sianbun on April 30, 2010, 04:05:08 PM
THE GHOST WRITER
เดอะ โกสต์ ไรท์เทอร์  พลิกปริศนา สภาซ่อนเงื่อน
เข้าฉาย 3 มิถุนายนนี้ ในโรงภาพยนตร์




เมื่อนักเขียนเงาชาวอังกฤษที่ประสบความสำเร็จผู้หนึ่ง ตกลงใจที่จะเขียนบันทึกความทรงจำของอดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ อดัม แลง ตัวแทนของเขายืนยันว่ามันคือโอกาสทองในชีวิต แต่ดูเหมือนโครงการนี้จะโชคร้ายมาตั้งแต่เริ่มแรก เพราะผู้รับผิดชอบโครงการนี้ก่อนหน้าเขา ซึ่งเป็นคนสนิทของ แลง มานาน เกิดเสียชีวิตในอุบัติเหตุ

นักเขียนเงาเดินทางไปเพื่อทำงานในโปรเจ็กต์นี้ ท่ามกลางฤดูหนาว ในบ้านริมทะเลบนเกาะแห่งหนึ่งนอกชายฝั่งด้านตะวันออกของสหรัฐอเมริกา แต่หนึ่งวันหลังจากเขามาถึง อดีตรัฐมนตรีอังกฤษรายหนึ่งได้กล่าวหาว่า แลง ใช้อำนาจอย่างผิดกฎหมายในการยึดทรัพย์ผู้ต้องหาว่าเป็นผู้ก่อการร้าย และยังจับพวกเขาส่งไปให้ซีไอเอทรมาน กระแสฮือฮาของข่าวนี้ทำให้พวกนักข่าวและผู้ประท้วงแห่กันมาที่คฤหาสน์บนเกาะ ที่ซึ่งแลงพักอยู่กับ รูธ ภรรยาของเขา และเอมีเลีย ผู้ช่วยส่วนตัว (ซึ่งเป็นชู้รักของเขาด้วย)

    เมื่อนักเขียนเงาเริ่มลงมือทำงาน เขาเริ่มค้นพบเงื่อนงำต่างๆ ที่บ่งชี้ว่าคนที่รับหน้าที่เขียนบันทึกความทรงจำเรื่องนี้ก่อนเขา อาจไปสะดุดเจอความลับบางอย่างที่เชื่อมโยง แลง กับซีไอเอ และข้อมูลนี้ถูกซ่อนเอาไว้ในต้นฉบับที่เขาได้เขียนทิ้งเอาไว้ ว่าแต่ แลง มีคำสั่งถึงหน่วยข่าวกรองของอเมริกันขณะที่เขายังเป็นนายกรัฐมนตรีจริงหรือไม่ และนักเขียนคนก่อนโดนฆ่าตายเพราะความจริงที่เขาไปค้นพบเจอหรือเปล่า
ภาพยนตร์ทริลเลอร์แนวการเมืองที่สุดตื่นเต้นเรื่องนี้คือเรื่องราวที่ว่าด้วยเรื่องของการหลอกลวงและการทรยศในทุกแง่มุม ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องเซ็กซ์ การเมือง และวรรณกรรม ในโลกที่ไม่มีสิ่งใดหรือใครเป็นเหมือนอย่างที่เห็นภายนอก นักเขียนเงาค้นพบในแทบจะทันทีว่าอดีตอาจเป็นภัยร้าย และประวัติศาสตร์ถูกตัดสินโดยใครก็ได้ที่มีชีวิตอยู่รอดมาเพื่อเขียนมัน
« Last Edit: May 11, 2010, 01:18:48 PM by happy »

sianbun on April 30, 2010, 04:09:30 PM






เมื่อนักเขียนเงาชาวอังกฤษที่ประสบความสำเร็จผู้หนึ่งได้รับข้อเสนอให้ทำหน้าที่เป็นคนเขียนบันทึกความทรงจำของอดีตนายกรัฐมนตรีของอังกฤษผู้อื้อฉาว เขาไม่อยากรับงานนี้มาตั้งแต่เริ่มแรก ซึ่งส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะว่าผู้รับผิดชอบงานนี้คนก่อน ลงเอยด้วยการจบชีวิตหลังจากพลัดตกจากเรือเฟอร์รี่ แต่นักเขียนเงาตัดสินใจรับงานนี้จนได้เมื่อทางตัวแทนของเขาบอกว่า มันคือโอกาสอันดี และได้ค่าจ้างงาม แต่มันเป็นงานยากอยู่ไม่น้อย ทางสำนักพิมพ์ในลอนดอนบอกเขาว่าหนังสือบันทึกความทรงจำนี้ต้องเขียนให้เสร็จภายในเวลาหนึ่งเดือน และนักเขียนเงาผู้นี้จะต้องเดินทางไปอเมริกาเพื่อเขียนหนังสือเล่มนี้ โดยเฉพาะจะต้องไปอยู่ที่บ้านของเจ้าของสำนักพิมพ์ที่ตั้งอยู่บนเกาะแห่งหนึ่งนอกชายฝั่งด้านตะวันออก ที่ซึ่งอดีตนายกรัฐมนตรี อดัม แลง กำลังพักผ่อนอยู่ระหว่างการตระเวนบรรยายในอเมริกา
ทุกอย่างเริ่มต้นผิดพลาดไปหมด เริ่มแรก นักเขียนเงาโดนทำร้ายระหว่างทางกลับบ้าน จากนั้น ขณะนั่งรอเวลาขึ้นเครื่องบินอยู่ในสนามบินฮีธโรว์ เขาได้เห็นข่าวด่วนเกี่ยวกับ แลง จากทีวีที่สนามบิน แลง อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษถูกกล่าวหาว่าทำการจับกุมผู้ต้องสงสัยว่าเป็นผู้ก่อการร้ายในปากีสถานอย่างไม่ถูกกฎหมาย และยังส่งตัวพวกเขาให้ซีไอเอทรมาน ซึ่งถ้าคำกล่าวอ้างเหล่านั้นเป็นจริง มันจะทำให้เขากลายเป็นอาชญากรสงครามภายใต้กฎหมายของสหราชอาณาจักรและกฎหมายระหว่างประเทศ
และระหว่างที่เดินทางมุ่งหน้าไปยังเกาะ นักเขียนเงาพบว่าเขาได้ขึ้นเรือเฟอร์รี่ลำเดียวกับที่นักเขียนเงาคนก่อนที่ชื่อ ไมก์ แม็คเอร่า พลัดตกลงไปจนเสียชีวิตเมื่อสองอาทิตย์ก่อน
เมื่อเดินทางมาถึงบ้านพักสุดหรูของเจ้าของสำนักพิมพ์ นักเขียนเงาพบว่าทุกอย่างอยู่ภายใต้การรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด โดยมีทีมเจ้าหน้าที่อังกฤษคอยเฝ้าระวังภัยอยู่ เขายังพบบรรยากาศแปลกๆ แลงกับรูธ ภรรยาของเขากำลังมีปัญหาในชีวิตคู่ และแลงแอบมีสัมพันธ์กับผู้ช่วยส่วนตัวของเขาที่ชื่อ เอมีเลีย
เอมีเลียจัดการให้นักเขียนเงาเซ็นสัญญาข้อตกลงลับก่อนที่จะเอาต้นฉบับของนักเขียนเงาคนก่อนให้เขาดู และเขาต้องสัญญาว่าจะไม่นำต้นฉบับชุดนี้ออกนอกตัวบ้าน
นักเขียนเงาเริ่มลงมือทำงาน เขารู้สึกประหลาดใจและตกใจที่หนังสือเล่มนี้ถูกเขียนออกมาอย่างจืดชืดและแย่มาก รูธมาถึงและถามเขาว่ามันเลวร้ายแค่ไหน เขาให้คำตอบไปอย่างมีชั้นเชิง ต่อมา นักเขียนเงาผู้นี้ได้เดินทางไปสนามบินท้องถิ่นพร้อมกับเอมีเลียเพื่อพบกับแลง ผู้เดินทางมาถึงด้วยเครื่องบินส่วนตัวที่มีโลโก้บริษัท ฮาเธอร์ตัน หลังจากแนะนำตัวกันเรียบร้อย นักเขียนเงาได้เข้าพักที่โรงแรมเล็กๆ แห่งหนึ่ง
   วันรุ่งขึ้น นักเขียนเงาได้เริ่มต้นสัมภาษณ์แลงเป็นครั้งแรก เขาได้ทำการบันทึกบทสนทนาและจดโน้ตส์ ซึ่งเขาจะนำมาใช้เขียนบันทึกความทรงจำ แลงบอกเขาว่าเขาไม่เคยสนใจการเมืองเลยจนกระทั่งเขาหลงรักหญิงสาวคนหนึ่งที่กำลังวาดภาพให้กับการเลือกตั้งท้องถิ่น แลงบอกว่าหญิงสาวคนนั้นก็คือรูธ ซึ่งตอนนี้คือภรรยาของเขา ต่อมา กระแสอื้อฉาวทางการเมืองที่เกี่ยวข้องกับแลงเริ่มรุนแรงขึ้นเมื่ออดีตรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศของอังกฤษ ริชาร์ด ไรคาร์ท ได้ขอให้ศาลอาชญากรรมข้ามชาติ (ไอซีซี) เข้ามาทำการสืบสวนเรื่องที่แลงถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับ “เที่ยวบินทรมานนักโทษ” ของซีไอเอ สื่อมวลชนพากันแห่มา และนักเขียนเงาตกลงใจที่จะเขียนถ้อยคำแถลงต่อสื่อมวลชนให้กับแลง เพื่อโต้แย้งข้อกล่าวหาของไรคาร์ท โดยถ้อยแถลงดังกล่าวจะบ่งชี้ว่านี่คือความแค้นส่วนตัว เพราะแลงเคยไล่ไรคาร์ทออกเมื่อครั้งที่เขายังมีอำนาจ ทางสำนักพิมพ์ขอให้นักเขียนเงารีบเขียนหนังสือให้เร็วขึ้น (ในเวลาสองอาทิตย์) เพื่อฉวยโอกาสจากกระแสข่าวฉาวของแลงที่กำลังโหมแรง
เมื่อกลับไปโรงแรม นักเขียนเงาต้องเผชิญหน้ากับคนแปลกหน้าที่ตามหาแลง ในเวลาต่อมา เมื่อเขากลับไปถึงห้องพัก เขาพบว่ามีคนบุกเข้ามาในห้อง และค้นข้าวของๆ เขา วันรุ่งขึ้น นักข่าวพากันแห่มาที่โรงแรมที่นักเขียนเงาพักอยู่ เพื่อเตรียมเข้าร่วมงานแถลงข่าวของไอซีซีในกรุงเฮก เอมีเลียบอกนักเขียนเงาให้รีบออกจากโรงแรม และไปพักอยู่ที่บ้านบนเกาะแทน นักเขียนเงาทำตามคำแนะนำนั้น เมื่อเขาขับรถมาถึงตัวบ้าน เขาต้องผ่านกลุ่มผู้ประท้วง และในกลุ่มผู้ประท้วง นักเขียนเงาเห็นชายแปลกหน้าคนเดิมที่ตะโกนผ่านหน้าต่างรถบอกว่า นักเขียนเงากำลังทำงานให้กับฆาตกร (ชายผู้นี้ต้องสูญเสียลูกชายที่เคยเป็นทหารในเหตุการณ์ที่เขาเรียกว่าเป็นหนึ่งใน “สงครามผิดกฎหมาย” ของแลง)
เมื่อมาถึงบ้าน นักเขียนเงาได้พักห้องเดียวกับที่แม็คเอร่าเคยพักก่อนที่เขาจะเสียชีวิต หลังจากแลงและคณะเดินทางกลับไปวอชิงตันเพื่อหาผู้สนับสนุนทางการเมือง นักเขียนเงาค้นพบซองจดหมายในห้องพักที่อัดแน่นไปด้วยข้อมูลที่แม็คเอร่าค้นคว้าเอาไว้ รวมถึงรูปถ่ายเก่าๆ สมัยที่แลงเรียนอยู่ที่เคมบริดจ์ และสำเนาบัตรสมาชิกพรรคของเขา วันที่บนบัตรนั้นบ่งชี้ว่าแลงเริ่มเล่นการเมืองมานานก่อนที่เขาจะพบรักกับรูธ ซึ่งขัดแย้งกับเรื่องที่เขาเล่าให้นักเขียนเงาฟัง
นักเขียนเงายังพบเบอร์โทรศัพท์ ซึ่งเขาได้ทดลองโทรไป แล้วเขาก็ต้องอึ้งเมื่อได้ยินเสียง ริชาร์ด ไรคาร์ท รับโทรศัพท์ นักเขียนเงาจึงรีบวางสายทันที เขาเริ่มสงสัยในการตายของแม็คเอร่าว่าอาจจะไม่ใช่อุบัติเหตุหรือการฆ่าตัวตายอย่างที่ทุกคนคิดกัน
นักเขียนเงาจึงเริ่มลงมือสืบหาความจริง เขาถีบจักรยานไปยังอ่าวใกล้ๆ ที่มีคนพบศพของแม็คเอร่ามาเกยตื้นอยู่ ที่นั่น เขาได้พบชายชราที่รู้เรื่องของกระแสน้ำเป็นอย่างดี ชายชราบอกเขาว่าไม่มีทางที่ศพของคนที่ตกจากเรือเฟอร์รี่จะมาเกยตื้นที่อ่าวแห่งนี้ได้ นักเขียนเงารู้ว่ามีหญิงชราคนหนึ่งบอกกับตำรวจว่าเธอเห็นแสงไฟบนชายหาดในคืนที่แม็คเอร่าเสียชีวิต แต่ตอนนี้ หญิงคนนั้นอยู่ในอาการโคม่าหลังพลัดตกบันไดเมื่ออาทิตย์ก่อน นักเขียนเงาที่เริ่มเกิดความสงสัยว่าจะมีอะไรไม่ชอบมาพากล จึงเล่าเรื่องนี้ให้รูธฟัง ในขณะที่แลงยังคงอยู่ในวอชิงตัน  และหลังจากที่เคร่งเครียดมาด้วยกัน ทั้งคู่ลงเอยด้วยการขึ้นเตียงนอนด้วยกัน
วันรุ่งขึ้น นักเขียนเงาประกาศว่าเขาจะกลับไปพักที่โรงแรม เพราะไม่อยากผิดจรรยาบรรณนักเขียน เขาบอกรูธว่าเขาไม่คิดจะทำอะไรกับข้อมูลที่ล่วงรู้มาทั้งนั้น เพราะว่าเขาเป็นเพียงนักเขียนเงา ไม่ใช่นักข่าวคดีอาชญากรรม ระหว่างขับรถที่มีไว้สำหรับแขก เพื่อมุ่งหน้ากลับไปยังโรงแรม ระบบนำทางที่เชื่อมต่อกับดาวเทียมของรถเริ่มส่งเสียงชี้เส้นทางไปยังจุดหมายปลายทางสุดท้ายของรถ ตอนแรก นักเขียนเงาพยายามจะตัดการทำงานของระบบนำทาง แต่แล้ว เขาตัดสินใจรอดูว่ารถจะนำเขาไปยังที่ใด แทนที่มันจะพาเขากลับไปยังโรงแรม มันกลับพาเขาไปยังท่าเรือข้ามฟาก ถึงตอนนี้ นักเขียนเงาสงสัยว่าเขากำลังตามรอยเส้นทางของแม็คเอร่าในคืนที่เขาตาย เขาขึ้นเรือเฟอร์รี่และขับรถตามระบบนำทางจนไปถึงจุดหมาย ซึ่งก็คือบ้านหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่บนถนนในชนบทใกล้ๆ กับบอสตัน
ชื่อบนตู้ไปรษณีย์เขียนบอกไว้ว่า ศาสตราจารย์พอล เอ็มเม็ตต์ เมื่อตรวจดูเอกสารแล้ว นักเขียนเงาจำได้ว่าเคยเห็นเอ็มเม็ตต์ในรูปที่เขาถ่ายกับแลงที่เคมบริดจ์ ยิ่งไปกว่านั้น เขายังเห็นบทสุดท้ายในต้นฉบับของแม็คเอร่า ซึ่งเริ่มต้นด้วยการกล่าวอ้างถึงเอ็มเม็ตต์ ไม่กี่นาทีต่อมา รถยนต์คันหนึ่งได้พาเอ็มเม็ตต์และภรรยาของเขากลับมา นักเขียนเงาจึงเข้าไปคุยกับเอ็มเม็ตต์ พร้อมกับตั้งคำถามถึงความสัมพันธ์ของเขากับแลง แต่เอ็มเม็ตต์ยืนยันว่าพวกเขาแทบไม่รู้จักกันเลย พวกเขาเคยแสดงละครด้วยกันที่เคมบริดจ์ จากนั้น หลายปีต่อมา แลงได้มาปรากฏตัวที่งานเลี้ยงรับรองที่มูลนิธิที่เอ็มเม็ตต์ดูแลอยู่ที่ชื่อ สถาบันอาร์คาเดีย
เมื่อนักเขียนเงาตั้งคำถามต่อไปว่าทำไมแม็คเอร่าถึงได้ขับรถมาพบเอ็มเม็ตต์ในคืนที่เขาเสียชีวิต เอ็มเม็ตต์อ้างว่าเขาไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้เลย และขอให้นักเขียนเงากลับไปซะ เมื่อนักเขียนเงาขับรถห่างออกไป เขาสังเกตเห็นรถเก๋งคันโตจอดอยู่หลังเขาห่างๆ เขาคิดว่าเขาสามารถขับรถหลบหนีผู้ตามล่าได้ แต่เมื่อเขาพยายามจะขึ้นเรือเฟอร์รี่เพื่อกลับไปยังเกาะ เขาพบว่าเขายังคงถูกตามอยู่ เขาจึงโดดลงจากเรือเฟอร์รี่เมื่อมันออกจากฝั่ง และเช็คอินเข้าพักที่โรงแรมเล็กๆ แถวนั้น
นักเขียนเงาที่ตกอยู่ในสภาพหวาดกลัว และไม่มีทางออก จึงโทรศัพท์ไปที่เบอร์ของไรคาร์ทอีกครั้ง และครั้งนี้เขาพูดคุยกับไรคาร์ท ไรคาร์ทถามว่าเขามีต้นฉบับบันทึกความทรงจำของแลงหรือไม่ นักเขียนเงาตอบว่ามี ไรคาร์ทบอกเขาให้รออยู่ที่โรงแรม และขณะนั่งรอไรคาร์ทอยู่นั้น นักเขียนเงาจึงใช้คอมพิวเตอร์ค้นข้อมูลเกี่ยวกับสถาบันอาร์คาเดีย และพบเว็บไซต์ที่เกี่ยวเนื่องกันระหว่างเอ็มเม็ตต์, แลง และกลุ่มบริษัทฮาเธอร์ตัน ซึ่งเป็นชื่อที่ติดอยู่บนเครื่องบินส่วนตัวที่แลงโดยสารมา และมันเชื่อมโยงกับ “เที่ยวบินทรมานนักโทษ” ของซีไอเอ และตัวซีไอเอด้วย ยิ่งไปกว่านั้น นักเขียนยังพบว่าเอ็มเม็ตต์เคยเป็นเจ้าหน้าที่ซีไอเอตอนที่เขารู้จักกับแลงที่เคมบริดจ์ นักเขียนเงาถึงกับตื่นตะลึง รูธโทรศัพท์มาและถามว่าเขาอยู่ที่ไหน เพราะตำรวจพบรถของเขาถูกทิ้งเอาไว้ นักเขียนเงาบอกเธอว่าเขาอยู่ที่ท่าเรือเฟอร์รี่ แต่เมื่อเธอถามว่าเขาจะไปแผ่นดินใหญ่ทำไม นักเขียนเงาโกหกด้วยการบอกว่าเขาต้องเดินทางไปนิวยอร์ก และพบกับบก.หนังสือ
   เสียงเคาะประตูดังขึ้น เขาวางสาย ผู้มาเยือนคือบอดี้การ์ดของไรคาร์ท เขาบอกนักเขียนเงาให้เก็บของแล้วไปด้วยกัน เขาเดินนำนักเขียนเงาไปยังลานจอดรดที่ซึ่งไรคาร์ทรออยู่ พวกเขาขับรถไปยังร้านอาหารท้องถิ่น
   ไรคาร์ทอยากเห็นตัวต้นฉบับ เขาบอกนักเขียนเงาว่าแม็คเอร่ากำลังช่วยเขารวบรวมข้อมูลในคดีฟ้องร้องแลง ในเรื่องเที่ยวบินทรมานนักโทษของซีไอเอ แต่แม็คเอร่าบอกไรคาร์ทว่าเขาค้นพบข้อมูลที่สำคัญกว่านั้น เป็นเรื่องที่ทำให้เหตุการณ์เลวร้ายทุกอย่างที่เคยเกิดขึ้นสมัยแลงยังมีอำนาจ ชัดเจนขึ้น แม็คเอร่าไม่ได้บอกไรคาร์ทว่ามันคือเรื่องอะไร เขาพูดเพียงแค่ว่าข้อเท็จจริงทุกอย่างอยู่ใน “จุดเริ่มต้น” ของต้นฉบับ
   นักเขียนเงามอบต้นฉบับให้ไรคาร์ท แต่เตือนเขาว่ามันไม่มีข้อมูลอะไรสำคัญเลย “จุดเริ่มต้น” ที่แม็คเอร่าหมายถึงคือตอนที่แลงยังอยู่ที่เคมบริดจ์ ตอนที่เขาได้รู้จักกับเจ้าหน้าที่ซีไอเอที่ชื่อเอ็มเม็ตต์ ไรคาร์ทตื่นเต้นมาก และตั้งสมมติฐานว่าแลงรวมหัวกับซีไอเอตลอดระยะเวลาที่เขาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นทฤษฎีที่ช่วยอธิบายว่าทำไมการตัดสินใจทุกอย่างของเขาถึงอยู่ในความสนใจของอเมริกานัก และแม็คเอร่าก็ถูกฆาตกรรมเพราะเขาไปล่วงรู้ความลับนี้
   คุยกันมาถึงตรงนี้ แลงโทรศัพท์มาจากเครื่องบินส่วนตัวของเขา และยื่นข้อเสนอว่าจะรับตัวนักเขียนเงาจากท่าเรือเฟอร์รี่ เพื่อพาเขากลับไปยังเกาะ เพื่อพวกเขาจะได้เขียนหนังสือกันต่อ นักเขียนเงาตกลง ตามคำแนะนำของไรคาร์ท แต่เขาเริ่มลังเลมากขึ้น ดังนั้นเมื่อไรคาร์ทเปิดเผยว่าเขาถูกดักฟังการสนทนา และจะจัดการให้เขาโดนไอซีซีเรียกตัวถ้าเขาไม่ตกลงใจที่จะช่วยจับตัวแลง
   นักเขียนเงาขึ้นเครื่องบินไปกับแลง และพูดคุยกับเขาตรงๆ ถึงทฤษฏีของไรคาร์ท แต่แลงหัวเราะ และไม่เชื่อในคำกล่าวอ้างนั้น เขาบอกว่าเขาไม่เคยรับคำสั่งจากใคร และเขาตัดสินใจกระทำสิ่งที่เขาทำไปสมัยเป็นนายกรัฐมนตรีก็เพราะเขาเชื่อว่ามันคือสิ่งที่ถูกต้อง จากนั้น เมื่อเครื่องบินลงจอดที่สนามบินบนเกาะ และผู้โดยสารเดินลงจากเครื่อง มีเสียงปืนดังขึ้น แลงล้มลงและเสียชีวิต ชายแปลกหน้ายิงเขา ก่อนจะถูกเจ้าหน้าที่คุ้มครองแลงยิงตาย นักเขียนเงาถูกเอฟบีไอสอบปากคำ ก่อนจะปล่อยตัวเขาไป
   แม้จะเป็นกังวล แต่ทางตัวแทนก็สนับสนุนให้นักเขียนเงาเขียนหนังสือเล่มนี้ให้จบ สี่เดือนต่อมา มีการจัดงานเปิดตัวหนังสือในลอนดอน เอมีเลียได้เชิญนักเขียนเงามาร่วมงาน รูธอยู่ที่นั่นด้วย เธอกำลังเซ็นชื่อลงบนหนังสือ นักเขียนเงาได้มอบต้นฉบับของแม็คเอร่าให้เอมีเลียเก็บไว้ เธอบอกเขาว่าต้นฉบับนี้ต้องถูกเก็บรักษาเอาไว้เป็นอย่างดี เพราะทางอเมริกาเชื่อว่ามันคือภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ เพราะมีบางอย่างเกี่ยวกับ “จุดเริ่มต้น”
   “จุดเริ่มต้นเหรอ?” นักเขียนเงาถาม เสียงของไรคาร์ทดังก้องสะท้อนขึ้น เอมิเลียแก้ให้ถูกต้องว่าเป็น “จุดเริ่มต้นหลายจุด” หลังจากนั้น นักเขียนเงาเห็นเอ็มเม็ตต์ในงาน เขากำลังคุยอยู่กับรูธ เอมิเลียบอกเขาว่าเอ็มเม็ตต์คืออาจารย์ของรูธที่ฮาร์วาร์ด นักเขียนเงาจึงนำต้นฉบับของแม็คเอร่าไปที่ห้องด้านหลัง และเริ่มพลิกเปิดดู เขาสงสัยว่าแม็คเอร่าหมายถึงอะไรเมื่อเขาพูดถึงข้อเท็จจริงที่อยู่ใน “จุดเริ่มต้นหลายจุด” เขาไขปริศนาด้วยการเขียนคำแรกของแต่ละบท “เมีย...ของแลง..รูธ...คือ...เจ้าหน้าที่...ซีไอเอ...โดย...การแต่งตั้ง...โดย...ศาสตราจารย์พอล เอ็มเม็ตต์แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด”
   นักเขียนเงาเขียนประโยคนั้นลงบนกระดาษ พับมัน และส่งผ่านคนอื่นๆ ไปให้รูธ ซึ่งกำลังขึ้นกล่าวคำรำลึกถึงแลงและแม็คเอร่า เมื่อรูธอ่านข้อความดังกล่าว เธอถึงกับตัวแข็งและเห็นนักเขียนเงากำลังยกแก้วแชมเปญให้กับเธอ เธอตกใจและกระโดดลงจากเวที แต่เอ็มเม็ตต์กระซิบบางอย่างกับเธอ
   ด้านนอก นักเขียนเงาพยายามเรียกแท็กซี่ เขาเดินไปตามถนน และจู่ๆ ก็มีรถคันหนึ่งพุ่งเข้าหาเขา มีเสียงรถชนคนอย่างแรง เมื่อผู้คนวิ่งออกไปยังที่เกิดเหตุ แผ่นกระดาษต้นฉบับเริ่มโปรยปลิวผ่านภาพโปสเตอร์ที่เป็นรูปใบหน้าของ อดัม แลง
« Last Edit: May 04, 2010, 02:22:50 PM by happy »

sianbun on April 30, 2010, 04:46:31 PM
รายละเอียดนักแสดง

ยวน แม็คเกรเกอร์ (EWAN McGREGOR) รับบทนักเขียนเงา
ยวน แม็คเกรเกอร์ เกิดในปี 1971 ในสก็อตแลนด์ เขาเข้าสู่วงการแสดงตั้งแต่อายุยังน้อย โดยได้แรงบันดาลใจจาก เดนิส ลอว์สัน ลุงของเขาที่เป็นนักแสดง แรงบันดาลใจที่จะเข้าวงการภาพยนตร์ของเขาเกิดขึ้นในปี 1977 ซึ่งตอนนั้น ยวนยังอายุเพียงแค่ 6 ขวบเท่านั้น เขาถูกพาตัวไปดูการแสดงของลุงของเขาในภาพยนตร์เรื่อง Star Wars
บทบาทการแสดงในภาพยนตร์เรื่องแรกของยวน คือภาพยนตร์ของ บิลล์ ฟอร์ซิธ เรื่อง Being Human โดยผู้อำนวยการสร้าง ลอร์ด เดวิด พัตต์นั่ม รู้สึกประทับใจในความสามารถของยวน จนได้เพิ่มฉากพิเศษให้เขาแสดง
ยวนยังรับบทนำในภาพยนตร์รางวัลบัฟต้า เรื่อง Shallow Grave ภาพยนตร์ที่คว้ารางวัลต่างๆ มาครองได้มากมาย บทบาทการแสดงของยวนเองยังทำให้เขาได้รับรางวัล Hitchcock D’Argent สาขาดารานำชายยอดเยี่ยม และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลบัฟต้า ในสาขาดารานำชายยอดเยี่ยมอีกด้วย
ถึงแม้ Shallow Grave จะเป็นผลงานแจ้งเกิดให้กับยวน แต่บท มาร์ก เรนตัน ชายที่ติดเฮโรอีนในภาพยนตร์ของ เออร์วิน เวลช์ เรื่อง Trainspotting ต่างหากที่ทำให้ชื่อ ยวน แม็คเกรเกอร์ เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก และยังทำให้ยวนได้รับรางวัลบัฟต้าอีกต่างหาก
หลังความสำเร็จของ Trainspotting ยวนรับบท แฟรงก์ เชอร์ชิลล์ ในภาพยนตร์ที่ดัดแปลงมาจากนิยายคลาสสิกของ เจน ออสติน เรื่อง Emma โดยเขาได้ประกบบทกับกวินเน็ธ พัลโทรว์ ภายใต้การกำกับของ ดั๊ก แม็คแกรธ ยวนยังแสดงนำร่วมกับทาร่า ฟิตซ์เจอรัลด์ ในภาพยนตร์ของ มาร์ก เฮอร์แมน เรื่อง Brassed Off
ผลงานภาพยนตร์อเมริกันเรื่องแรกของยวนคือภาพยนตร์เรื่อง Nightwatch ต่อมา เขาเดินทางกลับไปยังสหราชอาณาจักร และแสดงนำในภาพยนตร์ของ ฟิลิปปี้ รูสเซล็อต เรื่อง The Serpent’s
Kiss ซึ่งเขาร่วมแสดงกับพีท พอสเทิลธเวต และริชาร์ด อี แกรนต์
ยวนได้ร่วมงานกับผู้กำกับ แดนนี่ บอยล์ ในภาพยนตร์เรื่อง A Life Less Ordinary ซึ่งเขาแสดงนำร่วมกับคาเมรอน ดิแอซ จากนั้น ยวนประกบบทกับ ไมเคิล สไตป์ในภาพยนตร์เรื่อง Velvet Goldmine ติดตามมาด้วยภาพยนตร์เรื่อง Rogue Trader เขากลับมาร่วมงานกับผู้กำกับ มาร์ก เฮอร์แมน อีกครั้งในภาพยนตร์รางวัลลูกโลกทองคำ เรื่อง Little Voice โดยยวนร่วมแสดงกับ เจน เฮอร์ร็อคส์ และไมเคิล เคน
ชีวิตของยวนเหมือนเดินมาครบหนึ่งวงโคจร เมื่อเขาได้รับเลือกให้รับบทเป็น โอบีวัน เคโนบี ในภาพยนตร์ Star Wars Episode 1: The Phantom Menace บทที่ในอดีต เซอร์อเล็ค กวินเนส เคยแสดงเอาไว้ ผู้กำกับจอร์จ ลูคัสยังให้ยวนกลับมารับบทนี้อีกครั้งในภาคต่อ Star Wars Episode II – Attack of the Clones (2002) และ Star Wars: Episode III (2005)
ในภาพยนตร์เพลงรางวัลออสการ์ของบาซ เลอห์รแมน เรื่อง Moulin Rouge ยวนรับบท คริสเตียน ประกบบทกับ นิโคล คิดแมน ในบทซาติน ยวนยังแสดงนำในภาพยนตร์ของ ริดลี่ย์ สก็อตต์ เรื่อง Black Hawk Down และยังร่วมแสดงกับปีเตอร์ มัลเลน และทิลด้า สวินตัน ในภาพยนตร์เรื่อง Young Adam ซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลจากสมาคมนักวิจารณ์ภาพยนตร์ลอนดอน
ในปี 2002 ยวนแสดงนำในภาพยนตร์เรื่อง Down With Love กับนางเอกจ้ำม่ำ เรอเน่ เซลล์เวเกอร์ ตามมาด้วยภาพยนตร์ของทิม เบอร์ตัน เรื่อง Big Fish (2003) ซึ่งเขาร่วมแสดงกับ อัลเบิร์ต ฟินนี่ย์, บิลลี่ ครูดัพ, อลิสัน โลห์แมน, เจสซิก้า แลงจ์ และแดนนี่ เดอวีโต้.
ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของยวน ได้แก่ ภาพยนตร์ทริลเลอร์เหนือธรรมชาติของ มาร์ค ฟอร์สเตอร์ เรื่อง Stay ซึ่งเขาร่วมแสดงกับ นาโอมี่ วัตต์ส และไรอัน กอสลิ่ง, ภาพยนตร์ของไมเคิล เบย์ เรื่อง The Island (2005) ซึ่งเขาร่วมแสดงกับ สการ์เล็ตต์ โจแฮนส์สัน, ภาพยนตร์การ์ตูนเรื่อง Robots และValiant, Scenes of a Sexual Nature, Miss Potter, ภาพยนตร์ของวูดี้ อัลเลน เรื่อง Cassandra’s Dream (2008), Incendiary, The Tourist, I Love You Phillip Morris ซึ่งเขาร่วมแสดงกับ จิม แคร์รี่ย์, Angels and Demons และ Amelia

คิม แค็ททรัลล์ (KIM CATTRALL) รับบทเอมีเลีย บลี
คิม แค็ททรัลล์มีผลงานทั้งในแวดวงภาพยนตร์จอเงิน จอแก้ว และละครเวที เธอคือหนึ่งในนักแสดงหญิงที่มีงานชุกมากที่สุดของวงการ ปัจจุบัน คิมอยู่ระหว่างถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง Sex and the City 2 ซึ่งเธอกลับมารับบท ซาแมนธา โจนส์ บทที่เธอแสดงเอาไว้ทั้งในภาพยนตร์เรื่อง Sex and the City: The Movie และในซีรีส์ยอดนิยมชื่อเรื่องเดียวกันของเอชบีโอ
คิมยังเคยแสดงนำในภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์ของฮอลลีวู้ดหลายเรื่อง อาทิเช่น Police Academy, Porky's, Mannequin, Masquerade, Star Trek 6: The Undiscovered Country, ภาพยนตร์คลาสสิกของ จอห์น คาร์เพนเตอร์ เรื่อง Big Trouble in Little China (ซึ่งเธอประกบบทกับ เคิร์ต รัสเซลล์), ภาพยนตร์ของดิสนีย์ เรื่อง The Ice Princess และภาพยนตร์ของ ไบรอัน เดอ พัลม่า เรื่อง Bonfire of the Vanities ซึ่งเธอร่วมแสดงกับ ทอม แฮงค์ส
ในปี 2008 คิมแสดงนำในภาพยนตร์ของ จอห์น บัวร์แมน เรื่อง The Tiger's Tail โดยร่วมแสดงกับ เบรนแดน กลีสัน และเรื่อง My Boy Jack ซึ่งเธอร่วมแสดงกับ แดเนียล แร็ดคลิฟฟ์ และเดวิด ไฮก์

โอลิเวีย วิลเลี่ยมส์ (OLIVIA WILLIAMS) รับบท รูธ แลง
โอลิเวีย วิลเลี่ยมส์ได้รับปริญญาด้านภาษาอังกฤษจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ก่อนที่เธอจะมาเรียนต่อทางด้านการละครที่โรงเรียนการละคร บริสโทล โอลด์ วิค จากนั้นเธอได้ร่วมเดินทางออกแสดงกับคณะละครโรยัล เช็คสเปียร์ และไปสะดุดสายตาของ เควิน คอสต์เนอร์ ซึ่งเลือกเธอให้มาร่วมแสดงในภาพยนตร์ของเขาเรื่อง The Postman ซึ่งถือเป็นผลงานการแสดงภาพยนตร์เรื่องแรกของวิลเลี่ยมส์
นับแต่นั้นเป็นต้นมา วิลเลี่ยมส์ร่วมแสดงในภาพยนตร์ของ พอล แรชแมน เรื่อง Four Dogs Playing Poker, ภาพยนตร์ของปีเตอร์ แค็ตตานีโอ เรื่อง Lucky Break, Born Romantic, The Body ประกบบทกับ แอนโตนิโอ แบนเดอรัส, The Man From Elysian Fields และ The Heart of Me ซึ่งเธอร่วมแสดงกับ เฮเลน่า บอนแฮม คาร์เตอร์ และพอล เบ็ตตานี่ย์
วิลเลี่ยมส์มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของคนดูทั่วโลกเมื่อเธอรับบทนำในภาพยนตร์ของ เอ็ม ไนต์ ชยามาลาน เรื่อง The Sixth Sense และภาพยนตร์ของ เวส แอนเดอร์สัน เรื่อง Rushmore ในปี 2008 วิลเลี่ยมส์ประกบบทกับ แดเนียล เคร็ก ในภาพยนตร์ของเบลลี่ วอลช์ เรื่อง Flashbacks of a Fool

เพียร์ซ บรอสแนน (PIERCE BROSNAN) รับบทอดัม แลง
เพียร์ซ บรอสแนนเป็นที่รู้จักดีในหมู้คนดูทั่วโลกในฐานะนักแสดงที่เป็นสุดยอดฝีมือคนหนึ่งของฮอลลีวู้ดในปัจจุบัน เมื่อไม่นานมานี้ เขาร่วมแสดงในภาพยนตร์เพลงเรื่องฮิตอย่าง Mamma Mia! ซึ่งเขาร่วมแสดงกับ เมอริล สตรีพ และโคลิน เฟิร์ธ เขายังมีผลงานใหม่อีกหลายเรื่อง อาทิเช่น The Greatest ซึ่งเขาร่วมแสดงกับซูซานซาแรนดอน, ภาพยนตร์ของคริส โคลัมบัส เรื่อง Perry Jackson & The Olympians: The Lightening Thief และ Remember Me ซึ่งเขาร่วมแสดงกับพระเอกวัยรุ่นสุดฮอต โรเบิร์ต แพ็ตตินสัน
ในปี 2007 บรอสแนนแสดงนำในภาพยนตร์ของอิร่า แซ็คส์ เรื่อง Married Life ซึ่งเขาร่วมแสดงกับแพทริเซีย คล๊าร์กสัน และคริส คูเปอร์ รวมไปถึงยังร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่อง Butterfly on a Wheel ซึ่งกำกับโดย ไมก์ บาร์เกอร์
ในปี 2005 บรอสแนนได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำ สาขาดารานำชายยอดเยี่ยม จากภาพยนตร์ที่ได้รับคำชมเรื่อง The Matador นอกจากจะทำงานหน้ากล้องแล้ว บรอสแนนยังมีความสนใจงานสร้างภาพยนตร์ หลังจากโด่งดังในฐานะนักแสดง บรอสแนนตัดสินใจเปิดบริษัทผลิตภาพยนตร์ที่ชื่อ ไอริช ดรีมไทม์ ในปี 1996 นอกเหนือจาก The Matador แล้ว ไอริช ดรีมไทม์ยังสร้างภาพยนตร์ออกมาแล้วอีก 4 เรื่อง ได้แก่ The Nephew, The Thomas Crown Affair, Evelyn และ Laws of Attraction
ภาพยนตร์เรื่องที่ 6 ของไอริช ดรีมไทม์ ก็คือ Butterfly on a Wheel ซึ่งบรอสแนนนำแสดงร่วมกับ มาเรีย เบลโล่ และเจอราร์ด บัตเลอร์ โดยภาพยนตร์ทริลเลอร์จิตวิทยาเรื่องนี้อยู่ระหว่างการถ่ายทำในแวนคูเวอร์
บรอสแนนมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกจากการเคยรับบทเป็น เจมส์ บอนด์ ในภาพยนตร์เรื่อง Goldeneye, Tomorrow Never Dies, The World Is Not Enough และ Die Another Day ภาพยนตร์ Bond สามเรื่องแรกที่บรอสแนนแสดง ทำรายได้จากทั่วโลกมากถึงหนึ่งพันล้านเหรียญ ขณะที่ Die Another Day ถือเป็นภาพยนตร์ Bond ที่ประสบความสำเร็จที่สุดที่เคยมีมา โดยทำรายได้จากทั่วโลกไปกว่า $500 ล้านเหรียญ
ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของบรอสแนน ได้แก่ The Thomas Crown Affair, Dante's Peak และ The Lawnmower Man, ภาพยนตร์ของ จอห์น บัวร์แมน เรื่อง The Tailor of Panama, ภาพยนตร์ของบรูซ เบเรสฟอร์ด เรื่อง Mr. Johnson และภาพยนตร์ของเซอร์ ริชาร์ด แอ็ตเทนเบอโรห์ เรื่อง Grey Owl, Mrs. Doubtfire และ Mars Attacks
เขายังรับบทสมทบ โดยร่วมแสดงกับ บาร์บร่า สตรัยแซนด์ ในภาพยนตร์เรื่อง The Mirror Has Two Faces

ทิโมธี่ ฮัตตัน (TIMOTHY HUTTON) รับบทซิดนี่ย์ โครลล์
ทิโมธี่ ฮัตตันเริ่มเข้าวงการบันเทิงด้วยการรับบทในภาพยนตร์ที่สร้างสำหรับฉายทางทีวีหลายเรื่องด้วยกัน เขาประเดิมแสดงภาพยนตร์เรื่องแรกด้วยภาพยนตร์เรื่อง Ordinary People (1980) ซึ่งกำกับโดย โรเบิร์ต เร็ดฟอร์ด ซึ่งทำให้เขาได้รับทั้งรางวัลออสการ์และลูกโลกทองคำ สาขาดาราสมทบชายยอดเยี่ยม เขาอายุแค่ 20 ปีเท่านั้นตอนได้รับรางวัลออสการ์ ทำให้เขากลายเป็นนักแสดงชายที่มีอายุน้อยที่สุดที่ได้รับรางวัลออสการ์ในสาขานี้
   ฮัตตันมีผลงานภาพยนตร์ที่มีความหลากหลาย ตั้งแต่ The Falcon and the Snowman (1985) จนถึง Brief Interviews with Hideous Men ในปี 2009 ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเขา ได้แก่ Q+A, French Kiss, Beautiful Girls, Kinsey and The Good Shepherd
ปัจจุบัน ฮัตตันแสดงนำอยู่ในซีรีส์เรื่อง “Leverage” ซึ่งเขารับบทเป็นผู้สืบสวนบริษัทประกันที่กลายมาเป็นโรบินฮู้ดยุคใหม่ เขายังรับบทเป็นแกเบรียล ในภาพยนตร์ดราม่าเรื่องใหม่ Multiple Sarcasms ซึ่งเขาร่วมแสดงกับ มีร่า ซอร์วีโน่ และสต็อคการ์ด แชนนิ่ง

ทอม วิลกินสัน (TOM WILKINSON) รับบทพอล เอ็มเม็ตต์
ทอม วิลกินสันคือนักแสดงที่คว้ารางวัลมาแล้วทั้งในแวดวงละครเวทีและภาพยนตร์ เขาเคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ สาขาดาราสมทบชายยอดเยี่ยม จากภาพยนตร์ของโทนี่ กิลรอย เรื่อง Michael Clayton นอกจากนี้ เขายังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ สาขาดารานำชายยอดเยี่ยม จากบทบาทที่อยู่ในความจดจำ ในภาพยนตร์ดราม่าที่ได้รับคำชมของ ท็อดด์ ฟิลด์ เรื่อง In The Bedroom ซึ่งเขาแสดงนำร่วมกับซิสซี่ สปาเซ็ก
ก่อนหน้านั้น วิลกินสันเคยได้รับรางวัลบัฟต้าจากภาพยนตร์ปี 1997 เรื่อง The Full Monty และในปีต่อมา เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลบัฟต้าอีกครั้ง จากภาพยนตร์เรื่อง Shakespeare In Love
ผลงานใหม่เรื่องต่อไปของวิลกินสัน คือการประกบบทกับ เอียน แม็คเชน และเรย์ วินสโตน ในภาพยนตร์เรื่อง 44 Inch Chest และภาพยนตร์ของมิราแม็กซ์ เรื่อง The Debt ซึ่งนำแสดงโดย เฮเลน มิร์เรน
วิลกินสันยังร่วมแสดงกับจูเลีย โรเบิร์ตส์ และไคลฟ์ โอเว่น ในภาพยนตร์ของโทนี่ กิลรอย เรื่อง Duplicity, ร่วมแสดงกับบิลลี่ ครูดัพ และแมนดี้ มัวร์ ในภาพยนตร์เรื่อง Dedication, ร่วมแสดงในภาพยนตร์ของวูดี้ อัลเลน เรื่อง Cassandra’s Dream, ภาพยนตร์ของ กาย ริตชี่ เรื่อง RocknRolla และภาพยนตร์ของไบรอัน ซิงเกอร์ เรื่องValkyrie
ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของวิลกินสัน ได้แก่ ภาพยนตร์ของ คริสโตเฟอร์ โนแลน เรื่อง Batman Begins; Eternal Sunshine of the Spotless Mind ซึ่งเขาร่วมแสดงกับ เคต วินสเลต และจิม แคร์รี่ย์, The Last Kiss ซึ่งเขาร่วมแสดงกับแซ็ค แบรฟฟ์,  Stage Beauty ซึ่งเขาร่วมแสดงกับบิลลี่ ครูดัพ,  Wilde; The Governess, ภาพยนตร์ของ อังลี เรื่อง Sense and Sensibility; Smilla’s Sense of Snow; ภาพยนตร์ของกิลเลี่ยน อาร์มสตรอง เรื่อง Oscar and Lucinda; Ride with the Devil; The Importance of Being Earnest; Girl with a Pearl Earring ซึ่งนำแสดงโดยสการ์เล็ตต์ โจแฮนส์สัน และโคลิน เฟิร์ธ, ภาพยนตร์ของโรแลนด์ เอ็มเมอริช เรื่อง The Patriot; A Good Woman; Ripley Under Ground; The Exorcism of Emily Rose และ Separate Lies

โรเบิร์ต พูห์ (ROBERT PUGH) รับบทริชาร์ด ไรคาร์ท
   โรเบิร์ต พูห์เป็นนักแสดงที่มีผลงานละครเวทีและภาพยนตร์มากมายหลายเรื่อง นอกจาก The Ghost Writer แล้ว เขาจะมีผลงานใหม่อีกเรื่อง คือภาพยนตร์ของริดลี่ย์ สก็อตต์ เรื่อง Robin Hood
เขาเคยรับบทนำในภาพยนตร์เรื่อง The Tichborne Claimant (1998) และยังร่วมแสดงกับโคลิน เฟิร์ธ และเบน คิงสลี่ย์ ในภาพยนตร์เรื่อง The Last Legion (2007)
ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเขา ได้แก่ Master and Commander (2003), Kinky Boots (2005), Kingdom of Heaven (2005), Undertaking Betty ซึ่งเขาร่วมแสดงกับเบรนด้า เบลธทิน, คริสโตเฟอร์ วอลเก้น และนาโอมี่ วัตต์ส, Innocence, Enigma (2001) ซึ่งเขาร่วมแสดงกับแมทธิว แม็คฟาเดียน, ดักเกรย์ สก็อตต์ และเคต วินสเลต, The Englishman Who Went Up a Hill But Came Down a Mountain (1995), Priest (1994), Children of Icarus,  ภาพยนตร์ของโรมัน โปลันสกี้ เรื่อง Macbeth, SOS Titanic (1979) และ Goodnight Irene (2008)

เจมส์ เบลูชี่ (JAMES BELUSHI) รับบท จอห์น แม็ดด็อกซ์
เจมส์ เบลูชี่ประเดิมแสดงภาพยนตร์เรื่องแรก ด้วยภาพยนตร์ของผู้กำกับ ไบรอัน เดอ พัลม่า เรื่อง The Fury (1978) บทเด่นบทแรกของเขาคือภาพยนตร์ของไมเคิล มานน์ เรื่อง Thief (1981) เขายังร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่อง Trading Places เบลูชี่เริ่มมีชื่อเสียงจากหลายบทบาทในภาพยนตร์เรื่อง About Last Night, Salvador และ Little Shop of Horrors ในปี 1986
เบลูชี่ยังร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่อง Taking Care of Business, Only the Lonely, Wild Palms, Curly Sue, Rugrats และ Hoodwinked!

อีไล วอลแลช (ELI WALLACH) รับบทชายชรา
อีไล วอลแลชได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในนักแสดงฝีมือดีที่สุดของฮอลลีวู้ด เขาเกิดในปี 1915 และกลายเป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงในช่วงปลายทศวรรษ 1950 โดยวอลแลชเคยร่วมงานกับนักแสดงชื่อดังอย่าง คล๊าร์ก เกเบิล, คลิ้นต์ อีสต์วู้ด, สตีฟ แม็คควีน, มาริลิน มอนโร, ยูล บรินเนอร์, ปีเตอร์ โอทูล และอัล ปาชิโน่
วอลแลชประเดิมงานแสดงภาพยนตร์เรื่องแรก ในภาพยนตร์ของ อีไลซ์ คาซาน เรื่อง Baby Doll ซึ่งทำให้เขาได้รับรางวัลบัฟต้า สาขานักแสดงหน้าใหม่ยอดเยี่ยม และยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำด้วย
ผลงานภาพยนตร์ในระยะแรกๆ ของเขา ได้แก่ The Misfits (1961), The Magnificent Seven (1960), Lord Jim (1965), บทตลกในเรื่อง How to Steal a Million (1966), The Good, the Bad and the Ugly (1966
วอลแลชยังร่วมแสดงในภาพยนตร์คาวบอยหลายเรื่อง อาทิเช่น Ace High ที่เขาร่วมแสดงกับ เทอเรนซ์ ฮิลล์ และบั๊ด สเปนเซอร์ วอลแลชยังฝากบทบาทที่อยู่ในความทรงจำของคนดูเอาไว้ในภาพยนตร์เรื่อง The Godfather Part III
เมื่อเร็วๆ นี้ เขาร่วมแสดงในภาพยนตร์ของคลิ้นต์ อีสต์วู้ด เรื่อง Mystic River (2003), The Holiday (2006) และ New York I Love You (2009)
« Last Edit: May 04, 2010, 02:24:31 PM by happy »