเล่นแต่หนังวัยรุ่น ซึ่งครั้งนี้มันต่างออกไป แสดงเป็นตัวละครอายุน้อยนั้นง่ายกว่า เพราะชีวิตของพวกเขาไม่ซับซ้อนยุ่งยากเท่าผู้ใหญ่ ยังไม่ต้องแบกรับภาระมากมาย บทซีเจเปิดโอกาสให้ผมได้นำประสบการณ์ส่วนตัวมาใช้ในการแสดง ซึ่งมันน่าดีใจมากในฐานะนักแสดงคนหนึ่ง คล้ายๆ กับการได้บำบัดตัวเอง เหมือนว่าเรากำลังใช้ชีวิตปกติผ่านทางตัวละครตัวนั้น” ในกองถ่าย เม็ทคาล์ฟเป็นที่ชื่นชมของทั้งผู้กำกับ และนักแสดงที่ร่วมงานกับเขา “เจสซีมหัศจรรย์ ความจริงคือผมอิจฉาเขานิดหน่อย” ดั๊กลาสหัวเราะ “คุณรู้นี่ เขาหล่อมาก ดูสิ เขาหล่อแค่ไหนเวลาอยู่บนจอ เขาเป็นดารา เอาจริงเอาจัง ทำงานหนัก หนักมากๆ แต่ก็สนุกสนานร่าเริง ผมเชื่อว่าเราจะได้เห็นอะไรดีๆ จากเขาอีกเยอะ”
              สำหรับบทเอลลา คริสทัล ตัวละครนำฝ่ายหญิง นักกฎหมายสาวผู้ยืนอยู่ตรงกลาง ระหว่างมาร์ค ฮันเตอร์ หัวหน้าที่เธอนับถือ และซีเจ นิโคลัส หนุ่มคนรักของเธอ ผู้กำกับ ไอแอมส์ตัดสินใจเลือกแอมเบอร์ แทมบลิน หนึ่งในนักแสดงหญิงดาวรุ่งฮอลลีวูด ผู้น่าสนใจที่สุดในปัจจุบัน “เหตุผลที่ผมเลือกเธอ เพราะตัวละครนี้เป็นตัวถ่ายทอดด้านที่โรแมนติกของหนัง ดังนั้น จึงจำเป็นต้องใช้นักแสดงที่สวย และเราอยากได้คนเก่งด้วย แอมเบอร์เป็นผู้หญิงที่ฉลาดอย่างเหลือเชื่อ รักอิสระ และมีความคิดก้าวหน้า” เมื่อต้องมาแสดงคู่กัน แทมบลินได้รับคำชมจากไมเคิล ดั๊กลาสว่า “เธอเก่ง ไม่ใช่สิ เธอเก่งมาก ผมดูเธอแสดงฉากในศาล ที่เธอต้องอยู่ต่อหน้ากล้องคนเดียว และเธอก็แสดงปฏิกิริยาโต้ตอบออกมาได้อย่างน่าทึ่ง ทั้งที่เบื้องหน้าเธอไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นเลย นี่แหละ คนเก่ง ทำยังไงก็เก่ง”
              ด้านนักแสดงสมทบ ไอแอมส์เลือกสองนักแสดงผู้มีชื่อเสียงทางบทตลก คนแรกคือออร์แลนโด โจนส์ ผู้รับบทเป็นนักสืบนิคเคอร์สัน ที่เฝ้าติดตามดูคู่กรณีทั้งสองฝ่าย โจนส์โด่งดังมาจากผลงานเบาสมองอย่าง OFFICE SPACE, SOUR GRAPES และ DRUMLINE “ออร์แลนโดเป็นนักแสดงคนโปรดของไลเมอร์กับผม” ไอแอมส์กล่าว “ผมชอบเขาจากเรื่อง DRUMLINE จากนั้นก็ติดตามดูผลงานของเขาเรื่อยมา” ส่วนโจนส์นั้นสารภาพว่าเขาเกือบพลาดบทนี้เสียแล้ว เนื่องจากตารางการทำงานที่รัดตัว “ผมถ่ายหนังเรื่องอื่นอยู่ที่ฟลอริดา คิดว่าจะไม่ได้เล่นเรื่องนี้เสียแล้ว” แต่ทันทีที่โจนส์เสร็จจากการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนั้น เขาก็รีบคว้าโอกาสที่จะได้ทำงานกับไอแอมส์ คนที่เขาบอกว่า “พิเศษ.. ผมรักผู้ชายคนนี้ เขาเหลือเชื่อ เป็นทั้งผู้กำกับ, ผู้กำกับภาพ, ผู้อำนวยการสร้าง บทหนังที่เขาเขียนก็มีเอกลักษณ์ และชัดเจนมาก คุณอาจคิดว่าคุณเข้าใจมัน แต่คุณไม่มีทางรู้แน่จนกว่าจะได้เข้าฉาก และได้ยินผู้กำกับพูดว่า ‘เอาล่ะ ใช้ได้’ ผมโชคดีที่ได้ร่วมงานกับเขา ผมมีความสุขจริงๆ”
              “ออร์แลนโดตลกกว่าผม” โจเอล เดวิด มัวร์ ผู้รับบทเป็นฟินเลย์ เพื่อนนักข่าวของซีเจ กล่าว “และผมไม่ชอบหรอกนะ ที่เป็นแบบนี้ ผมไม่ชอบให้เขาตลกกว่า” ไอแอมส์เล่าว่าคนที่ทำให้เขารู้จักมัวร์คือผู้ร่วมอำนวยการสร้าง ไลเมอร์ เดียมังท์ “เธอถามผม ‘เอาโจเอล เดวิด มัวร์มั้ย? และผมตอบว่า ‘ใครคือโจเอล เดวิด มัวร์?’ แต่เธอก็ตื๊อผม ส่งดีวีดีของโจเอลมาให้ดู แล้วเราก็ไปพบเขา เราจึงรู้ว่าเขาเยี่ยมจริงๆ” จากปากคำของมัวร์ เขาตื่นเต้นมากที่ได้รับข่าวดีครั้งนี้ “เย้.. ผมได้เล่นหนังกับไมเคิล ดั๊กลาส ผมขอเลิกเหล้าเลยดีกว่า แต่ยังไงต้องขอดื่มฉลองก่อน” มัวร์หัวเราะ แล้วจึงพูดเป็นงานเป็นการ “ถ้าคุณได้ร่วมงานกับปีเตอร์ ไอแอมส์ และไมเคิล ดั๊กลาส คุณต้องแน่ใจว่า คุณพร้อมที่จะทุ่มเทจนหมดตัว

happy on July 08, 2010, 02:56:24 PM




นักแสดง
เจสซี เม็ทคาล์ฟ  (ซีเจ นิโคลัส)
              นักแสดงหนุ่มเจ้าของรางวัล SAG AWARD ผู้โด่งดังจากบทจอห์น โรวแลนด์ คนสวนผู้ตกหลุมรักกับอดีตนางแบบสาว แกเบรียล โซริส (เอวา ลองกอเรีย) ในภาพยนตร์โทรทัศน์เรื่อง DESPERATE HOUSEWIVES
              เจสซี เม็ทคาล์ฟ เกิดที่มอนเทอเรย์ รัฐแคลิฟอร์เนีย แต่ไปโตที่วอเตอร์ฟอร์ด รัฐคอนเน็คติกัท ภายหลังจบการศึกษาที่มหาวิทยาลัยนิวยอร์ค และโรงเรียนศิลปะทิชอันมีชื่อ เขาก็ก้าวเข้าสู่อาชีพนายแบบ ก่อนที่จะเริ่มงานแสดงครั้งแรกในภาพยนตร์โทรทัศน์เรื่อง PASSIONS เม็ทคาล์ฟได้รับรางวัล YOUNG HOLLYWOOD AWARD สาขานักแสดงหน้าใหม่ที่น่าจับตามอง ประจำปี 2005 และได้เข้าชิงรางวัล TEEN CHOICE AWARD ถึงสองรางวัล
              ผลงานภาพยนตร์จอใหญ่ของเขาเริ่มต้นเมื่อปี 2006 ด้วยเรื่อง JOHN TUCKER MUST DIE ตามด้วย INSANITARIUM และ THE OTHER END OF THE LINE

แอมเบอร์ แทมบลิน  (เอลลา คริสทัล)
              ศิลปินผู้ฉายแววตั้งแต่อายุยังน้อย แอมเบอร์ แทมบลินอุทิศพรสวรรค์ทางศิลปะของเธอให้แก่การแสดง และการเขียนบทกวี เธอเริ่มอาชีพนักแสดงตั้งแต่อายุ 11 ปี ในภาพยนตร์โทรทัศน์เรื่อง GENERAL HOSPITAL ซึ่งทำให้เธอได้รับรางวัล HOLLYWOOD REPORTER YOUNG STAR AWARD สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม และโด่งดังจากบทนำใน JOAN OF ARCADIA ที่ส่งให้เธอเข้าชิงรางวัลเอ็มมี และลูกโลกทองคำ สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมในภาพยนตร์ซีรีส์ชีวิต
              ผลงานภาพยนตร์จอใหญ่ของแทมบลินซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีของผู้ชมคือSISTERHOOD OF THE TRAVELING PANTS ทั้งสองภาค นอกจากนี้ก็มีภาพยนตร์สยองขวัญเรื่องดังอย่าง THE RING, THE GRUDGE 2 ภาพยนตร์คุณภาพอย่าง 10 MINUTES OLDER ของผู้กำกับ วิม เวนเดอร์ส และ STEPHANIE DALEY ของผู้กำกับ ฮิลารี บรอเจอร์
              นอกจากเป็นนักแสดงชื่อดัง แทมบลินยังเป็นนักเขียนมากความสามารถ บทกวีของเธอได้รับการตีพิมพ์ใน THE SAN FRANCISCO CHRONICLE ตั้งแต่เธออายุเพียง 12 ปี และเมื่อตอนอายุ 14 และ 17 ปี เธอก็ตีพิมพ์หนังสือรวมบทกวี, ภาพถ่าย, ศิลปะ จำนวน 2 เล่ม ที่ชื่อ PLENTY OF SHIPS และ OF THE DAWN
              แทมบลินเซ็นสัญญากับสำนักพิมพ์ไซมอน แอนด์ ชูสเตอร์ เพื่อตีพิมพ์หนังสือรวมบทกวีขนาดยาวของเธอชื่อ FREE STALLION ซึ่งหนังสือเล่มนี้ได้รับรางวัล BOARDERS BOOK CHOICE AWARD ประจำปี 2006 นอกจากนี้ งานเขียนของเธอยังปรากฏอยู่ในนิตยสารชื่อดังหลายๆ ฉบับด้วย

โจเอล เดวิด มัวร์  (คอรีย์ ฟินเลย์)
              ในฐานะนักแสดงหน้าใหม่ ถือว่าโจเอล เดวิด มัวร์ประสบความสำเร็จ ที่ได้ปรากฎตัวใน AVATAR ภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ของเจมส์ คาเมรอน เขาเริ่มอาชีพนักแสดงด้วยบท “โอเวน” ในภาพยนตร์เบาสมองเรื่อง DODGEBALL และมีผลงานตามมาอย่างไม่ขาดสาย เช่น NANA’S BOY, THE SHAGGY DOG, ART SCHOOL CONFIDENTIAL, HATCHET และ EL MUERTO มัวร์มีความสามารถด้านการกำกับด้วย เขากำกับภาพยนตร์สั้นเรื่อง MILES FROM HOME และภาพยนตร์ขนาดยาวเรื่อง SPIRAL               

ไมเคิล ดั๊กลาส  (มาร์ค ฮันเตอร์)
              นักแสดงรุ่นใหญ่ผู้มีประสบการณ์ยาวนานกว่า 35 ปี ในวงการภาพยนตร์, ละคร และโทรทัศน์ ไมเคิล ดั๊กลาสประสบความสำเร็จครั้งแรกในฐานะผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง ONE FLEW OVER THE CUCKOO’S NEST ที่พิชิตรางวัลออสการ์ประจำปี 1975 ถึง 5 สาขา รวมทั้งสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ตั้งแต่นั้นมา ดั๊กลาสก็เป็นทั้งนักแสดง และผู้อำนวยการสร้าง ที่เลือกผลิตผลงานคุณภาพที่มีเนื้อหาสะท้อนสังคมและการเมือง เช่นภาพยนตร์เรื่อง THE CHINA SYNDROME และ TRAFFIC แต่ยังไม่ทิ้งงานที่เน้นความบันเทิงอย่าง FATAL ATTRACTION, BASIC INSTINCT และ ROMANCING THE STONE ในปี 1987 เขาได้รับรางวัลออสการ์ สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม จากภาพยนตร์เรื่อง WALL STREET
ออร์แลนโด โจนส์  (บิล นิคเคอร์สัน)
              ออร์แลนโด โจนส์ คือนักแสดงผู้มีงานชุกมากที่สุดคนหนึ่งในฮอลลีวูด ด้วยปริมาณผลงานเกือบหนึ่งโหลในรอบห้าปีที่ผ่านมา เขาเกิดและโตที่เซาท์ แคโรไลนา เริ่มเป็นที่รู้จักจากบทบาทในภาพยนตร์ของผู้กำกับ แบร์รี เลวินสัน เรื่อง LIBERTY HEIGHTS จากนั้นเขาก็มีผลงานเด่นๆ ตามมาอีกมากมายทั้งในจอแก้วและจอเงิน อาทิ MAGNOLIA, THE REPLACEMENTS, BEDAZZLED, DOUBLE TAKE, SAY IT ISN’T SO, EVOLUTION, DRUMLINE, BIKER BOYZ, RUNAWAY JURY, HOUSE OF D, FATHER OF THE PRIDE, THE EVIDENCE, PRIMEVAL, I THINK I LOVE MY WIFE และ CIRQUE DU FREAK: THE VAMPIRE’S ASSISTANT               
]
« Last Edit: July 08, 2010, 02:58:59 PM by happy »

happy on July 08, 2010, 03:01:11 PM




ทีมงาน
ปีเตอร์ ไอแอมส์  (ผู้กำกับ/ ผู้เขียนบท/ ผู้กำกับภาพ)
              ปีเตอร์ ไอแอมส์ คือกำลังหลักคนสำคัญของวงการภาพยนตร์อเมริกัน เป็นระยะเวลานานกว่า 30 ปี ภาพยนตร์เรื่อง BEYOND A REASONABLE DOUBT เป็นผลงานกำกับลำดับที่ 19 ของเขา จากอดีตผู้ประกาศข่าวที่ทำงานในชิคาโก และนิวยอร์ค ผลงานภาพยนตร์สารคดีนำไอแอมส์เดินทางมาสู่ฮอลลีวูด และสร้างชื่อขึ้นมาจากการกำกับภาพยนตร์ไซไฟอย่าง CAPRICORN ONE, OUTLAND และ 2010
              ผลงานเด่นเรื่องอื่นของไอแอมส์มีดังนี้ HANNOVER STREET, THE STAR CHAMBER, RUNNING SCARED, NARROW MARGIN, TIMECOP, SUDDEN DEATH, THE RELIC, THE MUSKETEER และ END OF DAYS
 
โมเช เดียมังท์  (ผู้อำนวยการสร้าง)
              ผู้อำนวยการสร้างที่มีรายชื่อผลงานเรื่องดังยาวเหยียด ภาพยนตร์เหล่านั้น ได้แก่ KANSAS, HIGH SPIRITS, FULL MOON IN BLUE WATER, NIGHT GAME, DOUBLE IMPACT, HARD TARGET, MEN OF WAR, TIMECOP, SUDDEN DEATH, THE QUEST, MAXIMUM RISK, DOUBLE TEAM, KNOCK OFF, THE BODY, THE MUSKETEER, SPARTAN, IMAGINARY HEROES, A SOUND OF THUNDER, TRISTAN+ISOLDE, THE BLACK DAHLIA, IT’S ALIVE และ SOLITARY MAN
 
มาร์ค เดมอน  (ผู้อำนวยการสร้าง)
              มีประสบการณ์ในอุตสาหกรรมภาพยนตร์มาเป็นเวลานานถึง 50 ปี ยี่สิบปีแรกเขายึดอาชีพนักแสดง โดยมีผลงานราว 50 เรื่อง และได้รับเกียรติยศสูงสุดคือการพิชิตรางวัลลูกโลกทองคำ สาขานักแสดงหน้าใหม่ยอดเยี่ยมประจำปี 1961 จากภาพยนตร์เรื่อง THE FALL OF THE HOUSE OF USHER ที่กำกับโดย โรเจอร์ คอร์แมน ผลงานส่วนใหญ่ของเดมอนเป็นภาพยนตร์ยุโรป ซึ่งส่งให้เขากลายเป็นหนึ่งในนักแสดงผู้ประสบความสำเร็จอย่างสูงจากภาพยนตร์คาวบอยอิตาเลียน หรือที่เรียกกันว่าคาวบอยสปาเก็ตตีนั่นเอง
              ขณะทำงานที่ประเทศอิตาลีในช่วงยุค 70 เดมอนเริ่มสนใจธุรกิจการสร้างและจัดจำหน่ายภาพยนตร์ ซึ่งเขามองเห็นช่องทางเติบโตในการนำภาพยนตร์อเมริกันชั้นดี ออกไปขายยังตลาดต่างประเทศ ดังนั้น ในปี 1977 เขาจึงกลับสหรัฐอเมริกา เพื่อมาตั้ง PRODUCER SALES ORGANIZATION โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อจัดจำหน่ายภาพยนตร์อเมริกันเรื่องดัง ให้แก่บริษัทต่างประเทศ
              เป็นเวลานานกว่า 20 ปีแล้ว ที่ผลงานการสร้างภาพยนตร์ของเดมอน ทำรายได้รวมบนตารางบ๊อกซ์ออฟฟิศทั่วโลก เป็นจำนวนเงินมากกว่า 2,000 ล้านดอลลาร์ ตลอดชีวิตเขาการสร้างภาพยนตร์กว่า 70 เรื่อง และได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์ถึง 10 ครั้ง ภาพยนตร์เรื่องเด่นที่เดมอนอำนวยการสร้างมีดังนี้ DAS BOOT, THE NEVER ENDING STORY, THE CLAN OF THE CAVE BEAR, NINE ½ WEEKS, SHORT CIRCUIT, THE LOST BOYS, BAT 21, HIGH SPIRITS, WILD ORCHID, DIARY OF A HITMAN, STALINGRAD, THE JUNGLE BOOK, EYE OF THE BEHOLDER, THE BODY, THE MUSKETEER, THE UNITED STATES OF LELAND, 11:14, MONSTER, BEYOND THE SEA, THE UPSIDE OF ANGER, CAPTIVITY และ IT’S ALIVE

เท็ด ฮาร์ทลีย์  (ผู้อำนวยการสร้าง)
              CEO แห่งบริษัทผลิตภาพยนตร์ RKO PICTURES STUDIO ผู้จบการศึกษาจากโรงเรียนธุรกิจฮาร์วาร์ด และมหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ หลังจากเป็นนักบินในกองทัพ และต้องปลดประจำการ เนื่องจากได้รับบาดเจ็บ ฮาร์ทลีย์ก็เบนเข็มสู่โลกธุรกิจ ด้วยการไปทำงานที่วอลล์สตรีทนาน 2 ปี ในตำแหน่งผู้ติดต่อประสานงานกับบริษัทกัลฟ์ แอนด์ เวสเทิร์น (หรือพาราเมาท์ พิคเจอร์ส ในปัจจุบัน) ซึ่งกลายเป็นการเปิดประตูให้เขาก้าวเข้าสู่อุตสาหกรรมภาพยนตร์ในที่สุด
              ผลงานอำนวยการสร้างภาพยนตร์ของฮาร์ทลีย์ ได้แก่ MILK & MONEY, MIGHTY JOE YOUNG, RITUAL, THE MAGNIFICENT AMBERSONS, LAURA SMILES, ARE WE DONE YET? และ BANKRUPT

ไมเคิล พี ฟลานาแกน  (ผู้อำนวยการสร้าง)
              เริ่มสร้างภาพยนตร์ด้วยตัวเองตั้งแต่อายุเพียง 10 ขวบ ด้วยโปรแกรมผลิตภาพยนตร์สำหรับเด็ก หลังจากเรียนจบไฮสคูล ฟลานาแกนรับใช้ชาติโดยการเป็นทหาร และไปปฏิบัติงานที่ประเทศเยอรมนี เมื่อกลับมาลอส แองเจลิสตอนอายุต้นยี่สิบ เขาก็ศึกษาต่อด้านการผลิตสื่อเป็นเวลานานห้าปี แล้วจึงไปทำงานเป็นผู้ผลิตรายการวิทยุและโทรทัศน์ให้แก่บริษัท MAY COMPANY ต่อด้วยตำแหน่งผู้อำนวยการผลิตภาพยนตร์โฆษณา และก้าวสู่วงการภาพยนตร์ ด้วยการเป็นผู้จัดการฝ่ายโปรดักชั่นประจำสตูดิโอของผู้กำกับ โรเจอร์ คอร์แมน
              ผลงานของฟลานาแกนในฐานะผู้อำนวยการสร้างคือ 88 MINUTES, THE BLACK DAHLIA, HOMELAND SECURITY, BLONDE AMBITION, HOME OF THE BRAVE และ CLEANER
           
ไลเมอร์ เดียมังท์  (ผู้ร่วมอำนวยการสร้าง)
              ทำงานเป็นผู้จัดการฝ่ายผลิตในภาพยนตร์เรื่อง THE QUEST, KNOCK OFF, LOVE & SEX และ THE BODY ก่อนก้าวขึ้นมาเป็นผู้อำนวยการสร้างใน MAXIMUM RISK, SIMON SEZ, THE MUSKETEER, FEARDOTCOM และล่าสุดกับ BEYOND A REASONABLE DOUBT

เจมส์ เอ จีลาร์เดน  (ผู้ออกแบบงานสร้าง)
              เคยทำงานมาหลากหลายอาชีพ เช่น ผู้จัดการโรงละคร, ช่างภาพ, นายหน้าค้าวัตถุโบราณ, ผู้จัดงานสัมนา ฯ ก่อนจะค้นพบความสามารถในการทำงานภาพยนตร์ โดยเขาเริ่มต้นจากตำแหน่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายศิลป์ในภาพยนตร์เรื่อง A CHRISTMAS STORY ตามด้วย LIGHT OF DAY, WELCOME HOME ROXY CARMICHAEL, AIRBORNE จนถึง TELLING LIES IN AMERICA ผลงานเรื่องแรกที่เขารับหน้าที่ออกแบบงานสร้าง
              ภาพยนตร์เรื่องอื่นที่จีลาร์เดนทำงานในตำแหน่งผู้ออกแบบงานสร้าง ได้แก่ DREAM BOY และ MIDDLE OF NOWHERE
 
ทามารา สติวพาริช เดอ ลา บาร์รา  (ผู้ร่วมอำนวยการสร้าง)
              รองประธานอาวุโสของบริษัท FORESIGHT UNLIMITED ผู้สามารถพูดได้ถึงสี่ภาษา ได้แก่ อังกฤษ, สวีดีช, อิตาเลียน และสแปนิช เธอจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย และมีผลงานเขียนบท/กำกับภาพยนตร์สั้นหลายเรื่อง ภาพยนตร์ที่ทามาราอำนวยการสร้าง ได้แก่ LOVE WRECKED, CAPTIVITY, IT’S ALIVE และ UNIVERSAL SOLDIER: REGENERATION

ซูซานนา พูอิสโต  (ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย)
              พูอิสโตมีพื้นเพเป็นชาวฟินแลนด์ เธอใช้เวลาช่วงวัยรุ่น เดินทางไปทั่วโลกเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ มาใช้เป็นแรงบันดาลใจในการสร้างงานของตนเอง เธอมีผลงานออกแบบเครื่องแต่งกายในภาพยนตร์มากกว่า 30 เรื่อง ที่เด่นๆ คือ GUNSHY, K-911, DUMB AND DUMBERER: WHEN HARRY MET LLOYD, HOSTEL: PART II, CLEANER และภาพยนตร์โทรทัศน์ BUFFY THE VAMPIRE SLAYER

แกรี ไฮมส์  (ผู้ประสานงานฝ่ายสตั๊นท์)
              หนึ่งในสตั๊นท์แมนผู้เก่งกาจและโด่งดังที่สุดตลอดกาล ด้วยประสบการณ์ในวงการยาวนานกว่า 30 ปี ผลงานของเขาอยู่ในภาพยนตร์เรื่องดังอย่าง BATMAN BEGINS, THE BLACK DAHLIA, SCARFACE, DAYS OF THUNDER, HOOK และ DIE HARD WITH A VENGEANCE, THE ITALIAN JOB (ที่ทำให้เขาพิชิตรางวัล TAURUS สาขาผู้ออกแบบฉากแอ็คชั่นยอดเยี่ยมประจำปี 2005), THE PUNISHER, JURASSIC PARK, THE LOST WORLD, THE FLINSTONES, THE ADDAMS FAMILY VALUES, YES MAN, THE PINEAPPLE EXPRESS และ WANTED