โกลเบล็กฯคาด Q4/53 ราคาทองพุ่งแตะ 21,400 บาท
บมจ.โกลเบล็กฯมองราคาทองครึ่งปีหลัง คาดไตรมาส 4 ปีนี้ราคาทองพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ 21,400 บาท/บาททอง หลังปัจจัยเอื้อต่อเนื่องทั้งปัญหาหนี้สินยุโรป ภาวะเงินเฟ้อในอนาคต ซ้ำเป็นวัฏจักรราคาทองขาขึ้นอีก แนะรอซื้อตอนราคาย่อตัวเดือน ก.ค-ส.ค. ก่อนทำกำไรปลายปี ฟันธงราคาทองไตรมาส 2 แรงจากนักลงทุนและกองทุนใช้ทองคำเป็นแหล่งพักเงิน
นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ บริษัท โกลเบล็ก โฮลดิ้ง แมนเนจเม้นท์ จำกัด(มหาชน)(GBX) กล่าวถึงแนวโน้มราคาทองคำในช่วงครึ่งหลังของปี 2553 ว่า ราคาทองคำจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นด้วยแรงหนุนสำคัญจากความวิตกกังวลในปัญหาหนี้สินของยุโรปที่มีโอกาสขยายวงกว้างออกไปยังประเทศอื่นๆในแถบยุโรปและภาคสถาบันการเงิน ซึ่งเป็นปัจจัยที่เป็นอยู่ในปัจจุบันที่ส่งผลให้ราคาทองคำพุ่งสูงขึ้นในระยะนี้
ทั้งนี้ หากความกังวลในวิกฤติหนี้สินของยุโรปคลี่คลายลงไป ยังคงมีความกังวลว่าจะเกิดภาวะเงินเฟ้ออย่างมากในอนาคต จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของหลายประเทศในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นอีกปัจจัยต่อเนื่องที่เข้ามาโอบอุ้มราคาทองคำให้ราคายังอยู่ในระดับสูง
ขณะเดียวกัน หากมองในด้านของวัฏจักรของราคาทองแล้ว ราคาทองคำรอบนี้ยังเป็นขาขึ้น เพราะหากพิจารณาจากวัฏจักรของราคาทองในอดีตไม่ว่าจะเป็นขาขึ้นหรือขาลงจะพบว่า วัฏจักร 1 รอบที่นับจากจุดต่ำสุดไปถึงสูงสุดสำหรับขาขึ้น หรือจากจุดสูงสุดไปหาจุดต่ำสุดสำหรับขาลง จะใช้ระยะเวลาประมาณ 15-20 ปี ซึ่งขณะนี้ ราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นมาแล้วประมาณ 11 ปี จึงเป็นไปได้สูงที่ราคาทองคำจะปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อในช่วง 1-2 ปีข้างหน้าเป็นอย่างน้อย
ดังนั้น โกลเบล็กฯจึงมองจุดสูงสุดทั้งปี 2553 ไว้ที่ระดับ 1,400 ดอลลาร์/ออนซ์ หรือประมาณ 21,400 บาท/บาททอง เพิ่มขึ้นประมาณ 25% จากปลายปีก่อน ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงไตรมาส 4/2553 ที่เป็น High Season ของราคาทองคำ
อย่างไรก็ตาม คาดว่าราคาทองคำจะมีการพักฐานลงรอบใหญ่ตามปัจจัยทางด้านฤดูกาลในช่วงเดือน ก.ค.-ส.ค. ที่เป็น Low Season ของ Jewelry Demand (ผลตอบแทนเฉลี่ยจากการลงทุนในทองคำเดือน ก.ค. และ ส.ค. อยู่ในระดับต่ำที่ -0.35% และ 0.75% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า) โดยมองจุดต่ำสุดของรอบการพักฐานที่จะเกิดขึ้นไว้ที่ 1,140-1,150 ดอลลาร์/ออนซ์ หรือประมาณ 17,500 บาท/บาททอง ซึ่งนักลงทุนน่าจะใช้โอกาสในช่วงที่ราคาหลุดแนวระดับ 1,200 ดอลลาร์/ออนซ์ เข้าทยอยสะสมเพื่อเก็งกำไรไว้รอขายในช่วงไตรมาส 4/2553
สำหรับราคาทองคำในไตรมาส 2/2553 (เม.ย. – มิ.ย. 53) ที่ผ่านมามีการปรับตัวเพิ่มขึ้น 13.4% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน (ไตรมาส 1/2553) และเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (ไตรมาส 2/2552) เพิ่มขึ้นแรงถึง 36.2% ซึ่งถือว่าเหนือความคาดหมายเมื่อเทียบกับช่วงไตรมาส 2 ของทุกปี โดยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ราคาทองคำในไตรมาส 2 ถือได้ว่าเป็นช่วงที่อ่อนแอสุดเมื่อเทียบกับไตรมาสอื่นๆ โดยให้ผลตอบแทนเฉลี่ยเพียง 1.44% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน ซึ่งต่ำกว่าไตรมาส 1, 3, และ 4 ที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 2.91%, 4.57%, และ 5.29% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน ตามลำดับ ขณะที่ผลตอบแทนที่เคยทำได้สูงสุดก็ไม่มากนัก เพียง 5.04% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน (เกิดขึ้นในปี 2544) จึงถือได้ว่าการเคลื่อนไหวของราคาทองคำไตรมาส 2 ปีนี้ มีความร้อนแรงผิดแปลกแตกต่างไปจากกรณีปกติที่ถือว่าเป็นช่วง Low Season โดยสิ้นเชิง
ส่วนสาเหตุสำคัญที่ผลักดันให้ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นแรงนั้น เป็นผลสืบเนื่องมาจากนักลงทุนและบรรดากองทุนต่างๆหันมาใช้ทองคำเป็นแหล่งพักเงินชั้นดี (Safe Haven) มากขึ้น หลังจากปัญหาหนี้สินล้นระบบของประเทศในแถบยุโรปส่อแววว่าจะก่อตัวเป็นวิกฤตการณ์ทางการเงินรอบ 2
“พอมีข่าวออกมาว่าหลายประเทศในกลุ่ม PIIGS คือ โปรตุเกส, อิตาลี, ไอน์แลนด์, กรีซ, และสเปน ถูกลดอันดับเครดิตลง โดยเฉพาะกรีซที่ถูกลดอันดับเครดิตลงสู่ระดับขยะ (Junk Bond) ก็ทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่กังวลมากขึ้นว่า ปัญหานี้อาจสะเทือนไปยังประเทศอื่นในแถบยุโรปหรือภาคสถาบันการเงินในไม่ช้า ขณะเดียวกัน การปรับลดงบประมาณรายจ่ายอย่างเข้มงวดของรัฐบาลหลายประเทศในยุโรป เพื่อลดภาวะขาดดุลงบประมาณให้กับเข้าสู่ระดับมาตรฐานที่สหภาพยุโรปกำหนดประมาณ 3% ของ GDP ก็มีโอกาสทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงอย่างหนักในอนาคตได้เช่นกัน”นายณัฐพล กล่าว
นอกจากนี้ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯที่เป็นไปอย่างล่าช้า เป็นอีกเหตุผลที่ทำให้นักลงทุนเลือกใช้ทองคำเป็น Safe Haven มากกว่าเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งคล้ายคลึงกับช่วงเกิดวิกฤตซับไพร์มใหม่ๆ โดยผลทั้งหมดได้สะท้อนมาที่การเพิ่มสถานะถือครองทองคำอย่างหนักของกองทุน SPDR Gold Trust จำนวนกว่า 170 ตัน นับตั้งแต่วันที่ 26 เม.ย. 53 ที่ผ่านมา