sianbun on May 13, 2010, 04:03:34 PM
AP มุ่งนำองค์กรสู่การเติบโตระยะยาว พิสูจน์ด้วยรายได้ที่ดีเยี่ยม ฐานะการเงินแข็งแกร่ง สัดส่วนหนี้สินต่ำ ลั่นเดินหน้าเปิดตัวโครงการต่อเนื่องรับความเชื่อมั่นฟื้น


          AP ย้ำเป้าหมายนำองค์กรสู่การเติบโตระยะยาว พิสูจน์ด้วยผลงานไตรมาสแรกเติบโตในอัตราสูงสุด คงอันดับ  1 ใน 2 บริษัทที่มีรายได้และกำไรที่ดีเยี่ยม ด้วยกำไรสุทธิสูงถึง 1,240 ล้านบาท รายได้รวมกว่า 6,000 ล้านบาท คีย์หลักที่ดันตัวเลขพุ่งสูงเกินคาด คือ พอร์ตคอนโดในมือที่พร้อมโอนฯ ก่อนหมดมาตรการมากถึง 7 โครงการ ด้านฐานะการเงินแข็งแกร่งด้วยหนี้สินต่อทุนที่ลดต่ำเหลือเพียง 0.49 ไปได้ไกลด้วยยอด Backlog ที่รอรับรู้รายได้ต่อเนื่องถึงปี 56 มูลค่าเกือบ 14,000 ล้าน จากนี้เตรียมเดินหน้าเปิดตัวโครงการทุกเดือน รวมแล้วทั้งปีไม่ต่ำกว่า 17 โครงการ มูลค่ากว่า 27,000 ล้านบาท
          นายอนุพงษ์ อัศวโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (AP) กล่าวว่า บริษัทฯ มีแนวทางการดำเนินงานที่มองถึงการเติบโตในระยะยาวขององค์กรเป็นสำคัญ ดังนั้น บริษัทฯ จึงมีการวางแผนเปิดตัวโครงการอย่างต่อเนื่อง การพัฒนาสินค้าและแบรนด์ใหม่ๆ ที่คลอบคลุมทุกความต้องการของลูกค้าในแต่ละกลุ่มเป้าหมาย ตลอดจนการกำหนดแพคเกจราคาขายที่เหมาะสม ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้บริษัทฯ มีอัตราการเติบโตที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยไตรมาส 1 ที่ผ่านมาบริษัทฯ มีรายได้รวมและกำไรสุทธิในอัตราที่สูงที่สุด หากเทียบกับผลการดำเนินงานที่ผ่านมา โดยสามารถสร้างรายได้รวมมากถึง 6,093 ล้านบาท เพิ่มขึ้นสูงถึง 123.8% หากเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนหน้าที่ 2,722 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิสูงถึง 1,240 ล้านบาท คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 0.53 บาท/หุ้น เพิ่มขึ้น 204.3% จาก 407 ล้านบาท ในไตรมาส 1 ของปี 2551 โดยสาเหตุหลักที่ส่งผลให้บริษัทฯ มีอัตราการเติบโตที่เพิ่มขึ้นนั้น เป็นผลมาจากจำนวนคอนโดมิเนียมในมือ ที่พร้อมส่งมอบก่อนสิ้นสุดมาตรการภาษีที่มีมากถึง 7 โครงการ ซึ่งทั้งหมดก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์ตั้งแต่ไตรมาส 4 ของปี 2552 และทยอยรับรู้รายได้ต่อเนื่องมาจนถึงไตรมาส 1 ของปีนี้ 
          นอกจากนั้น กำไรขั้นต้นของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 2,134 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรขั้นต้น 35.0% เพิ่มขึ้นจาก 33.6% ในไตรมาส 1 ปี 2552 เนื่องจากมีการรับรู้รายได้จากโครงการคอนโดมิเนียมในสัดส่วนสูงถึง 74% ของรายได้รวม เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า ที่มีการรับรู้รายได้จากโครงการคอนโดมิเนียมเพียง 47% เท่านั้น ซึ่งโครงการคอนโดมิเนียมมีอัตรากำไรขั้นต้น ร้อยละ 36.0 ในขณะที่โครงการบ้านเดี่ยวและทาวเฮ้าส์มีอัตรากำไรขั้นต้น ร้อยละ 30.0 รวมถึงบริษัทฯ บันทึกกำไรจากการขายเงินลงทุน (ก่อนหักภาษี) ในบมจ. ควอลิตี้ คอนสตรัคชั่น โปรดักส์ เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 104.3 ล้านบาท  จึงส่งผลให้ในไตรมาสนี้บริษัทฯ มีอัตราการเติบโตที่สูง
          สำหรับสัดส่วนหนี้สินต่อทุนของบริษัทลดต่ำลงเร็วมาก จากเดิมอยู่ที่ 0.78:1 ณ สิ้นปี 2552 คงเหลือเพียง 0.49:1 โดยบริษัทฯ ตั้งงบประมาณในการซื้อที่ดินไว้จำนวน 4,000 ล้านบาท ใช้ไปแล้ว 2,300 ล้านบาทเมื่อไตรมาส 1 ที่ผ่านมา และส่วนที่เหลืออยู่ระหว่างขั้นตอนการซื้อที่ดินเพิ่มเติม ทั้งนี้ ณ ไตรมาส 1 ปี 2553 บริษัทฯ มีสินค้ารอรับรู้รายได้ (Backlog) มากถึง 13,560 ล้านบาท เป็นโครงการแนวราบมูลค่า 982 ล้านบาท และโครงการคอนโดมิเนียมมูลค่า 12,578 ล้านบาท โดยจะทยอยรับรู้ไปจนถึงปี 2556 ซึ่งทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นได้ถึงการวางแผนการดำเนินงานที่แม่นยำ ตลอดจนความแข็งแกร่งและการรักษาสภาพคล่องทางการเงินของบริษัทที่นำมาสู่การเติบโตที่ยั่งยืน
          สำหรับความคืบหน้าด้านยอดขาย จนถึงปัจจุบัน (ณ วันที่ 9 พฤษภาคม) บริษัทฯ มียอดขายรวมจำนวน 3,572 ล้านบาท มาจากคอนโดมิเนียม 2,249 ล้านบาท และ 1,323 ล้านบาทจากสินค้าแนวราบที่คงเหลือสินค้าพร้อมขายในสัดส่วนที่น้อยมาก โดยในช่วงไตรมาส 1 ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้เปิดตัวไปแล้ว 2 โครงการ คือ 1) บ้านกลางเมือง Urbanion เกษตร-นวมินทร์ 2 มูลค่า 1,100 ล้านบาท มียอดขายแล้ว 25% และ 2) RHYTHM รัชดา-ห้วยขวาง มูลค่าโครงการ 2,200 ล้านบาท มียอดขายแล้ว 75% และเมื่อต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้เปิดตัวบ้านเดี่ยวภายใต้แบรนด์ The Centro ขึ้น 2 โครงการ คือ 1) The Centro รามอินทรา และ 2) The Centro รัตนาธิเบศร์ มูลค่าโครงการรวม 3,600 ล้านบาท โดยมีจุดขายในเรื่องของด้วยความแตกต่างที่สัมผัสได้มากกว่า ทั้งคอนเซ็ปต์ดีไซน์ โลเคชั่น คุณภาพงาน และสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการ
          “ในปีที่ผ่านมา เราประสบความสำเร็จด้านยอดขายอย่างมาก เราปิดการขายไปมากถึง 11 โครงการ ซึ่ง 8 ใน 11 เป็นโครงการแนวราบ แลในปีนี้คาดว่าเราจะปิดการขายในส่วนของสินค้าแนวราบเพิ่มอีก 7 โครงการจากทั้งสิ้น 14 โครงการ ซึ่งนั้นหมายความว่าเรามีสินค้าโดยเฉพาะแนวราบเหลือขายขณะนี้น้อยมาก ดังนั้น เราจึงมีแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งปีอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 17 โครงการ รวมมูลค่า 27,380 ล้านบาท เป็นคอนโดจำนวน 4 โครงการ และแนวราบจำนวน 13 โครงการ ซึ่งต่อจากนี้ไปจนถึงสิ้นปีจะเห็นภาพ AP เปิดตัวโครงการใหม่ทุกเดือน อย่างน้อยเดือนละ 1 โครงการ เพื่อทดแทนโครงการที่เราปิดการขายไปจำนวนมาก รวมถึงเพื่อรองรับความเชื่อมั่นเมื่อฟื้นกลับ เราจะได้มีสินค้าพร้อมขายในทันที” นายอนุพงษ์ กล่าวย้ำ