ไทยยูเนี่ยนยืนหนึ่งสร้างปรากฏการณ์สองไตรมาสซ้อน
ทุบสถิติรายได้และกำไรสุทธิในไตรมาส 3 ปี 65
ชี้ธุรกิจหลักแข็งแกร่ง เน้นกลยุทธ์หลากหลายสร้างการเติบโต
• ยอดขายประจำไตรมาสสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 40,756 ล้านบาท เติบโต 14.7 เปอร์เซ็นต์
• ทุบสถิติทำกำไรสุทธิประจำไตรมาสสูงสุดที่ 2,530 ล้านบาท เติบโต 30.7 เปอร์เซ็นต์
• ยอดขายจากธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง ผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่าและอื่นๆ เพิ่มขึ้น 55.9 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้ากรุงเทพมหานคร – 2 พฤศจิกายน 2565 – บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) รายงานผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 3 ปี 2565 ด้วยยอดขายและกำไรสุทธิประจำไตรมาสสูงสุดเป็นประวัติการณ์ จากธุรกิจหลักที่แข็งแกร่งของบริษัท ปัจจัยบวกจากอัตราแลกเปลี่ยน และธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงและผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่าที่เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้ยอดขายระหว่างเดือนกรกฎาคมจนถึงเดือนกันยายนสูงสุดอยู่ที่ 40,756 ล้านบาท เติบโต 14.7 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อนหน้า และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 2,530 ล้านบาท เติบโตขึ้น 30.7 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อนหน้า แม้จะมีแรงกดดันในเรื่องของอัตราเงินเฟ้อในช่วงไตรมาสที่ผ่านมา ที่ยังส่งผลอย่างต่อเนื่องในทุกภูมิภาคที่ไทยยูเนี่ยนดำเนินธุรกิจอยู่ แต่บริษัทยังคงสามารถบริหารจัดการได้ดี ผ่านการเจรจาต่อรองด้านราคากับลูกค้า มีมาตรการป้องกันความเสี่ยงทั้งในด้านวัตถุดิบหลักและอัตราแลกเปลี่ยน ตลอดจนการบริหารจัดการสินค้าคงคลังอย่างมีประสิทธิภาพ
บริษัทยังคงให้ความสำคัญกับกลยุทธ์ความหลากหลายของธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนอัตราการทำกำไรที่สูง ทั้งหมดนี้ส่งผลบวกต่อผลการดำเนินงานที่ผ่านมา สำหรับไตรมาส 3 ปี 2565 ไทยยูเนี่ยนมียอดขายจากธุรกิจอาหารทะเลบรรจุกระป๋องอยู่ที่ 16,985 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.6 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปีที่ผ่านมา จากกำลังซื้อที่ยังคงแข็งแกร่งต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ยอดขายจากธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งและแช่เย็นยังคงที่อยู่ในระดับใกล้เคียงจากปีที่แล้ว อยู่ที่ 14,820 ล้านบาทโดยธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงและผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่าและอื่น ๆ ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ผลการดำเนินงานไตรมาสนี้ยอดเยี่ยม โดยมียอดขายอยู่ที่ 8,951 ล้านบาท เติบโต 55.9 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า เนื่องจากได้รับปัจจัยบวกจากความต้องการที่สูง ราคาขายที่เพิ่มขึ้น และการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ผลการดำเนินงานในไตรมาส 3 ของเราสะท้อนให้เห็นถึงความพยายามในการผลักดันอย่างต่อเนื่องให้ธุรกิจของเรามีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น ตลอดจนเรื่องของนวัตกรรม และการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ แม้จะต้องเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นทั่วโลก ผลการดำเนินงานของเราในวันนี้แสดงให้เห็นแล้วว่า การที่เราให้ความสำคัญกับธุรกิจหลักให้แข็งแกร่งไปพร้อมกับขยายธุรกิจไปยังผลิตภัณฑ์ที่นำนวัตกรรมเข้ามาพัฒนานั้น สามารถส่งผลบวกต่อธุรกิจท่ามกลางสภาวการณ์ต่าง ๆ ที่เป็นแรงต้านในธุรกิจได้” สำหรับผลการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนแรกของปี ไทยยูเนี่ยนรายงานยอดขายจาก 3 ธุรกิจหลักเป็นสัดส่วนดังต่อไปนี้ ธุรกิจอาหารทะเลบรรจุกระป๋อง 42 เปอร์เซ็นต์ ธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งและแช่เย็น 37 เปอร์เซ็นต์ และธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงและผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่าและอื่น ๆ 21 เปอร์เซ็นต์ และยอดขายใน 3 ไตรมาสแรกนั้นทำสถิติสูงสุดอยู่ที่ 115,974 ล้านบาท เติบโต 13.1 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปีก่อนหน้า มีกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 20,338 ล้านบาท เติบโต 8.7 เปอร์เซ็นต์ และมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 17.5 เปอร์เซ็นต์ แม้ว่าราคาวัตถุดิบหลักมีการปรับราคาขึ้นก็ตาม
บริษัทมีการเตรียมการเพื่อการเติบโตและขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง มีการสร้างโรงงานใหม่รวม 3 โรง ตั้งแต่ช่วงกลางปี 2564 โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมดำเนินงานได้ในปี 2566 ในส่วนนี้มีโรงงาน 2 โรงที่จังหวัดสมุทรสาคร เพื่อผลิตโปรตีนไฮโดรไลเสตและคอลลาเจนเปปไทด์ และผลิตอาหารพร้อมทาน นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ในระหว่างการก่อสร้างห้องเย็นเพื่อจัดเก็บปลาทูน่า พร้อมด้วยโรงบำบัดน้ำเสียในประเทศกาน่า รวมถึงไทยยูเนี่ยนกำลังอยู่ในระหว่างการดำเนินการขยายกำลังการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียกและขนมกินเล่นสำหรับสัตว์เลี้ยงในจังหวัดสมุทรสาคร บรรยายภาพ: ยอดขายของไทยยูเนี่ยน ในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2565 ที่กระจายตัวตามประเทศและทวีปต่าง ๆ ทั่วโลก“ที่ไทยยูเนี่ยน เรามีกลยุทธ์ด้านความหลากหลายของธุรกิจ ที่ครอบคลุมทั้งในด้านของผลิตภัณฑ์และตลาดต่าง ๆ ทั่วโลก เพื่อให้มั่นใจได้ว่า ธุรกิจของเราจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง และสามารถผลิตสินค้าที่ดีต่อสุขภาพให้กับผู้บริโภคทั่วโลก ตามเป้าหมายของเราคือ Healthy Living, Healthy Oceans ที่มุ่งมั่นจะสร้างสุขภาพที่ดีให้กับผู้คนไปพร้อมกับการดูแลทรัพยากรในท้องทะเล” นายธีรพงศ์ กล่าวทิ้งท้าย###
เกี่ยวกับ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เป็นผู้นำด้านอาหารทะเลระดับโลกที่นำผลิตภัณฑ์อาหารทะเลคุณภาพสูง ดีต่อสุขภาพ อร่อย และสร้างสรรค์ มาสู่ลูกค้าทั่วโลกมาเป็นกว่า 45 ปี
ปัจจุบัน ไทยยูเนี่ยนถือได้ว่าเป็นหนึ่งในผู้ผลิตอาหารทะเลชั้นนำของโลกและเป็นหนึ่งในผู้ผลิตปลาทูน่าในบรรจุภัณฑ์ชนิดต่างๆ ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมียอดขายต่อปีเกินกว่า 141,000 ล้านบาท (4,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) และแรงงานทั่วโลกกว่า 44,000 คน ที่ทุ่มเทให้กับการบุกเบิกผลิตภัณฑ์อาหารทะเลที่สร้างสรรค์และยั่งยืน
ไทยยูเนี่ยนเป็นเจ้าของแบรนด์ทั่วโลก ประกอบด้วย แบรนด์ที่เป็นผู้นำตลาดโลกอย่าง Chicken of the Sea, John West, Petit Navire, Parmentier, Mareblu, King Oscar, Hawesta และ Rügen Fisch รวมทั้งแบรนด์ชั้นนำในประเทศไทย ได้แก่ ซีเล็ค ฟิชโช คิวเฟรช โมโนริ OMG MEAT เบลลอตต้า และมาร์โว่ นอกจากนี้ยังมีส่วนประกอบอาหารภายใต้แบรนด์ UniQ®BONE และ UniQ®DHA และผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพแบรนด์ ZEAvita
จากพันธกิจในการเป็นบริษัทแห่งนวัตกรรมและดำเนินงานด้วยความรับผิดชอบทั่วโลก ไทยยูเนี่ยนภูมิใจที่ได้เป็นหนึ่งในภาคีข้อตกลงโลกแห่งสหประชาชาติ (United Nations Global Compact) และเป็นผู้ร่วมก่อตั้งมูลนิธิเพื่อความยั่งยืนของอาหารทะเลสากล (International Seafood Sustainability Foundation: ISSF) ในปี 2558 ไทยยูเนี่ยนเปิดตัวกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน SeaChange® และดำเนินการในเรื่องดังกล่าวอย่างต่อเนื่องเรื่อยมาโดยตลอด จนส่งผลให้ไทยยูเนียนได้รับการคัดเลือกให้เป็นสมาชิกของดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (Dow Jones Sustainability Indices หรือ DJSI) สำหรับตลาดเกิดใหม่ 8 ปีติดต่อกัน โดยในปี 2564 นอกจากนี้ไทยยูเนี่ยนยังได้รับการคัดเลือกให้ติดอันดับดัชนี FTSE4Good Emerging Index เป็นปีที่ 5 ติดต่อกัน