อะแด็พโต-แอร์ เตรียมขึ้นทะเบียนเป็น ผลิตภัณฑ์สมุนไพรขายทั่วไป
สำหรับผู้ที่อาการไอ
เอสพี เฮลท์แคร์ 2019 (ประเทศไทย) ผู้จำหน่ายผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร อะแด็พโต-แอร์ แจงกรณีที่ยังไม่ได้แจ้งข้อมูลการบ่งใช้ของผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร นั้น ทางผู้บริหารบริษัทฯ ได้ชี้แจงว่าอยู่ระหว่างรวบรวมข้อมูลเพื่อขึ้นทะเบียนตำรับยาสมุนไพรแทนผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเดิมเพื่อให้ผู้บริโภคเข้าใจข้อบ่งใช้ของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอะแด็พโต-แอร์ อย่างถูกต้อง นายสุทธิพงษ์ เผ้าหอม กรรมการบริหาร บริษัท เอสพี เฮลท์แคร์ 2019 (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ตามที่มีกระแสข่าวว่า ผลิตภัณฑ์ อะแด็พโต-แอร์ ได้ยื่นขออนุญาตขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์กับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา เลข อย. 10-1-19556-5-0145 แต่ยังไม่ได้มีการยื่นข้อมูลเกี่ยวกับประสิทธิผลในการต้านจุลชีพ ลดอักเสบ แก้เจ็บคอ เสริมภูมิคุ้มกัน บำรุงปอดและฟื้นฟูปอดหลังติดเชื้อ นั้น บริษัทฯ ขอชี้แจงว่า บริษัทฯ กำลังอยู่ระหว่างขั้นตอนรวบรวมข้อมูล พัฒนาตำรับยาสมุนไพรที่เหมาะสม เพื่อดำเนินการขอขึ้นทะเบียนเป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพรแทนทะเบียนผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเดิม ซึ่งคาดว่าจะได้รับการอนุญาตการขึ้นทะเบียนเป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพรในเร็วๆ นี้ เพื่อให้ผู้บริโภคมั่นใจว่า บริษัทฯ เป็นกลุ่มเภสัชกรที่มีประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญในการพัฒนาตำรับยาสมุนไพรมานานมากกว่า 10 ปี ผลิตภัณฑ์อะแด็พโต-แอร์ เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ผลิตจากสมุนไพรไทยจากธรรมชาติ ผ่านการฉายแสงเพื่อฆ่าเชื้อ มีส่วนประกอบหลักจากสมุนไพร ได้แก่ สารสกัดกระชายขาว ผงกระชายขาว ตรีผลา และสารสกัดขมิ้นชัน ในขนาด 850 มิลลิกรัมต่อแคปซูล ซึ่งผ่านการตรวจวิเคราะห์สารสำคัญในผลิตภัณฑ์จากห้องปฏิบัติการกลางแห่งประเทศไทย แล้วว่ามี สาระสำคัญที่ออกฤทธิ์ ดังต่อไปนี้ คือ Panduratin A, Pinostrobin, Pinocembrin และ Curcumin อยู่จริง และมีการตรวจวัดปริมาณโพแทสเซียม เพื่อความปลอดภัยของคนไข้ ตามเอกสารกำกับที่อยู่ด้านข้างกล่องบรรจุภัณฑ์ สำหรับกลุ่มที่ห้ามรับประทานอะแด็พโต-แอร์ คือ เด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี คนท้อง คนที่เป็นตับแข็ง หรือตับวาย คนที่เป็นถุงน้ำดีอุดตัน หรือถ้าตัดถุงน้ำดีแล้วสามารถทานได้ และคนที่กินยาวาร์ฟาริน (ถ้าทานแอสไพรินสามารถทานได้แต่ต้องระวัง) อาการข้างเคียงที่อาจเกิดได้เมื่อทาน อะแด็พโต-แอร์ คือ เรอ ผายลม ถ่ายเหลว คลื่นไส้ อาเจียน สามารถทานหลังอาหารทันทีก็จะลดอาการดังกล่าวได้ แต่ถ้าทานแล้วเกิดผื่นแนะนำให้หยุดทานแล้วปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร เพื่อประเมินอาการต่อไป นอกจากนี้ นายสุทธิพงษ์ เผ้าหอม ยังเปิดเผยอีกว่า เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้สนใจใช้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพ บริษัทฯ จึงได้ตกลงความร่วมมือกับคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ทำการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อขึ้นทะเบียน สำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาทางเดินหายใจ เช่น อาการไอ ตามมาตรฐานที่ถูกต้อง ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาขอขึ้นทะเบียนกับ อย. ประมาณ 1 ปี จึงจะแล้วเสร็จพร้อมจัดจำหน่าย “ตามหลักแล้วสมุนไพรถือว่าเป็นศาสตร์การแพทย์แบบผสมผสาน ซึ่งถ้ามีการใช้ควบคู่กับการรักษาหลักของการแพทย์แผนปัจจุบัน ช่วยส่งเสริมให้สุขภาพแข็งแรง สามารถต่อสู้กับโรคได้ ช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น นอกจากนั้นสมุนไพรยังช่วยลดอันตรายและอาการข้างเคียงจากยาแผนปัจจุบันให้เกิดขึ้นน้อยที่สุดด้วย สมุนไพรมักออกฤทธิ์ผ่านหลายกลไก แต่ออกฤทธิ์ได้ช้ากว่ายาแผนปัจจุบัน จึงอาจต้องใช้ระยะเวลาให้ร่างกายได้ฟื้นฟูระยะหนึ่ง” นายสุทธิพงษ์ เผ้าหอม กล่าวในตอนท้ายว่า อย่างไรก็ตามการแพทย์แผนปัจจุบันไม่ควรปฏิเสธการใช้สมุนไพรไปเสียเลยทีเดียว ควรเรียนรู้เพิ่มเติมและทำความเข้าใจการใช้สมุนไพรให้มากขึ้นเพื่อเพิ่มโอกาสในการรักษาให้กับผู้ป่วย ซึ่งการใช้สมุนไพรร่วมกับการรักษาแบบแผนปัจจุบันน่าจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่มีประสิทธิภาพสำหรับผู้ป่วยได้ และที่สำคัญ คือ ก่อนใช้ยา ผลิตภัณฑ์สุขภาพ สมุนไพร ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ต้องปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกรทุกครั้ง”