sianbun on May 06, 2010, 09:23:37 PM
 I LOVE YOU PHILLIP MORRIS ไอ เลิฟ ยู ฟิลลิป มอริส



จัดจำหน่ายโดย      บริษัท เอ็ม พิคเจอร์ส จำกัด 
ชื่อภาษาไทย      รักนะ...นามมอริส
เว็ปไซด์         http://www.phillipmorrismovie.com/
ภาพยนตร์แนว      โรแมนติก คอเมดี้
จากประเทศ      สหรัฐอเมริกา
กำหนดฉาย      20 พฤษภาคม 2553
ณ โรงภาพยนตร์      เฉพาะโรงภาพยนตร์ในเครือเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ เท่านั้น
นักแสดง   Jim Carrey (Man on the Moon, Truman Show, Bruce Almighty), Ewan McGregor (Moulin Rouge, Star Wars)
ผู้กำกับ         Glenn Ficarra & John Requa (Cats & Dogs)

จุดเด่น   

-   การพลิกบทบาทครั้งสำคัญของสองนักแสดงซูเปอร์สตาร์แถวหน้าของฮอลลีวู้ด Jim Carrey เจ้าพ่อคอเมดี้ พบกับ Ewan McGregor  เจไดหนุ่มหล่อ ที่โคจรมาแสดงร่วมกันเป็นครั้งแรก ในภาพยนตร์คอเมดี้ที่ถ่ายทอดความรักของเกย์หนุ่มได้อย่างแสบสันต์และถึงกึ๋นอย่างที่สุด โดยดัดแปลงมาจากหนังสือเรื่อง I Love You Phillip Morris: A True Story of Life, Love, and Prison Breaks ของ Steve McVicker ที่นำโครงเรื่องมาจากเรื่องจริงของสองนักโทษหนุ่ม Steven Russell ผู้ที่ต้องโทษถูกจำคุก 100 ปี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโทษจากการแหกคุกถึง 4 ครั้ง เพื่อออกไปหาคนรักหนุ่ม Phillip Morris ที่ได้พบรักกันในห้องขัง  นี่คือรื่องราวสุดพิสดาร ความบ้าบิ่น รวยอารมณ์ขัน และรักนิรันดร์มาปะทะกัน

-   ภาพยนตร์ I Love You Phillip Morris เปิดตัวครั้งแรกที่เทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์เมื่อต้อนปี 2009 โดยได้รับคำวิจารณ์ที่ดี และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Film Presented จาก Sundance Film Festival – 2009 อีกด้วย แต่กลับเกิดปัญหาไม่ได้เข้าฉายในสหรัฐอเมริกามานานกว่า 1 ปี

-   Jim Carrey รับบทเป็น Steven Russell ตำรวจหนุ่มที่แต่งงานแล้ว โดนคดีโกงที่ดิน จนถูกจับเข้าคุก และมาตกหลุมรักเพื่อนร่วมห้องขังอย่าง Phillip Morris ซึ่งรับบทโดย Ewan McGregor แต่เมื่อ Morris ถูกปล่อยตัวออกไปก่อน ทำให้ Russell เริ่มวางแผนที่จะแหกคุกถึง 4 ครั้ง เพื่อออกมาตามหาชายหนุ่มที่เป็นรักเดียวในหัวใจของเขา I Love You Phillip Morris

เรื่องย่อ

สตีเวน รัสเซลล์ (จิม แคร์รีย์) มีชีวิตที่ดูเหมือนเรียบง่าย เขาเป็นนักออร์แกนประจำโบสถ์เล็กๆ ในเมือง และเป็นตำรวจท้องถิ่น ครองชีวิตแต่งงานอย่างมีความสุข แต่นั่นคือชีวิตก่อนที่จะประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ซึ่งทำให้เขาเข้าใจตัวเองชัดขึ้น เขารู้ตัวแล้วว่าเป็นเกย์ แถมยังอยากจะใช้ชีวิตให้สุดเหวี่ยงโดยไม่คำนึงถึงกฎหมาย กระทั่งลงเอยด้วยการถูกส่งไปขังในเรือนจำประจำรัฐ ที่ซึ่งเขาได้พบกับรักที่รอคอย อันหมายถึงชายหนุ่มเสียงนุ่มๆ และอารมณ์อ่อนไหว ฟิลลิป มอริส (ยวน แม็คเกรเกอร์) ด้วยความที่อยากปลดปล่อยฟิลลิปให้เป็นอิสระจากคุก รวมถึงสร้างชีวิตที่สมบูรณ์ไปด้วยกัน เขาจึงต้องพยายาม (ซึ่งมักสำเร็จดังใจหมาย) งัดเล่ห์ลวงมาใช้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าอีกครั้ง โดยใช้ปัญญาอันเฉียบแหลมพาตัวเองหลุดพ้นจากระบบคุมเข้มของคุกในเท็กซัสมาแล้วถึงสี่ครั้ง ...และทุกครั้งเป็นไปเพื่อความรัก
« Last Edit: May 15, 2010, 03:29:33 PM by sianbun »

sianbun on May 15, 2010, 03:27:02 PM
เบื้องหลังงานสร้าง

   เรื่องราวใน I LOVE YOU PHILLIP MORRIS ดูไม่น่าจะเป็นไปได้ ทว่าเกิดขึ้นจริง มันคือการเดินทางที่คลาดสายตาไม่ได้ของสิบแปดมงกุฎทรงเสน่ห์ จากเดิมทีเป็นแค่นักธุรกิจในเมืองเล็กๆ แต่ต่อมาเขากลายเป็นผู้ร้ายใส่สูทที่โดดเด่นกว่าใครๆ ซึ่งพร้อมจะงัดข้อกับกฎหมายและหนีการไล่ล่า โดยใช้ปัญญาอันเฉียบแหลมพาตัวเองหลุดพ้นจากระบบคุมเข้มของคุกในเท็กซัสมาแล้วถึงสี่ครั้ง ...และทุกครั้งเป็นไปเพื่อความรัก

   สตีเวน รัสเซลล์ (จิม แคร์รีย์) มีชีวิตที่ดูเหมือนเรียบง่าย เขาเป็นนักออร์แกนประจำโบสถ์เล็กๆ ในเมือง ครองชีวิตแต่งงานอย่างมีความสุขกับ เด็บบี (เลสลี มานน์) และเป็นตำรวจท้องถิ่น แต่นั่นคือชีวิตก่อนที่จะประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ซึ่งทำให้เขาเข้าใจตัวเองชัดขึ้น เขารู้ตัวแล้วว่าเป็นเกย์ แถมยังอยากจะใช้ชีวิตให้สุดเหวี่ยงโดยไม่คำนึงถึงกฎหมาย ว่าแล้วจึงเลือกเดินไปบนเส้นทางชีวิตอันหรูหรา หาเงินมาสนองความต้องการด้วยกลโกงสารพัด กระทั่งลงเอยด้วยการถูกส่งไปขังในเรือนจำประจำรัฐ ที่ซึ่งเขาได้พบกับรักที่รอคอย อันหมายถึงชายหนุ่มเสียงนุ่มๆ และอารมณ์อ่อนไหว ฟิลลิป มอริส (ยวน แม็คเกรเกอร์) ด้วยความที่อยากปลดปล่อยฟิลลิปให้เป็นอิสระจากคุก รวมถึงสร้างชีวิตที่สมบูรณ์ไปด้วยกัน เขาจึงต้องพยายาม (ซึ่งมักสำเร็จดังใจหมาย) งัดเล่ห์ลวงมาใช้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าอีกครั้ง

   I LOVE YOU PHILLIP MORRIS ซึ่งเต็มไปด้วยอารมณ์ขันแปลกๆ และกลิ่นอายรัก คือเรื่องราวสุดพิสดารที่เกิดขึ้นเมื่อเงื้อมมือของกฎหมาย ความบ้าบิ่น และรักนิรันดร์มาปะทะกัน

   ร่วมเขียนบทและร่วมกำกับโดยมือเขียนบทที่เป็นคู่หูกันมานาน เกลนน์ ฟิคาร์รา และ จอห์น เรควา (Bad Santa) จากบทภาพยนตร์ที่ทั้งสองดัดแปลงจากนิยายจากปลายปากกาของอดีตนักข่าวสายอาชญากรรมประจำ Houston Chronicle สตีฟ แม็ควิกเกอร์ โดยมี แอนดรูว์ ลาซาร์ (Get Smart) และ ฟาร์ แชเรียต (Confessions of a Dangerous Mind) ร่วมกันคุมงานสร้าง ในขณะที่ผู้เขียนบท/ผู้กำกับภาพยนตร์/ผู้คุมงานสร้างชื่อดัง ลุค เบซซง (Transporter 2, The Fifth Element) นั่งแท่นผู้อำนวยการสร้าง

   ทีมสร้างสรรค์เบื้องหลังนำโดย ผู้กำกับภาพ ซาเวียร์ เปเรซ-โกรเบต (Before Night Falls), ผู้ออกแบบงานสร้าง ฮิวโก ลุคซิก-ไวฮาวสกี (Snatch), ผู้ตัดต่อลำดับภาพ โธมัส เจ.นอร์ดเบิร์ก (Alexander), ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย เดวิด ซี.โรบินสัน (Pollock) และผู้ประพันธ์ดนตรี นิก อุราตะ (Little Miss Sunshine)

   ยูโรปาคอร์ป ภูมิใจเสนอหนึ่งในงานสร้างของ แมด ชานซ์ โปรดักชั่น I LOVE YOU PHILLIP MORRIS ซึ่งไม่ได้ผ่านการจัดเรทโดยสมาพันธ์ภาพยนตร์แห่งอเมริกา (MPAA)
« Last Edit: May 15, 2010, 03:30:18 PM by sianbun »

sianbun on May 15, 2010, 03:27:38 PM
เกี่ยวกับงานสร้าง: เพื่อรัก ทุกอย่างเกิดขึ้นได้

   เรื่องรักสะท้านเมืองนี้ไม่ใช่รักโรแมนติกธรรมดาทั่วๆ ไป ผู้คุมงานสร้าง แอนดรูว์ ลาซาร์ ชี้แจง “ที่น่าสนใจก็เพราะเขาเป็นเกย์นี่แหละ” ลาซาร์หมายถึง สตีเวน รัสเซลล์ ซึ่งรับบทโดย จิม แคร์รีย์ “แต่สิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้ไม่จำกัดเฉพาะกลุ่มก็เพราะเราทุกคนล้วนเข้าถึงอารมณ์คลั่งไคล้ใหลหลง รู้จักอาการของโรครัก และอยากอยู่กับใครสักคนที่พร้อมจะเปลี่ยนชีวิตเรา”

   หลังจากชีวิตแบบสิบแปดมงกุฎจบสิ้น สตีเวนถูกส่งตัวเข้าคุกและได้พบ ฟิลลิป มอริส (ยวน แม็คเกรเกอร์) ที่นั่น เรื่องราวในหนังต่อจากนี้ไม่ต่างจากเรื่องราวของ ดอน กีโฆเต้ คือ ชายหนุ่มผู้เศร้าหมองที่ไม่อาจทนต่อการแยกขาดจากผู้เป็นที่รักได้ “สี่ครั้งทีเดียวที่เขาใช้วิธีนุ่มนวลและชาญฉลาดด้วยแรงขับดันแห่งรักหนีล่าท้าตายออกจากคุกเพื่อจะได้อยู่กับ ฟิลลิป มอริส” ลาซาร์กล่าวด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ

   ลาซาร์ยอมรับว่าหลงใหลเรื่องราวชีวิตที่ไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง “งานของผู้คุมงานสร้างคือต้องควานหาวัตถุดิบใหม่ๆ อยู่เสมอ แต่ตอนที่ผมเจอเรื่องนี้ มันยังเป็นแค่ต้นฉบับที่ไม่เสร็จสมบูรณ์ซะด้วยซ้ำ” ลาซาร์ชี้แจงถึงผลงานที่ต่อมานักข่าวสายอาชญากรรมประจำ Houston Chronicle สตีฟ แม็ควิกเกอร์ รวบรวมเป็นเล่ม “หนังสือเขียนไปได้หลายบทแล้วล่ะ แต่เนื้อหาส่วนที่เหลือยังเป็นแค่โครงคร่าวๆ เท่านั้นเอง พอนึกถึงความสำเร็จที่ได้รับจากเรื่องจริงที่ไม่ธรรมดาอย่าง Confessions of a Dangerous Mind ผมก็ซื้อลิขสิทธิ์ดัดแปลงเรื่องนี้ด้วยเงินของตัวเองทันที จากนั้นสำนักพิมพ์ Miramax Books ถึงได้นำไปตีพิมพ์”

   ลาซาร์ส่งสำเนาของหนังสือที่ก้าวหน้าไปจากเดิมไปเสนอให้กับมือเขียนบทระดับแนวหน้าทั้งหลายพร้อมๆ กันในช่วงสุดสัปดาห์หนึ่ง และตัดสินใจว่าคนแรกที่ตอบรับกลับมาก็รับงานไปทำเลย “พอผมอ่านหน้าแรกจบก็โทรหา จอห์น (เรควา) ทันที รีบบอกเขาว่า ‘เราน่าจะทำเรื่องนี้นะ’” ผู้ร่วมเขียนบทและกำกับ เกลนน์ ฟิคาร์รา ทบทวนความหลัง “ผมว่าจอห์นคงจับบางอย่างในน้ำเสียงของผมได้ล่ะมั้งก็เลยตอบสั้นๆ ‘เอาสิ’”

   “ผมตอบตกลงทั้งๆ ที่ยังไม่ได้อ่านทั้งหมดซะด้วยซ้ำ” ผู้ร่วมเขียนบทและกำกับอีกท่านหนึ่ง คือ จอห์น เรควา เผย “สิ่งแรกที่ดึงดูดความสนใจของเราคือการที่ผู้ชายคนนี้ทำแต่สิ่งเหลือเชื่อเพื่อความรัก เราไม่เคยทำหนังรักด้วยกันมาก่อน ไม่เคยคิดจะสนใจเลยด้วย แต่องค์ประกอบในเรื่องนี้ทรงพลังมากๆ ชนิดที่เราปฏิเสธไม่ลง”

   ในขณะที่ปล่อยให้องค์ประกอบในส่วนของสิบแปดมงกุฎหนุ่มผู้แสนจะเข้าใจยากเป็นตัวขับเคลื่อนเรื่องราวไปในทิศทางต่างๆ ลาซาร์หันมาสนใจลีลาสุดคลาสสิกของฟิคาร์ราและเรควาในการเข้าถึงเรื่องรักอันเป็นเนื้อแท้ที่องค์ประกอบต่างๆ นำเสนอ “ทุกวันนี้มีหนังเกี่ยวกับสิบแปดมงกุฎสารพัดแบบทีเดียว อย่างเช่น The Grifters และ Catch Me If You Can แต่ปัจจัยที่ส่งเสริมให้หนังเรื่องนี้แตกต่างและโดดเด่นมากคือความสัมพันธ์ที่เป็นแก่นของเรื่อง ซึ่งทั้งสองคนพุ่งเป้าไปที่จุดนั้นทันที” ลาร์ซาร์ยืนยัน

ด้วยความที่เป็นหนังสือในเครือ Miramax Books อยู่แล้ว จึงต้องคุยเรื่องทุนสร้างกับทาง Miramax ก่อนเป็นที่แรก ฟิคาร์ราเล่าว่า “เราเสนองานทางโทรศัพท์ บอกไปตรงๆ ว่าเป็นหนังที่ว่าด้วยเรื่องเกย์แหกคุก ปรากฏว่า Miramax เงียบสนิทเลย” เรควาเล่าต่อ “หลังจากลองคุยกับทาง Miramax แล้ว ผมก็พูดขึ้นมาว่า ‘สงสัยต้องเขียนเรื่องนี้แบบฟรีๆ แล้วล่ะ’ พอแอนดรูว์ได้ยินก็รีบสวนทันที ‘คุณจะเขียนให้ฟรีๆ เหรอ? เยี่ยมไปเลย!’” ทุกคนที่มีส่วนร่วมในโปรเจกต์นี้เข้าใจตรงกันตั้งแต่แรกแล้วว่าเรื่องของชายกับชายไม่ใช่โปรเจกต์ที่จะดึงดูดเม็ดเงินอย่างง่ายดายจนกลายเป็นหนังทุนสร้างสูงได้ “น่าเสียดายอยู่เหมือนกัน ถ้าหนังเป็นเรื่องของชายกับหญิงล่ะก็ เราคงได้ทุนสร้างมหาศาล” เรควาแสดงความคิดเห็น
ในเมื่อเป็นโปรเจกต์เสี่ยงเขียนแบบไร้ค่าจ้าง คู่หูคนเก่งจึงต้องเขียนงานที่ได้เงินอื่นๆ ควบคู่ไปกับตั้งหน้าตั้งตาถอดรหัสเรื่องราวจากหนังสือต้นฉบับของโปรเจกต์นี้ซึ่งใช้เวลาเกือบสองปี “เหตุผลใหญ่ๆ ข้อหนึ่งที่รับงานนี้ก็คือมันท้าทายความสามารถของเรามากๆ” เรควาเผย “เราไม่เคยเขียนบทหนังรัก ไม่เคยเขียนบทจากเรื่องจริง และไม่เคยแปลงหนังสือมาเป็นบทหนังเลยสักเล่ม นับว่าเป็นบทชิ้นเยี่ยมชิ้นหนึ่งที่เพิ่มเข้ามาในกล่องประสบการณ์ของเราเลยทีเดียว”

หนึ่งในความท้าทายของการเล่าเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องแต่งครั้งนี้คือ “เราต้องเน้นให้เห็นความทุเรศของทรัพย์สินนอกกายทั้งหลาย แต่ก่อนอื่น ต้องจับมันมาเจือจางซะก่อน จากนั้นก็ทำให้เข้ากับสมัยนิยมภายใต้ขอบเขตของภาพยนตร์” ลาซาร์บอกอย่างนั้น

ชีวิตของ สตีเวน รัสเซลล์ เต็มไปด้วยเรื่องราวน่าตื่นเต้นและเล่ห์เหลี่ยมมหัศจรรย์พันลึก ซึ่งมือเขียนบททั้งสองจะต้องเน้นและผูกเรื่องขึ้นจากวัตถุดิบที่มีอยู่ “เราต้องจับวัตถุดิบเหล่านั้นมาผสมให้เข้ากัน จากนั้นก็มองสิ่งที่ได้มานั้นให้รอบด้าน และแต่งแก้ให้ดูดีทุกเหลี่ยมทุกมุม” เรควาเล่าความหลัง “เราโยนงานหนักให้ตัวเองมากกว่าที่สตูดิโอไหนๆ เคยทำกับเรา ต้องเขียนบทถึงสิบร่างส่งไปให้ลาซาร์และผู้คุมงานสร้างอีกคน ฟาร์ แชเรียต แต่เราก็มีรอยยิ้มอยู่ตลอด”

บทพร้อมส่งไปถึงผู้มีสวรรค์ทั้งหลายในช่วงปลายปี 2006 ซึ่ง “คนแรกที่ได้อ่านบทในช่วงวันหยุดคริสต์มาส คือ จิม แคร์รีย์” ลาซาร์เล่า “โดยปกติ จิมจะตอบรับบทประเภทที่มีเสน่ห์อย่างเหลือเชื่อ ใจดีมีเมตตาแต่ก็มีข้อบกพร่องบางประการ ส่วนเรา ถ้าได้นักแสดงที่เป็นตัวเลือกแรกมาร่วมงานด้วยจะต้องดีใจมากแน่ๆ แต่พอเขาตอบรับขึ้นมาจริงๆ เราถึงกับรีบย้อนมามองบทอีกครั้ง และคิดกันว่าเขาสมควรจะต้องสร้างปรากฏการณ์บนทุกๆ หน้าของบท”

“นี่ไม่ใช่หนังประเภทผู้ชายแสร้งทำเป็นเกย์” ลาซาร์ชี้แจ้งถึงวัตถุดิบและหีบห่อแห่งการสร้างสรรค์ “สตีเวน รัสเซลล์ เป็นโฮโมเซ็กช่วล ในขณะที่บทก็เร้าใจมาก เราหยิบยกผู้กำกับแถวหน้าของวงการจำนวนหนึ่งมาปรึกษาหารือกับจิม แต่คนไหนๆ ก็ติดโปรเจกต์อื่นอยู่ทั้งนั้น  จิมเลยทักขึ้นมาว่าตอนแรกผมบอกเขาเองว่าฟิคาร์รากับเรความีศักยภาพพอจะกำกับหนังสักเรื่องได้แล้ว ส่วนตัวเขาเองก็สะดวกใจไม่มีปัญหาถ้าทั้งสองจะนั่งแท่นผู้กำกับฯ หลังจากนั้น จิมพัฒนาความสัมพันธ์กับทั้งสองขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงความคิดที่ว่า ‘คนต่อไปล่ะใคร’ จิมกล้ามากทีเดียว แถมยังเชื่อมั่นในฝีมือของทั้งสองแบบไม่ขอข้อพิสูจน์” ลาซาร์เผยถึงการตัดสินใจนำมือเขียนบททั้งสองมานั่งแท่นผู้กำกับหนัง

“เราโชคดีตรงที่มีคนแนะนำให้รู้จักกับ ลุค เบซซง (ผู้อำนวยการสร้าง) ในช่วงแรกๆ ของโปรเจกต์ เพราะเรื่องราวที่ตีแผ่ความสัมพันธ์ทางเพศดูจะทำให้คนยุโรปกระอักกระอ่วนไม่มากเท่ากับคนอเมริกัน” ลาซาร์เล่าต่อ “หนังของเราต่างจาก Brokeback Mountain มากๆ แต่ก็มีความคล้ายคลึงกันในส่วนขององค์ประกอบที่ทำให้คนดูอึ้ง นั่นคือ สัมพันธภาพที่ดูสมจริงของตัวละคร และการอยู่เหนืออคติใดๆ ยูโรปาคอร์ปเข้าใจว่าโทนเรื่องเป็นคอเมดี้ปนกับองค์ประกอบแบบดราม่า และเปิดไฟเขียวให้เราลุยสร้างหนังอย่างที่เราต้องการ ความสัมพันธ์ของลุคกับจิมก่อนหน้านี้ยิ่งทำให้เราอุ่นใจขึ้น เขาไม่เข้ามายุ่งวุ่นวายอะไรทั้งนั้น แต่คอยเป็นแรงสนับสนุนอยู่ห่างๆ”

“สัญชาตญาณบอกผมว่าเกลนน์กับจอห์นนี่แหละคือคนทำหนังตัวจริง” ลาซาร์เผย “แรกๆ ผมไม่เคยดูหนังสั้นสมัยนานมาแล้วของทั้งคู่มาก่อน แต่พอถึงตอนที่ต้องลงไปในรายละเอียดสำคัญ ผมหยิบหนังสั้นเมื่อสิบปีก่อนของพวกเขามานั่งดูกับจิม มันตลกสุดๆ แถมยังมีสไตล์โดดเด่นอีกด้วย ผมคิดว่านั่นยิ่งเพิ่มความมั่นใจให้จิมมากขึ้น ต่อมาเลยกลายเป็นว่ารอบๆ ตัวเราเต็มไปด้วยทีมที่ความสามารถเหนือธรรมดาทั้งนั้น”

ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย เดวิด ซี.โรบินสัน ซึ่งคุ้นเคยกับหนังสือต้นฉบับเป็นอย่างดี เตรียมตัวไปสัมภาษณ์กับทีมผู้สร้างแบบที่คนธรรมดาไม่ทำกัน “เดวิดเดินเข้ามาและพูดว่าผมทำวิจัยไว้แล้วเรียบร้อย จากนั้นก็หยิบกระเป๋าใส่รูปโพลารอยด์ส่วนตัวขึ้นมาวางตรงหน้าเรา ซึ่งแต่ละรูปสะท้อนให้เห็นชีวิตของสตีเวนได้อย่างแนบเนียนมาก” ฟิคาร์ราทบทวนความหลัง

“ผมคิดได้ว่า สตีเวน รัสเซลล์ กับตัวผมเองน่ะอายุไม่ต่างกันเลย นอกจากนี้ ผมยังเคยอยู่แถบๆ คีย์เวสต์และถัดลงมาทางใต้อีกหน่อย ซึ่งเป็นจุดเดียวกับที่เขาเคยอยู่ในหนังนั่นแหละ” โรบินสันเริ่มเล่าบ้าง “ผมก็เลยหยิบรูปอย่างตอนที่ตัวเองแช่อยู่ในอ่างน้ำอุ่นๆ กับอีกสองหนุ่มมาให้ดู เพื่อบอกให้รู้ว่าเกย์แถบคีย์เวสต์ช่วงปี 1984 น่ะเป็นยังไง ผมไม่ใช่ สตีเวน รัสเซลล์ หรอก แต่เคยใช้วันว่างแบบสุดเหวี่ยงกับผู้ชายอย่างเขามาแล้ว ต่อมาผมถึงโพสต์รูปที่ถ่ายช่วงวันหยุดทั้งหมดไว้บนเว็บไซต์งานวิจัยชิ้นนี้” นี่คือคำอธิบายจากผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย ซึ่งผลงานทางด้านเสื้อผ้าในหนังอย่าง Donnie Brasco และ Meet Joe Black ส่งให้เขาโดดเด่นและแตกต่างจากคนอื่นๆ ในแวดวง

หลายครั้งที่โรบินสันคล้ายๆ จะเป็น ‘ผู้นำทางจิตวิญญาณ’ ของคู่หูผู้กำกับ เมื่อครั้งที่ร่วมเดินทางไปด้วยกันในการแต่งเติมความสมบูรณ์ให้กับตัวตนของ สตีเวน รัสเซลล์ ที่จะปรากฏบนจอ ด้วยเครื่องแต่งกายของโรบินสัน “ตู้เสื้อผ้าของพวกเขามีชุดในยุคเดียวกัน แถมยังโตมาในสถานที่ที่ใกล้กันมากๆ เรียกว่าพวกเขามีตัวตนอยู่ในยุคเดียวกันก็ได้” ฟิคาร์ราเผยความเข้าใจในตัวตนของสตีเวนที่โรบินสันกำหนดขึ้น “ในประวัติศาสตร์ของฮอลลีวู้ด ผมไม่รู้ว่ามีผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายคนไหนมีส่วนร่วมในหนังสักเรื่องมากเท่านี้มาก่อนมั้ย” เราควาหมายถึงอิทธิพลของโรบินสันที่มักจะครอบคลุมมากกว่าฝ่ายที่ตัวเองรับผิดชอบ “เขากระตือรือร้นในโปรเจกต์นี้มากเป็นพิเศษตั้งแต่เริ่มงาน และอยากเห็นหนังสำเร็จเป็นรูปเป็นร่างอย่างถูกต้อง เขาเป็นผู้ชายคนหนึ่งที่ทุ่มเทมากและมีพรสวรรค์ลึกซึ้งจริงๆ”

นอกจากนี้ สองผู้กำกับยังนิยมชมชอบงานภาพของ ซาเวียร์ เปเรซ-โกรเบต อยู่แล้ว ทั้งในเรื่อง Nacho Libre และ Before Night Falls ก่อนที่จะนัดพบพูดคุยกันเกี่ยวกับหนัง “พอเราเริ่มพูดถึงหนัง เขาก็ชิงบอกก่อนว่า ‘ผมเป็นเกย์นะ’” ฟิคาร์ราซึ่งอ้าแขนรับความสนใจในการร่วมงานกับหนังเรื่องนี้ของโกรเบตเต็มที่ ยิ้มเล็กน้อยและเผยอีกว่า “เกย์ส่วนใหญ่ที่ทำงานในแวดวงหนังเห็นว่าเรื่องนี้มีเสน่ห์มาก เพราะเกย์ตกเป็นรองมาตลอด ทว่านี่เป็นหนึ่งในหนังไม่กี่เรื่องที่ไม่ตีแผ่ความเป็นเกย์ แต่ว่าด้วยเรื่องรักระหว่างคนสองคนที่เกิดมาเป็นเกย์ แถมยังมีเสียงเรียกร้องของเราแทรกอยู่ตลอดทั้งเรื่องว่า ...อย่าเห็นเกย์เป็นเครื่องประดับ”

ต่อมา เมื่อนึกถึงโลกที่สิ้นหวังทั้งหลายที่ สตีเวน รัสเซลล์ ต้องก้าวผ่าน ทีมผู้สร้างนึกถึงผู้ออกแบบงานสร้าง ฮิวโก ลุคซิก-ไวฮาวสกี ซึ่งเคยร่วมงานกับผู้กำกับชาวอังกฤษ สตีเฟน เฟรียร์ส มาแล้วหลายเรื่อง “ในส่วนของฮิวโก การออกแบบงานสร้างของเขาจะมีความเป็นจริงอยู่ในนั้น ซึ่งผมคิดว่าสำคัญกับหนังของเราอย่างยิ่ง” ลาซาร์บอก “เราเคยคุยกันเกี่ยวกับสไตล์นู้นสไตล์นี้ที่จะใช้กับหนัง และสุดท้ายก็ลงเอยที่เรียลิสม์สิน่าจะเหมาะที่สุดแล้ว” ฟิคาร์รา ซึ่งอธิบายว่าเขาและจอห์นอยากหัวเราะเพราะตัวละคร ไม่ใช่เพราะช่วงเวลาของหนัง กล่าวเสริม “ฮิวโกคือคนที่ผลักดันหนังให้กลายเป็นเรียลิสม์สมจริง เพราะเขาท้วงว่า ‘ในเมื่อมีองค์ประกอบที่ฟุ้งเกินจริงพอแล้ว คงไม่อยากให้มันเกินไปกว่านี้หรอกนะ’” เรควาหมายถึงช่วงแรกๆ ของการพูดคุยกันเกี่ยวกับสถานที่ถ่ายทำและฉากต่างๆ

  ทีมสร้างใช้เวลาสองสัปดาห์แรกในไมอามี่ เพื่อฟื้นคืนช่วงเวลาตั้งแต่ตอนที่รัสเซลล์หุนหันกลายเป็นเกย์ในช่วงกลางทศวรรษที่ 1980 และได้พบกับรักแรกลงลึก จิมมี เคมเพิล ซึ่งรับบทโดย โรดริโก ซานโตโร “นั่นคือสถานที่แรกที่เขาไปหลังจากตัดสินใจเผยตัวตนที่แท้จริง” ฟิคาร์ราแจง “เหมือนเขาบอกตัวเองว่า ‘ฉันต้องเลิศที่สุด’ และได้พบสถานที่ที่เหมาะจะทำตัวเลิศๆ ซึ่งอันที่จริงเป็นที่ที่อยู่แล้วร้อน แต่ก็อยู่ที่นั่นในช่วงที่กระแสเปิดตัวปะทุขึ้นในหมู่ชาวเกย์”

ทันทีที่มาถึงไมอามี่ โรบินสันหยิบแนวลาตินมาเพิ่มความสดใสให้งานด้านเสื้อผ้าสำหรับตัวละครของซานโตโร “ตอนที่รู้ว่าทีมผู้สร้างเลือกเขามาแสดง ผมฉุกคิดขึ้นมาทันทีว่าสมบูรณ์แบบที่สุด เพราะคู่เกย์ที่ผมรู้จักในสมัยนั้นไม่รู้กี่คู่ต่อกี่คู่เป็นคนขาวตัวใหญ่ๆ กับหนุ่มลาตินทั้งนั้น” โรบินสันทบทวนความหลังเมื่อครั้งร่วมงานกับหนุ่มหัวใจบราซิลเลียนคนนี้ซึ่งโด่งดังในสหรัฐอเมริกาจากบทเซอร์เซสในหนังเรื่อง 300 “อยู่ๆ Versace ก็ทำให้ผมนึกถึงภาพหนุ่มลาตินเร่าร้อนสวมเสื้อเชิ้ตพิมพ์สัญลักษณ์ของแบรนด์นี้ จากนั้นถึงคิดได้ ‘ใช่เลย ดูไปกันได้ดีทีเดียว’ ไม่แปลกใจเลยที่ จิอานนี่ เวอร์ซาเช่ อยากให้หนุ่มลาตินร้อนๆ บนหาดสวมเสื้อผ้าพวกนั้น” ในขณะที่ลาซาร์รู้สึกขบขันกับภาพที่เป็นข่าวครึกโครมไปทั่วโลก ซึ่งปาปารัซซีแอบถ่ายไว้ตอนที่แคร์รีย์และซานโตโรเดินควงกันที่ คอลลินส์ อเวนิว ระหว่างสวมวิญญาณเป็นเกย์มีระดับ สตีเวน รัสเซลล์

   “ถ้าได้อ่านนิยายต้นฉบับ จะรู้เลยว่ามีภูมิหลังเกี่ยวกับเรื่องบรรดาเพื่อนๆ แนะนำเขายังไงบ้างสมัยที่กลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมเกย์ใหม่ๆ อยู่น้อยมาก” โรบินสันเล่า “ด้วยความที่โตมากับการเป็นตำรวจในเวอร์จิเนียก็เลยไม่ชำนาญเรื่องแฟชั่นนัก แต่เขาอาจได้ยินมาว่าถ้าอยู่ในสังคมเกย์ จะแต่งตัวให้วิลิศมาหรายังไงก็ได้ไม่ต้องอายใคร นั่นคือช่วงเวลาเล็กๆ น้อยๆ ที่คนดูจะได้เข้าใจตัวเขา เข้าใจความลำบากนิดๆ หน่อยๆ ของเขาระหว่างพยายามปรับให้ลงตัวกับวัฒนธรรมเกย์ ด้วยความที่เขาอยากลงตัวกับที่ไหนสักที่หนึ่งมาตลอด”

   เรื่องราวเกิดขึ้นในเท็กซัสเป็นส่วนใหญ่ทั้งในและโดยรอบห้องขังและคุก ดังนั้น ผู้คุมงานสร้างจึงต้องหารัฐที่ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์ และพร้อมจะให้โอกาสพวกเขาเข้าไปถ่ายทำตามสถานที่เหล่านั้น หลุยส์เซียนาซึ่งมีพรมแดนติดกับเท็กซัสคือสองรัฐที่สมบูรณ์แบบที่สุด ทีมสร้างตะลุยหาโลเกชั่นตามคุกและเรือนจำต่างๆ ทั่วเมืองนิวออร์ลีนส์ ซึ่งบางส่วนอยู่ระหว่างการฟื้นฟูหลังจากถูกเฮอร์ริเคนคาทรินาพัดถล่ม

   “เราได้ประสบการณ์มหาศาลจากทั้งในและรอบๆ คุกในนิวออร์ลีนส์ ต่อมาเราใช้เวลาห้าวันถ่ายทำในแองโกลา ซึ่งเป็นหนึ่งในคุกที่อันตรายที่สุดในโลกก่อนจะปฏิรูปในช่วงกลางทศวรรษที่ 1990” ลาซาร์เผย นี่คือสถานที่ถ่ายทำฉากที่สตีเวนพบกับ ฟิลลิป มอริส (รับบทโดย ยวน แม็คเกรเกอร์) เป็นครั้งแรก ภาพของคุกที่ถ่ายทอดผ่านหนังมักจะดูดิบเถื่อนมาก ทว่าคุกใหญ่ๆ บางคุก “นักโทษเหมือนมีชีวิตอิสระอยู่ในนั้น จะผูกสัมพันธ์รักกันหรือไม่รักใครเลยก็ได้ ไม่มีปัญหา” เรควาสังเกตเห็น

   “นี่เป็นหนังที่ต้องอาศัยพลังของบทตลอดทั้งเรื่อง ในขณะที่บทหนังของเรานั้นแกร่งมาก ทั้งยังเปิดโอกาสให้นักแสดงลงลึกไปในตัวละครมากกว่าหนังตามแบบฉบับฮอลลีวู้ด” ลาซาร์ซึ่งยอมรับว่าการมีจิมแคร์รีย์แสดงนำช่วยดึงดูดความสนใจของนักแสดงมากมายบอกอย่างนั้น ในส่วนของ ยวน แม็คเกรเกอร์ ทีมผู้สร้างก็ได้มาจากการปรึกษาหารือกับจิมอีกเช่นกัน ซึ่ง “แค่วันเดียว ยวนก็ตอบรับแล้ว” ฟิคาร์ราคิดถึงวันที่ไปรวมตัวกันที่บ้านของ จิม แคร์รีย์ “ฟิลลิป มอริส เป็นบทที่ละเอียดอ่อนมาก แต่ง่ายสำหรับยวนในการสวมบทหนุ่มที่มีลักษณะคล้ายๆ เด็กบ้านแตก ซึ่งจับใจ สตีเวน รัสเซลล์ เหลือเกิน” ลาซาร์อธิบาย

   เลสลี มานน์ ผู้รับบท เด็บบี ภรรยาของสตีเวน ก็เป็นนักแสดงอีกคนจากการแนะนำของแคร์รีย์ “เธอเป็นตลกที่เรียกเสียงหัวเราะได้ดีคนหนึ่ง เป็นนักแสดงที่เก่ง และมีความหลังร่วมกับจิมมาแล้วตั้งแต่แสดงใน Cable Guy ด้วยกัน” นอกจากนี้ ลาซาร์ยังเอ่ยถึงบทที่ลืมไม่ลงของเธอในหนังกำกับโดย จัดด์ อพาโทว์ เรื่อง Knocked Up และ 40 Year Old Virgin “สุดท้ายแล้ว หลังจากสตีเวนเปิดตัวว่าเป็นเกย์ เราต้องการใครสักคนที่ยังคงเป็นเพื่อนกับเขาได้อย่างแท้จริง เลสลีนี่แหละที่สามารถแสดงอารมณ์ที่สื่อถึงการให้อภัยและความเข้าใจ ซึ่งเด็บบีจำเป็นต้องมอบให้กับสตีเวน”
« Last Edit: May 15, 2010, 03:31:20 PM by sianbun »

sianbun on May 15, 2010, 03:28:24 PM
เบื้องหลังตัวละครคือเรื่องจริง

   ด้วยไอคิวในระดับ ‘พรสวรรค์อันโดดเด่น’ (169) สตีเวนจึงฉลาดพอที่จะรู้จักหากินกับยศถาบรรดาศักดิ์และเรียนรู้ที่จะแสวงหาประโยชน์จากสถานภาพลวงๆ อย่างผู้บริหารระดับสูงหรือสิบแปดมงกุฎชั้นเซียน “จริงๆ แล้วเขาไม่ใช่ผู้ร้ายชั้นเซียนหรอก” ฟิคาร์ราอธิบาย “เพียงแต่กล้าทำสิ่งต่างๆ แม้ว่าสิ่งนั้นจะดูไม่ฉลาดเลยก็ตาม” เรควากล่าวเสริม “ความกล้าบ้าบิ่นนี่แหละคือคุณสมบัติที่ทรงพลังที่สุดในตัวเขา”

   “เราชอบตัวละครที่หมกมุ่นอยู่กับมายา” ฟิคาร์ราเผย “ใช่เลย สตีเวนเองก็เป็นอย่างนั้น” เรควาแทรก “เราชอบตัวละครที่ถูกอดีตตามมาหลอกหลอนและต้องปลุกปล้ำกับมันตลอดทั้งเรื่อง”

   “ด้วยความที่เชื่อว่าตัวเองทำได้ทุกอย่าง การรับรู้ในเชิงเหตุและผลจึงสูญเสียไป” ลาซาร์เล่า “นั่นเป็นการมองโลกแบบสตีเวนซึ่งถือว่ากล้าและบ้าบิ่นเกินไป มันทำให้คนฉลาดๆ อย่างเขาถึงกับงัดเล่ห์เหลี่ยมกลโกงออกมาใช้ นอกจากนี้ มันยังเป็นจุดอ่อนของเขาอีกด้วย มันทำให้เขาชะล่าใจเรื่องกลบเกลื่อนร่องรอย และมองไม่เห็นว่าร่องรอยพวกนั้นจะนำภัยมาถึงตัว”

   สตีเวน รัสเซลล์ (จิม แคร์รีย์) คือผู้บรรยายและเล่าเรื่องทั้งหมดจากมุมมองของตัวเองล้วนๆ “สิ่งที่เขาคิดหรือสิ่งที่เขาบอกกับ สตีฟ แม็ควิกเกอร์ อันไหนล่ะคือความจริง” ฟิคาร์ราอธิบาย “ความจริงคือสิ่งที่น่าเบื่อเล็กน้อย บางทีก็มองเห็นมันไม่ค่อยชัด แต่เราอยากให้คนที่ดูหนังเรื่องนี้เป็นคนสุดท้ายที่ถูกลวง” เรควาบอก

   ไม่มีกลลวงหรือการหนีครั้งใดๆ ในหนังเป็นเรื่องยกเมฆ เพียงแต่ “ตีความออกมาในเชิงสัญลักษณ์” ดังที่ทีมผู้สร้างชี้แจงไว้ “เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นจริง แต่จะเห็นชัดๆ ว่าเราใส่ความหมายเชิงสัญลักษณ์เข้าไปในบทพูดและน้ำเสียงของตัวละคร” ลาซาร์เผย “จริงๆ แล้วไม่มีอะไรมาก เราแค่อยากตีความหนังและความสัมพันธ์ในเรื่องออกมาในแนวโรแมนติกก็เลยทำอย่างที่อยากเท่านั้นเอง”

     ปัจจุบัน สตีเวน รัสเซลล์ ยังต้องถูกคุมเข้มตลอด 23 ชั่วโมงอีก 144 ปี ในขณะที่ ฟิลลิป มอริส นั่งแท่นที่ปรึกษาพิเศษให้กับหนังเรื่องนี้ รวมถึงร่วมแสดงในบทไม่มีชื่อเช่นเดียวกับผู้เขียนหนังสือต้นฉบับ สตีฟ แม็ควิกเกอร์
« Last Edit: May 15, 2010, 03:31:48 PM by sianbun »

sianbun on May 15, 2010, 03:29:07 PM
สัมภาษณ์พิเศษ:
   
หนังรักฉบับเกย์ในคุกเรื่องใหม่ไม่มีอะไรมากไปกว่าความรัก จิม แคร์รีย์ บอก
   ซูเปอร์สตาร์ฮอลลีวู้ด จิม แคร์รีย์ กลัวว่าการประกบปากกับ ยวน แม็คเกรเกอร์ ในหนังเรื่องหนึ่งอาจทำให้เขาสับสนในตัวเองไปทั้งชีวิต
   ดาราหน้ายางยืดในคอเมดี้เรื่องดัง Ace Ventura และ The Mask ผูกสัมพันธ์บนจอกับนักแสดงหนุ่มรูปหล่อ ยวน แม็คเกรเกอร์ จาก Star Wars ในหนังเรื่องใหม่ I LOVE YOU PHILLIP MORRIS
   ในขณะที่ ยวน แม็คเกรเกอร์ เคยรับบทเกย์ในหนังหลายๆ เรื่อง เป็นต้นว่า Velvet Goldmine และ The Pillow Book ทว่าเป็นบทที่สดใหม่มากสำหรับนักแสดงหนุ่มเชื้อชาติแคนาเดียนอย่าง จิม แคร์รีย์
   คุณพ่อลูกหนึ่งซึ่งกำลังเดทกับนางแบบเพลย์บอยชื่อดัง เจนนี แม็คคาร์ธี ยอมรับว่า “ถ้าจะให้พูดตรงๆ ล่ะก็ มีน้ำเสียงเกลียดกลัวรักร่วมเพศผุดขึ้นมาในหัวผมว่า ‘อี๋...สยอง’
   ตอนแรกผมคิด คนดูจะคิดยังไง? แต่ต่อมาผมคิด ตัวเราล่ะจะติดใจมั้ย?
   เราจะหลงใหลรสจูบของยวนหรือเปล่า? จูบนั้นจะส่งผลกระทบยังไงกับชีวิตบ้าง?
   มีสองสามคนรอบๆ ตัวผมที่ถามว่า ‘อยากแสดงแน่เหรอ?’ ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังถามกันอยู่
   ผมตอบสั้นๆ ‘แน่นอนที่สุด!’ เพราะถ้าตัดเรื่องรสนิยมทางเพศออกไป ก็จะเหลือแต่เรื่องราวที่ทั้งทรงพลัง น่าสนใจ และแตกต่าง
   เป็นเรื่องของมนุษย์โลก เรื่องของการรักคนที่รัก และรักก็คือรัก นั่นแหละใช่เลย”

   หนังจากแรงบันดาลใจโดยเรื่องจริง I LOVE YOU PHILLIP MORRIS คือดราม่าคอเมดี้ที่ว่าด้วยเรื่องอดีตตำรวจคุณพ่อลูกสอง ซึ่งหลังจากผ่านพ้นอุบัติเหตุทางรถยนต์มาได้ก็เปิดตัวว่าเป็นเกย์
   เพื่อคงชีวิตเหนือระดับแบบใหม่ของตัวเองเอาไว้ เขากลายเป็นสิบแปดมงกุฎและจบที่คุกในเท็กซัส
   ที่นั่น เขาตกหลุมรักเพื่อนร่วมมุ้งสายบัว ฟิลลิป มอริส (รับบทโดย ยวน แม็คเกรเกอร์) ซึ่งเข้ามาอยู่ในคุกเพราะไม่ยอมคืนรถที่เช่ามา
   ชาวสก็อตเรียกขานหนังเรื่องนี้ ซึ่งยังไม่กำหนดวันฉายในอังกฤษ ว่า “หนังรักฉบับเกย์ในคุก”
   ระหว่างพูดคุยที่ ซันแดนซ์ ฟิล์ม เฟสติวัล ในยูทาห์ หลังจากรอบปฐมทัศน์โลกของหนังเรื่องนี้ผ่านไป ยวนดูระมัดระวังมากเมื่อพูดถึงบทเกย์
   คุณพ่อที่ผ่านการสมรสจนมีลูกสามจากเมืองครีฟฟ์ในแคว้นเพิร์ธไชร์บอกว่า “ไม่ใช่เรื่องน่าตกใจนักหนาหรอก ในเมื่อสถานการณ์ของตัวละครของผม คือตกหลุมรักกับตัวละครของจิม
   ผมแสดงเป็นผู้ชายที่กำลังมีความรัก ในฐานะนักแสดง ต้องทำได้อยู่แล้ว
   ดังนั้น จูบกับผู้ชายที่รักจึงไม่ใช่เรื่องแปลกหรือผิดปกติใดๆ เลย”
   

   ในส่วนของยวน ซึ่งเคยฝากฝีมือไว้ในหนังนอกกระแสมากมาย เช่น Young Adam และ The Pillow Book ที่ไม่ใช่เพียงมีเพศสัมพันธ์ แต่ยังต้องเผยของลับโจ่งแจ้ง ภารกิจจูบชายหนุ่มดูจะเป็นแค่อีกบทบาทหนึ่งในหน้าที่เท่านั้น
   สิ่งที่เขาเห็นในหนังคือเรื่องรัก
   “ผมดูฉากที่เราเต้นรำกับร้องเพลงด้วยกันในห้องขังแล้วรู้สึกจับใจมาก เพราะน่ารักและโรแมนติกสุดๆ” เขาบอก “ยิ่งมองตัวเองกับจิมก็ยิ่งคิดว่าน่ารักมากจริงๆ”

   แต่เดี๋ยวก่อน จูบกันรู้สึกยังไง?
   
   “ยวนใช้ลิ้นเล็กน้อย” จิมหัวเราะ
และบอก “ผมว่าเรามีฉากผสมเคมีทางเพศชั้นเยี่ยมอยู่บ้างบนจอ แต่ที่มากแน่ๆ คืออารมณ์แบบ ‘มาสิ หม่ำ หม่ำ จะกลืนทั้งตัว’ ซึ่งครุกรุ่นตลอดเวลา”

ทว่านักแสดงหนุ่มชาวสก็อตจาก Trainspotting ซึ่งเคยเข้าฉากเซ็กส์แบบเกย์ๆ กับนักแสดงหนุ่ม คริสเตียน เบล จาก Batman ในเรื่อง Velvet Goldmine มาแล้ว ดูจะไม่คุกรุ่นขนาดนั้น
เขาให้สัมภาษณ์ “ผมเคยแสดงบทเกย์มาก่อนก็ต้องเคยจูบผู้ชายมาก่อนอยู่แล้ว
ส่วนเราก็ถ่ายฉากจูบกันทั้งหมดตั้งแต่วันแรกที่เข้ากอง
มีหลายๆ ฉากที่เราต้องจูบกันแล้วกอดกัน เราต้องทำให้ได้ โดยเริ่มจากคำว่าลุย น่าแปลกใจจริงๆ”
ในขณะที่ Brokeback Mountain คือรักแบบเกย์ระหว่าง ฮีธ เลดเจอร์ กับ เจค กิลเลนฮาล ซึ่งไม่ใช่ดาราใหญ่ขนาด จิม และ ยวน เสียด้วยซ้ำ
ถึงแม้ยวนจะเคยผ่านบทเกย์ในหนังอาร์ตเล็กๆ แต่บทบาทที่ทำให้เขากลายเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกอยู่ใน Star Wars ส่วน จิม แคร์รีย์ คือหนึ่งในนักแสดงตลกชั้นแนวหน้าของฮอลลีวู้ด จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าเหตุใดเมื่อครั้งที่หนังฉายในงาน Sundance Film Festival ทันทีที่ผู้ชมทั้งโรงเห็นทั้งคู่จูบกันแล้วถึงกับอ้าปากค้างครางฮือ
จิมให้นิยามสั้นๆ ของการที่สองนักแสดงหนุ่มระดับฮอลลีวู้ดจูบและร่วมเพศแบบเกย์บนจอว่า “วิวัฒนาการ”
เขาพูด “ใครคิดบ้างล่ะว่าเราจะมีประธานาธิบดีเป็นคนแอฟริกัน-อเมริกัน นี่แหละคือวิวัฒนาการ สำหรับหนัง ผมแน่ใจว่าประชากรเกย์ส่วนมากจะต้องคิดว่านี่เป็นวิวัฒนาการที่ล่าช้าไปนิด
แต่มันก็เกิดวิวัฒนาการขึ้นแล้ว ลองย้อนกลับไปดูโทรทัศน์เมื่อหลายๆ ปีก่อนสิ ดิค แวน ไดค์ กับ แมรี เทย์เลอร์ มัวร์ ยังนอนแยกเตียงกันอยู่เลย
หนังเรื่องนี้แหละคือวิวัฒนาการ ถึงแม้เนื้อหาจะว่าด้วยเรื่องสิบปีเบื้องหลังชีวิตจริงก็ตาม
โดยส่วนตัวนั้น ผมมีประชากรเกย์อยู่ในชีวิตมากมาย พวกเขาทุกคนตื่นเต้นมากพอรู้ว่าผมตกลงแสดงเรื่องนี้ แสดงว่านี่ต้องเป็นหนังที่สื่อถึงเสรีภาพของพวกเขาได้เป็นอย่างดีทีเดียว
บางคนทำงานให้ผมและน่าจะรู้สึกว่าต้องวางตัวกับผมให้ดีๆ หรือระมัดระวังท่าทางให้มากหน่อยเวลาอยู่ใกล้ๆ ผม
   แต่พอผมเริ่มคุยถึงหนังเรื่องนี้ และค่อยๆ ยัดข้อมูลใส่หูพวกเขา ประหลาดมั้ยถ้าผมจะบอกว่าพวกเขาตื่นเต้นกันยกใหญ่ นี่ล่ะมั้งคือเสรีภาพ เหมือนใครสักคนปลดปล่อยตัวตนของพวกเขา และหลังจากนั้นความสัมพันธ์ของเราก็ตึงเครียดน้อยลง เรียกว่าเป็นหนังที่สื่อถึงอิสระเสรีของหลายๆ คนที่ทำงานให้ผมจริงๆ”

   เมื่อสร้างจากเรื่องจริง หนังย่อมเกี่ยวพันกับคนที่มีตัวตนจริง และตัวหลักทั้งสองของเรื่อง สตีเวน รัสเซลล์ กับ ฟิลลิป มอริส ตัวจริงก็ยังมีชีวิตอยู่ด้วย
   รัสเซลล์เป็นสิบแปดมงกุฎ ซึ่งเคยวางท่าเป็นหัวหน้าเจ้าหน้าที่การเงิน เป็นมหาเศรษฐีจากเวอร์จิเนีย และเป็นผู้มีอำนาจในธุรกิจอื่นๆ อีกมากมาย เพื่อฉกเงินเป็นแสนๆ ดอลลาร์
   หลังจากถูกจับตัวในคดีช่อโกงบริษัทประกันภัย เขาถูกส่งตัวไปอยู่ในคุกที่เท็กซัส จนได้พบและผูกสัมพันธ์กับ ฟิลลิป มอริส ที่ทุกวันนี้พ้นโทษแล้ว
   ทว่ารัสเซลล์ยังคงอยู่ที่นั่น เพราะถูกตัดสินจำคุก 144 ปี แต่เคยพยายามหนีมาแล้วถึงสี่ครั้ง
   งานนี้จิมกับยวนต้องเข้าไปถ่ายทำในคุกจริงที่นิวออร์ลีนส์ พร้อมด้วยตัวประกอบที่เป็นผู้หมดอิสรภาพตัวจริง
   ยวนยอมรับว่าแรกๆ รู้สึกว่าเป็นประสบการณ์ที่หนักเอาการ เขาพูด “ผมไม่เคยอยู่ในคุกจริงๆ มาก่อน
   ผมได้ไอเดียเกี่ยวกับสภาพคุกมาจากหนังหลายๆ เรื่อง แต่คุกจริง ตั้งแต่นาทีแรกของเช้าที่เราไปถึง ซี่กรงและลวดหนามทำให้ผมเครียดและอึดอัดมาก
   นักโทษส่วนใหญ่จะพักอยู่เงียบๆ ในเรือนนอน ส่วนเราต้องใช้เวลาถึงสองวันกว่าจะรับความจริงได้ว่าตัวประกอบคือนักโทษจริง”
   จิมขอเสริม “คุกนี้มีนักโทษ 100 คน และทุกคนจ้องมาที่เรา
   ผมถามผู้คุมนักโทษว่า ‘พวกเขามาอยู่ที่นี่เพราะอะไร? คดีไหนเหรอ?’ เขาตอบ ‘คดีข่มขืนและฆาตกรรมทั้งนั้น
   ผมเดาว่างานนี้สนุกแน่ เราจะกลายเป็นของเล่นของพวกเขา
   พวกเขาพูดกับผม บอกว่าผมอาจค้นพบตัวเองในเทคที่มีหนุ่มๆ 20 คนล้อมวงพูดคุยและหัวเราะสนุกสนานก็ได้ ผมไม่รู้ว่าทำอะไรลงไป แต่รู้สึกว่าเจอตอเข้าแล้วสิ”
« Last Edit: May 15, 2010, 03:32:48 PM by sianbun »