กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติยกระดับความเป็นผู้นำมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารของไทยด้วยการบุกเบิกการใช้เทคโนโลยีการตรวจสอบย้อนกลับแหล่งผลิตสินค้าเกษตรและอาหารตามมาตรฐาน EPCIS
กรุงเทพฯ 26 มีนาคม 2553 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ ร่วมกับ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) พัฒนาและบุกเบิกโครงการนำร่องการใช้เทคโนโลยีเพื่อการตรวจสอบย้อนกลับแหล่งผลิตสินค้าเกษตรและอาหารจากรหัสมาตรฐานสากลเพื่อประโยชน์ต่อผู้บริโภค ผู้ส่งออก และเกษตรกรไทย ตามมาตรฐาน EPCIS โดยอาศัยแอพพลิเคชันระบบฐานข้อมูล อ๊อปสมาร์ท (OpsSmart) ของบริษัท เอฟเอ็กซ์เอ และโซลูชันเทคโนโลยีการสื่อสารแบบอัตโนมัติเพื่อสนับสนุนระบบการตรวจสอบย้อนกลับ ของบริษัท ไอบีเอ็ม ประเทศไทย จำกัด
ในอดีตจนถึงปัจจุบัน ประเทศไทยถือเป็นผู้ผลิตและส่งออกผลิตภัณฑ์สินค้าเกษตรและอาหารที่สำคัญประเทศหนึ่งของโลก โดยในปี 2552 ประเทศไทยมีรายได้จากการส่งออกผลิตภัณฑ์สินค้าเกษตรและอาหาร รวมมูลค่า 559,609 ล้านบาท และถือเป็นประเทศที่ส่งออกทูน่ากระป๋อง ปลาแช่แข็ง และกุ้ง เป็นอันดับหนึ่งของโลก นอกจากนั้น กระทรวงเกษตรฯ ภายใต้การร่วมมือของกรมปศุสัตว์ กรมวิชาการเกษตร กรมประมง และ บริษัทเอกชนชั้นนำหลายแห่ง ทั้งในภาคเกษตรกร ผู้ผลิต และผู้ส่งออก ได้ร่วมมือกันเพื่อปรับปรุงและยกระดับมาตรฐานผลิตภัณฑ์อาหารและสินค้าเกษตรเพื่อสร้างความมั่นใจด้านความปลอดภัยมาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2548 อย่างไรก็ตาม การพัฒนามาตรฐานเพื่อเชื่อมโยงข้อมูลต่าง ๆ ที่ผ่านมา เป็นมาตรฐานเฉพาะที่ใช้ภายในประเทศเท่านั้น ซึ่งทำให้เกิดความพยายามในการผลักดันเพื่อยกระดับมาตรฐานที่เป็นอยู่ให้ได้ระดับสากล โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาตรฐาน EPCIS (Electronic Product Code Information Services) ซึ่งเป็นมาตรฐานระบบการให้บริการข้อมูล เลขรหัส EPC และข้อมูลอื่นๆ ที่มีโครงสร้างและข้อกำหนดตามมาตรฐานสากลและได้รับการยอมรับทั่วโลก
นายธีระ วงศ์สมุทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ผู้ริเริ่มโครงการฯ และเป็นหนึ่งในผู้ผลักดันยุทธศาสตร์เพื่อยกระดับมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารของไทย กล่าวว่า “โครงการนำร่องการใช้เทคโนโลยีเพื่อการตรวจสอบแหล่งผลิตสินค้าเกษตรและอาหารตามมาตรฐานสากล” นี้ เป็นโครงการภายใต้ยุทธศาสตร์มาตรฐานความปลอดภัยสินค้าเกษตรและอาหาร ปี 2553 – 2555 ในแผนยุทธศาสตร์ที่ 5 เรื่องการสร้างความมั่นใจในมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารของไทย โดยผลที่ได้จากการทำโครงการนี้ จะช่วยยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยด้านอาหารภายในประเทศ อีกทั้งช่วยสร้างความเชื่อมั่นต่อประเทศผู้นำเข้าสินค้าอาหารและการเกษตรของไทย ที่สามารถตรวจสอบย้อนกลับข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์อาหารและการเกษตรได้อย่างละเอียดครบถ้วนในทุกขั้นตอน”
นอกจากนั้น นายธีระ ยังกล่าวเสริมอีกว่า “ความสำเร็จของโครงการฯ โดยการใช้เทคโนโลยีการกำหนดรหัสแปลงเกษตรกรด้วยรหัสสากลและเทคโนโลยีการสื่อสารการตรวจสอบย้อนกลับแบบอัตโนมัติที่ทันสมัยภายใต้มาตรฐานด้านเทคนิค EPCIS
(Electronic Product Code Information Services) นอกจากจะทำให้รัฐบาลไทยสามารถเพิ่มพูนศักยภาพในด้านระบบการตรวจสอบย้อนกลับสินค้าด้านอาหารและการเกษตรตามมาตรฐาน EPCIS แล้ว ยังทำให้ไทยมีจุดแข็งและได้เปรียบในการเจรจาทางด้านการค้าในเชิงรุกว่าด้วยระบบตรวจสอบย้อนกลับที่มีความสมบูรณ์ และเป็นมาตรฐานต่อรัฐบาลคู่ค้าในทุกๆประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มประเทศสหภาพยุโรป อเมริกา และ ญี่ปุ่น ซึ่งเป็นประเทศคู่ค้าสำคัญด้านผลิตภัณฑ์อาหารและสินค้าการเกษตรของไทยอีกด้วย”
นายนิวัติ สุธีมีชัยกุล ผู้อำนวยการสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช) หน่วยงานผู้บริหารโครงการดังกล่าว ระบุเพิ่มเติมว่า “ประโยชน์ที่ได้จากโครงการฯ คือ ประเทศไทยจะได้ใช้เทคโนโลยีการกำหนดรหัสสากลและระบบสื่อสารการส่งข้อมูล (Message) การตรวจสอบย้อนกลับแบบอัตโนมัติ ที่สามารถตรวจสอบข้อมูลแหล่งที่มาของวัตถุดิบ ที่ตั้งของโรงงาน วันที่ผลิตสินค้า วันหมดอายุสินค้า วันส่งสินค้า และอื่นๆ ได้ และ ผลลัพธ์ (Outcome) ของโครงการฯ คือ สามารถตรวจสอบแหล่งที่เป็นต้นเหตุของการเกิดปัญหาของสินค้าเกษตรและอาหาร และรู้สาเหตุได้อย่างรวดเร็ว ทำให้เรียกคืนสินค้าเฉพาะที่เกิดปัญหาสามารถ ลดการสูญเสียทางเศรษฐกิจ สร้างความน่าเชื่อถือให้ลูกค้า ทำให้สินค้าเกษตรและอาหารของไทยสามารถแข่งขันในตลาดโลก สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับประเทศผู้นำเข้า โดยมีระบบการตรวจสอบความถูกต้องของสินค้า ที่มีประสิทธิภาพ…..””
นายสมยศ ธนพิรุณธร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ CAT ในฐานะที่ปรึกษาโครงการฯ กล่าวถึงการเลือกใช้เทคโนโลยีดังกล่าวว่า “โครงการนำร่องฯ ของ มอกช.ต้องใช้เทคโนโลยีที่มีความเหมาะสมและทันสมัยที่สุดเพื่อให้ระบบการตรวจสอบย้อนกลับสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด CAT จึงได้ร่วมมือกับพันธมิตรในการดำเนินโครงการฯดังกล่าว โดยได้คัดเลือกเทคโนโลยีการกำหนดรหัสสากลของสถาบันรหัสสากล GS1 ซึ่งสามารถระบุแหล่งที่มาของแปลงเกษตรกรได้จากการกำหนดรหัสสากลที่สามารถสื่อสารได้ทั่วโลก และเทคโนโลยีการสื่อสารการตรวจสอบแบบอัตโนมัติ อินโฟสเฟียร์ เทรสสิบิลิตี้ เซิร์ฟเวอร์ (InfoSphere Traceability Server) ซอฟต์แวร์ของไอบีเอ็ม ที่รองรับการทำงานตามมาตรฐาน EPCIS (Electronic Product Code Information Services) ผนวกกับระบบฐานข้อมูลการตรวจสอบย้อนกลับ อ๊อปสมาร์ต (OpsSmart) ของทางเอฟเอ็กซ์เอ ซึ่งทั้งสองโซลูชันดังกล่าวสามารถทำงานร่วมกัน เพื่อตอบสนองความต้องการของโครงการดังกล่าวได้เป็นอย่างดี”
นายสมยศกล่าวเสริมว่า ก่อนหน้านี้ CAT ได้ร่วมมือกับ มกอช. ในการเป็นที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยีให้กับการดำเนินโครงการต่างๆ ได้แก่ โครงการพัฒนาระบบเชื่อมโยงใบรับรองสินค้าเกษตรและอาหารกับต่างประเทศในปี 2551 และ โครงการพัฒนาการเชื่อมโยงระบบตรวจสอบย้อนกลับ ในปี 2552 โดยการบริการให้คำปรึกษาโครงการทางด้านไอทีต่าง ๆ ให้กับหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนนี้ถือเป็นหนึ่งในบริการของ CAT เพื่อการตอบสนองความต้องการลูกค้าในระดับองค์กรอย่างครบวงจร
นายธันวา เลาหศิริวงศ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไอบีเอ็ม ประเทศไทย จำกัด ผู้นำเทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนโครงการดังกล่าว กล่าวว่า “ปัจจุบัน ไอบีเอ็มมีวิสัยทัศน์ในเรื่องการทำให้โลก ‘ฉลาดขึ้น’ (Smarter Planet) ซึ่งวิสัยทัศน์ดังกล่าวมุ่งเน้นการนำเทคโนโลยีไปช่วยแก้ปัญหา พัฒนาความเป็นอยู่ของคนและเอาชนะความท้าทายในหลาย ๆ ด้านของโลก ซึ่งรวมถึงปัญหาและความท้าทายด้านอาหารด้วย สำหรับโครงการฯ นี้ ไอบีเอ็มมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีส่วนร่วมและมีโอกาสนำเทคโนโลยี
ของเราไปช่วยยกระดับมาตรฐานคุณภาพสินค้าอาหารและการเกษตรซึ่งเป็นการช่วยสร้างคุณประโยชน์และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับเกษตรกรและผู้ส่งออกของไทย เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าโครงการดังกล่าวจะประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย และตอบสนองวิสัยทัศน์ของรัฐบาลที่จะทำให้ประเทศไทยยืนหยัดในการเป็น ‘ครัวโลก’ ได้อย่างสมบูรณ์แบบต่อไป”
นายอาภรณ์ ศรีพิพัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอฟเอ็กซ์เอ จำกัด ซึ่งพัฒนาโปรแกรมระบบฐานข้อมูลการตรวจสอบย้อนกลับ “อ๊อปสมาร์ท (OpsSmart)” เพื่อสนับสนุนโครงการดังกล่าว กล่าวว่า “การผนวกอ๊อปสมาร์ทเข้ากับอินโฟสเฟียร์ เทรสสิบิลิตี้ เซิร์ฟเวอร์ของไอบีเอ็มช่วยทำให้การตรวจสอบย้อนกลับทำได้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ตั้งแต่ระดับสินค้าส่งออก กระบวนการผลิตสินค้าอาหาร ไปจนถึงฟาร์ม อีกทั้งยังช่วยให้ผู้ส่งออกและเกษตรกรของไทยสามารถเข้าถึงตลาดต่างประเทศที่มีกฎหมายเกี่ยวกับการนำเข้าสินค้าทางด้านอาหารอย่างเข้มงวดและต้องมีระบบตรวจสอบย้อนกลับได้ เช่น กลุ่มประเทศสหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น เป็นต้น”
นายอาภรณ์ ศรีพิพัฒน์ กล่าวเสริมว่า “ระบบฐานข้อมูลการตรวจสอบย้อนกลับ อ๊อปสมาร์ท จะทำหน้าที่ในการจัดเก็บและเชื่อมโยงข้อมูลรหัสแปลงเกษตรกรที่ได้จากโครงการฯ ในแต่ละชนิดสินค้าอาหาร เข้ากับข้อมูลโรงผลิต บรรจุ ถึงส่งออก ส่วน อินโฟสเฟียร์ เทรสสิบิลิตี้ เซิร์ฟเวอร์จะทำหน้าที่ในรับบันทึกข้อมูลผลิตภัณฑ์การส่งออก (Shipment Information) บางส่วนจากระบบอ๊อปสมาร์ทและทำการรับหรือส่งข้อมูลแบบอัตโนมัติให้กับระบบอินโฟสเฟียร์ เทรสสิบิลิตี้ เซิร์ฟเวอร์หรือระบบอื่นๆ ที่รองรับมาตรฐาน EPCIS (Electronic Product Code Information Services) ของคู้ค้าในห่วงโซ่อาหาร….”
โครงการฯ ดังกล่าว คาดว่าจะมีผู้ผลิตอาหารและเกษตรกรเข้าร่วมไม่น้อยกว่า 600 รายจากอุตสาหกรรม ไก่ อาหารทะเล และผัก-ผลไม้สด โดยระยะเวลาในการจัดทำโครงการฯ คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือน กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
เกี่ยวกับสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.)
สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช) เป็นหน่วยงานระดับกรมภายใต้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทำหน้าที่กำกับดูแลงานด้านความปลอดภัยอาหารและสินค้าเกษตรเพื่อสนับสนุนการค้าสินค้าเกษตรของไทยในตลาดต่างประเทศ และเพื่อทำให้ผู้บริโภคทั้งในประเทศและทั่วโลกได้รับความปลอดภัยจากอาหารและผลิตผลการเกษตรจากประเทศไทย นอกจากนั้น มกอช ยังทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางข้อมูลด้านการมาตรฐานสินค้าเกษตร และเป็นผู้ประสานงานหลักของประเทศภายใต้ความตกลงระหว่างประเทศในองค์การการค้าโลกด้านสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช และความตกลงด้านการใช้มาตรการทางเทคนิคที่เป็นอุปสรรคทางการค้าอีกด้วย
รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) สามารถเข้าไปที่
www.acfs.go.thเกี่ยวกับบริการให้คำปรึกษาทางด้านไอทีของบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) สามารถเข้าไปที่
www.cattellecom.comเกี่ยวกับโซลูชันของไอบีเอ็มที่สนับสนุนระบบตรวจสอบย้อนกลับสามารถเข้าไปที่
www.ibm.com/software/data/infosphere/traceability-server/เกี่ยวกับระบบฐานข้อมูล อ๊อปสมาร์ท สามารถเข้าไปที่
http://www.fxagroup.com/