ประวัติทีมผู้สร้าง
ฮารัลด์ ซวอร์ท (ผู้กำกับ) มีพรสวรรค์ในการผสมผสานเวทมนตร์ด้านภาพและการบอกเล่าเรื่องราวที่ทั้งตลกและเข้าถึงได้ เขาเป็นหนึ่งในคนทำหนังรุ่นใหม่ไฟแรงระดับแนวหน้าของโลก ด้วยความคล่องแคล่วในสามภาษา ผู้กำกับชาวดัทช์คนนี้มีพรสวรรค์พิเศษในการก้าวผ่านพรมแดนด้านวัฒนธรรมและสัมผัสความคิดและหัวใจของผู้ชมที่มีแบ็คกราวน์และอายุแตกต่างกัน
ซวอร์ทเกิดในฮอลแลนด์และเติบโตขึ้นในเฟรดริกสตาด ประเทศนอร์เวย์ เขาเริ่มสร้างภาพยนตร์ตั้งแต่เขาอายุได้แปดขวบ เขาได้รับการฝึกฝนอย่างเป็นทางการครั้งแรกที่ดัทช์ ฟิล์ม อคาเดมี ในอัมสเตอร์ดัม หลังจากที่ภาพยนตร์นักศึกษาของเขาเรื่อง Gabriel’s Surprise ได้ฉายทางจอแก้วสแกนดิเนเวีย เขาก็เริ่มได้รับการหยิบยื่นข้อเสนอให้กำกับโฆษณาทางโทรทัศน์และเขาก็กลายเป็นหนึ่งในผู้กำกับโฆษณาและมิวสิค วิดีโอที่ประสบความสำเร็จที่สุดในยุโรป เขาได้รับรางวัลมากมายสำหรับงานโฆษณาของเขา ซึ่งรวมถึงรางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมประจำปี 1998 ที่เขาได้รับในงานประกาศผลรางวัลมิดซัมเมอร์ในลอนดอนอีกด้วย
ผลงานโฆษณาของเขามีทั้งสปอตโฆษณาสำหรับบีเอ็มดับบลิว มินิ, ไอเอ็นจี, สกาย เทเลวิชันและโนเกีย แบ็คกราวน์ด้านภาพยนตร์ของซวอร์ททำให้เขามักถูกเรียกไปทำงานกับเซเล็บหลายคน ซึ่งรวมถึงสปอตกับโฆเซ มูรินโญ, ไมเคิล ดักกลาส, จอห์น ทราโวลต้าและริชาร์ด เกียร์ให้กับแลนเซีย
ในปี 1997 ซวอร์ทได้เปิดตัวในฐานะผู้กำกับดรามาด้วย Commander Hamilton มินิซีรีส์สี่ตอนให้กับวงการจอแก้วสแกนดิเนเวีย ซีรีส์ดังกล่าวที่นำแสดงโดยเลนา โอลิน เจ้าของรางวัลอคาเดมี อวอร์ด (The Unbearable Lightness of Being), มาร์ค ฮามิลล์ (ไตรภาค Star Wars) และปีเตอร์ สตอร์แมร์ (Bad Boys II, Minority Report) ได้รับความนิยมและได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมอย่างสูง และหลังจกนั้น เวอร์ชันภาพยนตร์ก็ถูกฉายในโรงภาพยนตร์และกลายเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดในปีนั้นของภูมิภาคนั้น
ความสำเร็จครั้งนั้นทำให้ซวอร์ทเริ่มได้รับข้อเสนอจากฮอลลีวูด เขากลายเป็นผู้กำกับนอร์เวย์คนแรกที่ได้รับการยอมรับให้เข้าเป็นสมาชิกสมาพันธ์ผู้กำกับอเมริกาและได้รับการยกย่องจากนิตยสารวาไรตี้ให้เป็นหนึ่งในสิบผู้กำกับน่าจับตามอง ผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกของซวอร์ทคือ One Night at McCool’s ปี 2001 ที่นำแสดงโดยลีฟ ไทเลอร์, ไมเคิล ดักกลาส, แมท ดิลลอนและพอล ไรเซอร์ คอเมดีตลกร้ายเกี่ยวกับชายสามคนที่ตกหลุมรักผู้หญิงคนเดียวกันในคืนเดียวกันเรื่องนี้แสดงให้เห็นถึงพรสวรรค์ของซวอร์ทในการเล่าเรื่องที่ซับซ้อน อารมณ์ตลกร้ายและการคัดเลือกนักแสดงที่ยอดเยี่ยม
ซวอร์ทได้กำกับภาพยนตร์เรื่อง Agent Cody Banks ภาพยนตร์แอ็กชันผจญภัยที่นำแสดงโดยแฟรงค์กี้ มูนิซและฮิลารี ดัฟฟ์ ก่อนที่เขาจะไปสร้างเรื่องราวให้กับ Cody Banks II ซวอร์ทได้กำกับภาพยนตร์เรื่อง The Pink Panther 2 ที่นำแสดงโดยสตีฟ มาร์ติน, ฌอง เรโน, เอมิลี มอร์ติเมอร์, แอนดี้ การ์เซีย, อัลเฟรด โมลินา, ไอศวรรยา ไร, จอห์น คลีส, เจเรมี ไอรอนส์และลิลลี ทอมลิน
ซวอร์ทแบ่งเวลาการใช้ชีวิตอยู่ในลอสแองเจลิสและออสโล เขายังคงกำกับโฆษณาและพัฒนาโปรเจ็กต์ภาพยนตร์ผ่านทางซวอร์ท อาร์บิด บริษัทที่เขาร่วมก่อตั้งกับเวสเลโมอี้ รัดด์ ซวอร์ท
คริสโตเฟอร์ เมอร์ฟีย์ (บทภาพยนตร์โดย) สำเร็จการศึกษาเอกอังกฤษและวรรณคดีจีนจากฮาร์วาร์ด คอลเลจ ซึ่งรวมถึงการศึกษาภาษาจีนนานสามปี ซึ่งทำให้เขาเหมาะสมอย่างยิ่งที่จะดัดแปลงบทภาพยนตร์เรื่อง The Karate Kid นี่เป็นบทภาพยนตร์เรื่องแรกของเขาที่ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ นอกจากนี้ เมอร์ฟีย์ยังได้เขียนบท Body of Proof ตอนไพล็อตให้กับเอบีซี ที่นำแสดงโดยดานา เดลานีย์ ในบทแพทย์ชาวฟิลาเดลเฟีย ซีรีส์เรื่องนี้จะแพร่ภาพในฤดูใบไม้ร่วงปี 2010 เขาใช้ชีวิตอยู่ในลอสแองเจลิส
โรเบิร์ต มาร์ค คาเมน (เรื่องราวโดย) สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอก สาขาการศึกษาอเมริกันจากมหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนียอันทรงเกียรติ ก่อนที่เขาจะเบนเข็มมาทางฮอลลีวูด คาเมนได้ขายบทภาพยนตร์เรื่องแรกของเขา Crossings ให้กับวอร์เนอร์ บรอส. ในปี 1978 ภาพยนตร์เรื่องแรกของเขาคือ Taps ที่ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชม หลังจากนั้น เขาก็ได้เขียนบท The Karate Kid ซึ่งกลายเป็นแฟรนไชส์ภาพยนตร์สามภาค ที่เขาเองได้เขียนบททุกภาค
หลังจากนั้น คาเมนก็ได้เขียนบทภาพยนตร์เรื่อง Gladiator, The Power of One, A Walk in the Clouds และบล็อกบัสเตอร์เรื่อง Lethal Weapon 3 ในช่วงกลางทศวรรษที่ 90s เขาได้สร้างชื่อให้กับตัวเองในฐานะมือเขียนบทที่เป็นที่ต้องการตัวสูงสุดในฮอลลีวูด โดยผลงานของเขาได้แก่ The Devil’s Own และ The Fifth Element นอกจากนั้น เขายังได้ร่วมเขียนบทภาพยนตร์เรื่อง The Professional กับลุค เบซงอีกด้วย
คาเมนได้ร่วมเขียนบทกับลุค เบซงอีกหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น The Transporter, Kiss of the Dragon, Transporter 2, Bandidas, Taken และ Transporter 3 เขารับหน้าที่ที่ปรึกษาฝ่ายศิลป์ให้กับภาพยนตร์เรื่อง Unleashed
เจอร์รี ไวน์ทร็อบ (ผู้อำนวยการสร้าง) รับหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างในภาพยนตร์ The Karate Kid ทุกภาคคือ The Karate Kid, The Karate Kid Part II, The Karate Kid Part III และ The Next Karate Kid
ก่อนหน้าที่จะจับงานภาพยนตร์ ไวน์ทร็อบเคยเป็นเอเยนต์นักแสดง โดยเขาเคยเป็นตัวแทนให้กับนักร้องนักแสดงชื่อดังอย่างแฟรงค์ ซินาตรา, เอลวิส เพรสลีย์, บ็อบ ดีแลน, โจอี้ บิช็อป, นีล ไดมอนด์, จอห์น เดนเวอร์, คาเรน คาร์เพนเตอร์และเดอะ โฟร์ ซีซันส์มาแล้ว นอกจากนี้ เขายังเป็นอดีตผู้อำนวยการและซีอีโอของบริษัทยูไนเต็ด อาร์ติสท์อีกด้วย
ผลงานภาพยนตร์สองเรื่องแรกในฐานะผู้อำนวยการสร้างของเขาได้แก่ภาพยนตร์โดยโรเบิร์ต อัลท์แมนเรื่อง Nashville และ Oh, God ที่นำแสดงโดยจอร์จ เบิร์นส์และจอห์น เดนเวอร์ ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเขาได้แก่ Diner, รีเมก Ocean’s Eleven ในปี 2001, Ocean’s Twelve, Ocean’s Thirteen, The Specialist, Pure Country และ Nancy Drew
ในปี 1986 และปี 2007 โชเวสต์ได้ยกย่องเจอร์รี ไวน์ทร็อบให้เป็นผู้อำนวยการสร้างแห่งปี และในปี 2001 โชเวสต์ก็ได้มอบรางวัลโกดัก อวอร์ดให้กับเขา ในปี 1991 เขาได้รับเลือกให้เป็นส่วนหนึ่งของคณะกรรมการของศูนย์เคนเนดี เซ็นเตอร์ เขาเป็นหนึ่งในผู้อำนวยการสร้างอิสระคนแรกๆ ที่ถูกนำชื่อไปประดับบนฮอลลีวูด วอล์ค ออฟ เฟม และได้ประดับรอยมือและรอยเท้าที่เกราแมนส์ ไชนีส เธียเตอร์
วิลล์ สมิธ (ผู้อำนวยการสร้าง) ผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงสองรางวัลอคาเดมี อวอร์ด ประสบความสำเร็จอย่างสูงจากการทำงานในแวดวงจอเงิน จอแก้วและเพลง การแสดงในบทมูฮัมเหม็ด อาลีในภาพยนตร์โดยไมเคิล แมนน์เรื่อง Ali ทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดเป็นครั้งแรก ตามมาด้วยการได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเป็นครั้งที่สองจากดรามาชีวิตจริงเรื่อง The Pursuit of Happyness
ผลงานบล็อกบัสเตอร์ที่น่าทึ่งของเขาได้แก่ I Am Legend และ Hancock นอกจากนี้ เขายังได้สร้างความตื่นเต้นให้กับผู้ชมในภาพยนตร์ฮิตหลายเรื่องเช่น I, Robot, Independence Day, Men in Black และ Men in Black II เขาไม่ได้จำกัดการทำงานของตัวเองอยู่ที่การแสดงเท่านั้น แต่เขายังได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ร่วมกับเจมส์ แลสซีเตอร์ หุ้นส่วนที่โอเวอร์บรูค เอนเตอร์เทนเมนต์ด้วย เช่นภาพยนตร์เรื่อง Hitch, The Pursuit of Happyness, The Secret Life of Bees, Seven Pounds, Lakeview Terrace และ The Human Contract ซึ่งเป็นผลงานการกำกับเรื่องแรกของจาดา พิงเก็ตต์ สมิธ เมื่อเร็วๆ นี้ สมิธเพิ่งเซ็นสัญญานำแสดงภาพยนตร์โดยโคลัมเบีย พิคเจอร์สเรื่อง Men in Black III ซึ่งจะกำกับโดยแบร์รี ซอนเนนเฟลด์ ภาพยนตร์เรื่องนี้มีกำหนดที่จะลงโรงในวันที่ 25 พฤษภาคม ปี 2012
สมิธได้รับรางวัลสี่รางวัลในงานเวิลด์ มิวสิค อวอร์ดครั้งที่ 11 ที่จัดขึ้นที่มอนติคาร์โล และรางวัลเอ็นเอเอซีพี อิเมจ อวอร์ดสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจากการแสดงของเขาใน Seven Pounds ในปี 2009 นอกจากนี้ สมิธยังได้รับรางวัลคิดส์ ชอยส์ อวอร์ดหลายรางวัลจากภาพยนตร์เรื่อง Independence Day, Wild Wild West, Shark Tale, Hitch และ Hancock สมิธได้รับรางวัลแกรมมี อวอร์ดสาขาการแสดงแร็ปยอดเยี่ยมครั้งแรกในปี 1989 จากเพลง Parents Just Don’t Understand และได้รับรางวัลแกรมมีอีกสามครั้งจาก Summertime, Men In Black และ Getting Jiggy Wit It
สมิธตั้งภารกิจให้กับตัวเองในการที่จะช่วยเหลือผู้อื่นผ่านทางกิจกรรมเพื่อมนุษยธรรมของเขา ประเด็นที่สำคัญที่สุดสำหรับสมิธคือการศึกษาและความเป็นอยู่ของเด็กๆ สมิธได้สนับสนุนโรงเรียนทั่วประเทศในรูปแบบหลากหลาย โดยเขาได้พยายามจะสร้างความแตกต่างผ่านทางมูลนิธิวิลล์ แอนด์ จาดา สมิธ แฟมิลี ฟาวน์เดชัน ซึ่งเขาและภรรยาร่วมกันก่อตั้งในปี 1997 เมื่อปีที่แล้ว คู่สามีภรรยาสมิธได้ก่อตั้งสถาบันนิววิลเลจ ลีดเดอร์ชิพ อคาเดมี ซึ่งเป็นโรงเรียนไม่แสวงหาผลกำไรที่สนับสนุนหลักสูตรก้าวหน้าที่หลากหลาย ที่คาลาบาซัส
นอกจากนี้ ผ่านทางมูลนิธิแฟมิลี ฟาวน์เดชัน สมิธยังเป็นส่วนหนึ่งของมูลนิธิคานิแมมโบ องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรที่ใช้หลักสูตรแปลกใหม่ในการพัฒนาการศึกษาและการดูแลเด็กกำพร้าและการศึกษารวมถึงการรักษาโรคเอดส์ในประเทศโมซัมบิคอีกด้วย
ความสำเร็จส่วนหนึ่งของเขาคือการได้รับการยกย่องจากมิวเซียม ออฟ เดอะ มูฟวิง อิเมจในปี 2006 และได้รับรางวัลไซมอน วีเซนธัล ฮิวแมนิทาเรียน อวอร์ดในปี 2009 เขาได้รับรางวัลไซมอน วีเซนธัลจาก “ความมุ่งมั่นที่เขามีต่อการศึกษา ความหลากหลายทางวัฒนธรรมและความรับผิดชอบทางสังคม”
สมิธรับหน้าที่เป็นทูตให้กับมูลนิธิ 46664 ของเนลสัน แมนเดลลา ซึ่งเป็นองค์กรแอฟริกาที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อตอบสนองต่อวิกฤตการณ์โรคเอดส์ทั่วโลก เมื่อปีที่แล้ว สมิธกลายเป็นสมาชิกคณะกรรมการมาลาเรีย โน มอร์ ซึ่งเป็นมูลนิธิที่มีเป้าหมายในการหยุดยั้งการเสียชีวิตจากโรคมาลาเรียในทั่วโลก และสมิธก็มีบทบาทสำคัญในโครงการเมค อะ วิช ที่ได้ช่วยทำให้ความปรารถนาเป็นจริงและสนับสนุนความพยายามของมูลนิธิในการทำให้ชีวิตของเด็กๆ ที่ป่วยหนักมีสภาพดีขึ้น ตลอดสิบห้าปีที่ผ่านมา
จาดา พิงเก็ตต์ สมิธ (ผู้อำนวยการสร้าง) นำแสดงในดรามาการแพทย์ทางทีเอ็นทีเรื่อง HawthoRNe ที่ปัจจุบันกำลังอยู่ระหว่างการถ่ายทำซีซันที่สอง และมีกำหนดจะแพร่ภาพในวันที่ 22 มิถุนายน ปี 2010 นอกจากนี้ พิงเก็ตต์ สมิธยังได้ควบคุมงานสร้างซีรีส์นี้ผ่านทาง 100% วูมอน บริษัทโปรดักชันของเธอเองด้วย เมื่อเร็วๆ นี้ พิงเก็ตต์ สมิธเพิ่งพากย์เสียง กลอเรียในภาพยนตร์เรื่อง Madagascar: Escape 2 Africa มา นอกจากนี้ เธอยังได้แสดงประกบเม็ก ไรอันและอีวา เมนเดสในรีเมก The Women จากผู้กำกับ/มือเขียนบท ไดแอน อิงลิชอีกด้วย
พิงเก็ตต์ สมิธ เคยร่วมแสดงกับอดัม แซนด์เลอร์และดอน ชีเดิลใน Reign Over Me ให้กับโคลัมเบีย พิคเจอร์ส นอกจากนี้ เธอยังได้รับบทสำคัญประกบทอม ครูซและเจมี ฟ็อกซ์ในภาพยนตร์โดยไมเคิล แมนน์เรื่อง Collateral พิงเก็ตต์ สมิธอาจเป็นที่รู้จักดีที่สุดจากบท ไนโอบี ในซีเควลที่ประสบความสำเร็จ Matrix Reloaded และ Matrix Revolutions
พิงเก็ตต์ สมิธมักจะท้าทายตัวเองด้วยโปรเจ็กต์หลากหลาย เธอได้กำกับ เขียนบท และร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่อง The Human Contract ซึ่งถูกอำนวยการสร้างผ่านทางบริษัทโปรดักชันของเธอ ภาพยนตร์เรื่องนี้นำแสดงโดยเจสัน คลาร์ก และแพซ เวกา
นอกเหนือจากนั้น พิงเก็ตต์ สมิธยังได้ควบคุมงานสร้างภาพยนตร์ปี 2008 เรื่อง The Secret Life of Bees ที่สร้างขึ้นจากนิยายขายดีโดยซู มังค์ คิดด์อีกด้วย พิงเก็ตต์ สมิธเป็นนักเขียนตัวยงและเธอก็ได้เขียนหนังสือสำหรับเด็กเรื่อง Girls Hold Up This World ซึ่งตีพิมพ์ในปี 2005 และกลายเป็นเบสต์เซลเลอร์ในนิวยอร์ก ไทม์ไป
พิงเก็ตต์ สมิธและวิลล์ สมิธ สามีของเธอได้สร้างและควบคุมงานสร้างซีรีส์ All of Us ทางซีดับบลิว เน็ตเวิร์คด้วย
พิงเก็ตต์ สมิธเป็นชาวแมรีแลนด์ เธอได้ศึกษาการเต้นและการแสดงที่บัลติมอร์ สคูล ออฟ อาร์ตส์และนอร์ธ แครอไลนา สคูล ออฟ เดอะ อาร์ตส์ เธอได้แจ้งเกิดในวงการเมื่อเธอได้แสดงในซีรีส์เอ็นบีซีเรื่อง A Different World
เจมส์ แลสซิเตอร์ (ผู้อำนวยการสร้าง) เป็นหุ้นส่วนกับวิลล์ สมิธและเคน สโตวิทซ์ ที่โอเวอร์บรูค เอนเตอร์เทนเมนต์ บริษัทโปรดักชันภาพยนตร์และซีรีส์โทรทัศน์
แลสซิเตอร์ได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง Seven Pounds, Hancock, I Am Legend, The Pursuit of Happyness และ Hitch ที่นำแสดงโดยวิลล์ สมิธทุกเรื่อง นอกจากนี้ เขายังได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง Lakeview Terrace ที่นำแสดงโดยซามวล แอล. แจ็คสันและ The Secret Life of Bees นอกเหนือจากนั้น เขายังได้ควบคุมงานสร้างภาพยนตร์โดยจาดา พิงเก็ตต์ สมิธเรื่อง The Human Contract, ไซไฟทริลเลอร์เรื่อง I, Robot, คอเมดีเรื่อง Showtime ที่นำแสดงโดยโรเบิร์ต เดอ นีโรและเอ็ดดี้ เมอร์ฟีย์อีกด้วย เขารับหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ที่ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมเรื่อง Ali และในปี 2006 เขาก็ได้อำนวยการสร้าง ATL ที่นำแสดงโดยศิลปินเจ้าของรางวัลแพลตินัม ที.ไอ.
ด้านจอแก้ว แลสซิเตอร์ได้ควบคุมงานสร้างซีรีส์คอเมดี Getting Personal ที่นำแสดงโดยดูแอน มาร์ตินและวิวิกา เอ. ฟ็อกซ์ และรับหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้างให้กับซีรีส์ซีดับบลิวเรื่อง All Of Us
แลสซิเตอร์ได้โปรดิวซ์อัลบัมซาวน์แทร็คให้กับ Wild Wild West และ Men In Black ซึ่งทั้งสองเรื่องได้รับรางวัลอเมริกัน มิวสิค อวอร์ดสาขาซาวน์แทร็คยอดนิยม ผลงานอื่นๆ ที่โดดเด่นของแลสซิเตอร์ได้แก่การได้รับรางวัลเอาเตอร์ คริติกส์ เซอร์เคิล อวอร์ดปี 2001 จาก Jitney ละครออฟบรอดเวย์ที่เขียนบทโดยออกัสต์ วิลสัน
เคน สโตวิทซ์ (ผู้อำนวยการสร้าง) ได้เป็นหุ้นส่วนในโอเวอร์บรูค เอนเตอร์เทนเมนต์ร่วมกับวิลล์ สมิธและเจมส์ แลสซิเตอร์ในปี 2007 นับตั้งแต่นั้นมา เขาก็ได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่อง Hancock ซึ่งทำรายได้ทั่วโลกไปกว่า 600 ล้านเหรียญ และ Seven Pounds ซึ่งทำให้สมิธได้ร่วมงานกับผู้กำกับและผู้อำนวยการสร้างจาก The Pursuit of Happyness อีกครั้ง รวมถึง Lakeview Terrace, The Secret Life of Bees และ The Human Contract อีกด้วย
สมิธ, แลสซิเตอร์และสโตวิทซ์ได้สร้างโอเวอร์บรูคให้เป็นบริษัทสร้างภาพยนตร์และซีรีส์โทรทัศน์ยักษ์ใหญ่ นอกเหนือจากภาพยนตร์ที่พวกเขาอำนวยการสร้างภายใต้สัญญาเสนองานก่อนให้กับโซนี พิคเจอร์ส เอนเตอร์เทนเมนต์แล้ว โอเวอร์บรูคยังได้ทำสัญญาากับยูทีวี ในอินเดีย ซึ่งจะให้เงินทุนสนับสนุนภาพยนตร์ที่จะอำนวยการสร้างโดยสมิธและแลสซิเตอร์ โดยมีโซนีเป็นผู้จัดจำหน่าย
สโตวิทซ์ได้เป็นตัวแทนให้กับสมิธและโอเวอร์บรูคเป็นเวลาสิบห้าปีที่ครีเอทีฟ อาร์ติสท์ เอเจนซี เขาได้เข้าสู่วงการบันเทิงเป็นครั้งแรกด้วยการทำหน้าที่ทนายความที่พิลส์เบรี, เมดิสัน แอนด์ ซูโทร หลังจากทำงานที่อินเตอร์เนชันแนล ครีเอทีฟ เมเนจเมนต์เป็นระยะเวลาสั้นๆ แล้ว เขาก็ได้ทำงานที่ซีเอเอในปี 1989
โรเบิร์ต แพรท, บีเอสซี (ผู้กำกับภาพ) เป็นชาวเมืองเลสเตอร์ ประเทศอังกฤษ ผลงานที่น่าประทับใจของเขาได้แก่ Harry Potter and the Goblet of Fire, Harry Potter and the Chamber of Secrets, Dorian Grey, Inkheart, Troy, Chocolat, Batman, Shadowlands และ Frankenstein เขามักจะได้ร่วมงานกับผู้กำกับเทอร์รี กิลเลียมบ่อยครั้ง โดยเขาได้รับหน้าที่ผู้กำกับภาพในภาพยนตร์เรื่อง Twelve Monkeys, Brazil และ The Fisher King เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลบาฟตาและออสการ์จากผลงานของเขาใน The End of the Affairและเขายังได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลบาฟตาจาก Chocolat อีกด้วย
ฟรังซัวส์ เซกวิน (ผู้ออกแบบงานสร้าง) เริ่มต้นทำงานในแวดวงจอเงินในแคนาดา ในตำแหน่งนักตกแต่งฉากและนักตกแต่ง ผลงานของเขาในฐานะผู้ออกแบบงานสร้างได้แก่ Afterglow, The Red Violin, Lucky Number Slevin, Silk และ Push
ฮัน เฟ็ง (ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย) เป็นหนึ่งในดีไซเนอร์ที่เป็นที่ต้องการตัวมากที่สุดในโลก ไม่เพียงแต่เพราะการออกแบบเสื้อผ้าและเครื่องประดับของเธอเท่านั้น แต่ยังด้วยคอสตูมและการออกแบบงานนิทรรศการของเธอด้วย เธอเป็นที่รู้จักดีที่สุดจากโอเปราที่ได้รับรางวัลเรื่อง Madame Butterfly ที่กำกับโดยแอนโธนี มิงเกลลา ซึ่งจัดแสดงในปี 2005 ที่อีเอ็นโอในลอนดอนและที่เดอะ เม็ทในนิวยอร์ก ซิตี้ในปี 2006
เครื่องแต่งกายที่ฮันออกแบบได้รับเลือกจากเอมี แทนและผู้กำกับเฉินชีเจงสำหรับ The Bonesetter’s Daughter ที่เปิดตัวในโรงละครซานฟรานซิสโก โอเปราในปี 2008 และสำหรับละครโดยฮันเดลเรื่อง Semele ที่เปิดตัวที่บรัสเซลส์ ลา มอนเน โอเปรา เฮาส์ในเดือนกันยายน ปี 2009 ปัจจุบัน เธอกำลังอยู่ระหว่างการเตรียมงานสำหรับโอเปราอิตาเลียนเรื่อง Misfortune ที่จะกำกับโดยเฉินชีเจง และดนตรีประกอบโดยจูดิธ เวียร์ ละครเรื่องนี้จะจัดแสดงในปี 2012 ที่โคเวนท์ การ์เดน กรุงลอนดอน
ฮันเกิดในเมืองนานจิง ประเทศจีน เธอสำเร็จการศึกษาจากสถาบันไชนา อคาเดมี ออฟ ไฟน์ อาร์ตส์ ในเมืองหังโจว ในช่วงต้นยุค 80s เธอย้ายไปนิวยอร์ก ซิตี้ในปี 1985 ที่ซึ่งเธอได้จับงานด้านแฟชันอย่างรวดเร็ว ด้วยความต้องการในผ้าพันคอและเครื่องประดับอื่นๆ ที่เป็นเครื่องหมายการค้าของเธอ ฮันจึงได้เริ่มต้นไลน์เครื่องประดับพร้อมสวมใส่ของเธอขึ้นในปี 1993 ที่งานแฟชันโชว์ไบรแอนท์ ปาร์คในนิวยอร์ก หลังจากความสำเร็จและรางวัลมากมายในฐานะดีไซเนอร์ชาวอเมริกันในอเมริกา เธอก็ได้หวนคืนสู่บ้านเกิด และย้ายโชว์รูมของเธอไปเซี่ยงไฮ้ ปัจจุบัน เธอมักจะเดินทางไปๆ มาๆ ระหว่างบ้านของเธอในจีนและอเมริกา
ผลงานของเธอถูกจัดแสดงที่งานแสดงต่างๆ ทั้งในอเมริกาและยุโรป งานผ้าไหมของเธอถูกจัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์วิคตอเรีย แอนด์ อัลเบิร์ทในกรุงลอนดอน
โจเอล เน็กรอน (มือลำดับภาพ) ล่าสุดได้ลำดับภาพให้กับภาพยนตร์เรื่อง Transformers: Revenge of the Fallen ให้กับผู้กำกับไมเคิล เบย์และ The Mummy: Tomb of the Dragon Emperor ให้กับผู้กำกับร็อบ โคเฮน
ผลงานล่าสุดของเน็กรอนได้แก่การลำดับภาพให้กับภาพยนตร์ที่สร้างแรงบันดาลใจเรื่อง Gridiron Gang ที่นำแสดงโดยดเวย์น “เดอะ ร็อค” จอห์นสัน และกำกับโดยฟิล โจนู และเขายังรับหน้าที่มือลำดับภาพให้กับรีเมกภาพยนตร์คลาสสิกของวอร์เนอร์ บรอส. เรื่อง House of Wax ให้กับผู้อำนวยการสร้างโจเอล ซิลเวอร์ ที่กำกับโดยฌอม โกเลท์-เซอร์รา และภาพยนตร์แอ็กชันเรื่อง xXx ให้กับผู้กำกับโคเฮน
เน็กรอนเริ่มต้นทำงานเป็นผู้ช่วยลำดับภาพที่หนึ่งในภาพยนตร์โดยเจมส์ คาเมรอนเรื่อง True Lies ก่อนที่จะได้ร่วมงานกับผู้กำกับทิม เบอร์ตันในภาพยนตร์สี่เรื่องติด เริ่มต้นจาก Mars Attacks! และเขาก็ได้ขยับขึ้นไปเป็นมือลำดับภาพและมือลำดับภาพเพิ่มเติมในภาพยนตร์เรื่อง Sleepy Hollow, Planet of the Apes, Big Fish และ Radio
เน็กรอนมีผลงานการลำดับภาพที่น่าประทับใจหลายเรื่อง ที่เขาได้ร่วมงานกับผู้อำนวยการสร้างเจอร์รี บรัคไฮเมอร์ เช่นในบล็อกบัสเตอร์เรื่อง Gone in Sixty Seconds ที่กำกับโดยโดมินิค เซนา, Enemy of the State ที่กำกับโดยโทนี สก็อตต์ และ Pearl Harbor และ Armageddon ที่กำกับโดยไมเคิล เบย์ทั้งสองเรื่อง
เน็กรอนได้ช่วยงานพ่อของเขา นักวาดภาพ/ดีไซเนอร์ เดวิด เน็กรอน ตั้งแต่เด็กๆ ด้วยการเตรียมงานสตอรีบอร์ดให้กับภาพยนตร์เรื่อง Raiders of the Lost Ark
เจมส์ ฮอร์เนอร์ (ดนตรี) ผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดจากดนตรีในเรื่อง Avatar เป็นหนึ่งในคอมโพสเซอร์ดนตรีประกอบภาพยนตร์ยุคใหม่ที่ได้รับการยกย่องสูงสุด หลังจากที่เขาได้แต่งดนตรีประกอบภาพยนตร์ที่น่าจดจำและประสบความสำเร็จสูงสุดในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา ฮอร์เนอร์ก็ได้รับสองรางวัลอคาเดมี อวอร์ดและสองรางวัลลูกโลกทองคำสองครั้งจากภาพยนตร์โดยเจมส์ คาเมรอนเรื่อง Titanic นอกเหนือจากนั้น เขายังได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดจากดนตรีประกอบภาพยนตร์เรื่อง House of Sand and Fog, A Beautiful Mind, Braveheart, Apollo 13, Field of Dreams และ Aliens และสำหรับเพลงประกอบภาพยนตร์ดั้งเดิม Somewhere Out There จากภาพยนตร์เรื่อง An American Tale นอกจากนี้ เขายังได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำอีกแปดครั้ง และได้รับหกรางวัลแกรมมี อวอร์ด ซึ่งรวมถึงสาขาเพลงแห่งปี ในปี 1987 (Somewhere Out There) และปี 1998 (My Heart Will Go On)
ในเดือนเมษายน ปี 1998 ซาวน์แทร็คจากเรื่อง Titanic ของฮอร์เนอร์ติดอันดับ 1 บนบิลบอร์ด ท็อป 200 อัลบัม ชาร์ต นานถึง 16 สัปดาห์ติดต่อกัน ซึ่งเป็นสถิติใหม่สำหรับอัลบัมดนตรีประกอบภาพยนตร์ที่ครองอันดับหนึ่งติดต่อกันนานที่สุด
ผลงานดนตรีประกอบภาพยนตร์ล่าสุดของฮอร์เนอร์ ผู้โด่งดังจากสไตล์ที่หลากหลายของเขาได้แก่ The Spiderwick Chronicles, Apocalypto, All The King’s Men, The New World, The Legend of Zorro, The Chumscrubber, Flightplan, The Forgotten, Troy, The Missing, Bobby Jones, Stroke of Genius, Radio, Beyond Borders, Enemy at the Gates, Dr. Seuss’ How the Grinch Stole Christmas, The Four Feathers, The Perfect Storm, Freedom Song, Bicentennial Man, Mighty Joe Young, The Mask of Zorro, Deep Impact, The Devil’s Own, Ransom, Courage Under Fire, To Gillian on Her 37th Birthday, The Spitfire Grill, Casper, Legends of the Fall, Clear and Present Danger, The Pagemaster, Bopha!, The Pelican Brief, The Man Without a Face, Patriot Games, Thunderheart, Sneakers, The Rocketeer, Glory, In Country, Field of Dreams, Honey, I Shrunk the Kids, The Land Before Time, Willow, An American Tail, The Name of the Rose, Cocoon and Cocoon: The Return, Gorky Park, 48 Hrs. และ Another 48 Hrs., Star Trek II และ Star Trek III นอกจากนี้ เขายังได้แต่งดนตรีประกอบให้กับภาพยนตร์ปี 2006 The Good Shepherd อีกด้วย
"Academy Award®" และ "Oscar®" เป็นเครื่องหมายการค้าและเครื่องหมายบริการจดทะเบียนของสถาบันศิลปะและวิทยาการภาพยนตร์