ท็อป จรณ เคยติสท์แตกเลือกรับงาน พร้อมย้อนเล่าความรักสุดเจ็บปวดเมาหัวราน้ำ 6 เดือน จนต้องเข้าวัดพึ่งธรรมะ
อดีตพระเอกช่องน้อยสี ท็อป จรณ ที่ตอนนี้ผันตัวมาเป็นฟรีแลนซ์ทำเอางานรุมหนักมาก วันนี้จะมาเปิดใจยอมรับเคนเป็นพระเอกสายติสท์เลือกรับงาน พร้อมทั้งอัปเดตสถานะหัวใจ ตอนนี้โสดหรือไม่โสด อีกทั้งยังย้อนเล่าความรักที่เจ็บปวดที่สุดถึงขนาดเมาหัวราน้ำนานถึง 6 เดือน และอกหักจนต้องเข้าวัดมาแล้ว ผ่านทางรายการ คุยแซ่บshow ทางช่อง ONE31 ที่มีพีเค ปิยะวัฒ และเป็กกี้ ศรีธัญญา เป็นพิธีกรดำเนินรายการ
คุณอยู่ช่องน้อยสีมาทั้งหมดกี่ปี?
ท็อป : ประมาณ 10 ปีครับ
ทำใจยากไหมที่จะไม่ต่อสัญญาแล้วออกมาเป็นฟรีแลนซ์?
ท็อป : ยากครับ ตอนนั้นเราค่อนข้างจะคิดหนักเหมือนกัน มันเหมือนเป็นบ้านของเรา แล้ววันหนึ่งเราต้องเดินออกจากบ้านไป ผมก็งงๆ เหมือนกัน แต่คิดว่าเราอยากจะหาสิ่งใหม่ๆ มาลองทำดู ตอนนั้นตัดสินใจนานเลย ปรึกษาคุณพ่อคุณแม่ ผู้จัดการ สุดท้ายเรามาตกตะกอนกับตัวเองว่ามันยังมีงานอีกหลายๆ แบบที่เรายังไม่เคยทำ เราก็อยากจะลองไปทำดู อยากเห็นตัวเองอยู่ในแพลตฟอร์มออนไลน์ อยากลองซีรีส์ใหม่ๆ แปลกๆ ที่เรายังไม่เคยทำ ซึ่งวันที่เราเซ็นสัญญา เราตื่นเต้น ดีใจมากที่ได้เซ็นสัญญากับช่องที่ใหญ่ขนาดนี้ วันที่มันหมดแล้วเราต้องเดินไปนั่งคุยกับผู้มีพระคุณสุดๆ มันเป็นเรื่องที่ใจสั่น วันนั้นผมน้ำตาคลอเลยนะ
แต่ก็มีคนเม้าท์ว่าจริงๆ คุณอยากอยู่ต่อ แต่ที่ไม่เซ็นเพราะว่าทางต้นสังกัดเดิมไม่ป้อนงานเลยจริงไหม?
ท็อป : ไม่จริงเลย ช่องให้งานผมตลอด ไม่เคยมีปีไหนที่ไม่มีงานเลย มีเยอะด้วยซ้ำ อย่างน้อยๆ ก็ต้องมี 2-3 เรื่องต่อปีเราเป็นตัวหลักเราไม่มีสิทธิ์รับปีหนึ่ง 5-6 เรื่องอยู่แล้ว มันเป็นไปไม่ได้ เพราะเรามีทุกวัน บางปีเราได้เลือกด้วยซ้ำว่าเราอยากเล่นเรื่องไหน
ตอนที่คุณตัดสินใจไม่เซ็นสัญญา เห็นว่าคุณพูดว่าลองไปตายเอาดาบหน้า มันขนาดนั้นเลยเหรอ?
ท็อป : ใช่ คือเราไม่รู้ว่าข้างนอกมันเป็นยังไง แล้วเราไม่รู้ว่าจะมีคนจ้างเรามากน้อยแค่ไหน ถ้าอยู่กับช่องมันอุ่นใจ ยังไงในหนึ่งปีเรามีงานอยู่แล้ว ปกติมีคนคอยเลือก คอยจัดการ คอยบริหาร วันหนึ่งเราต้องทำทุกอย่างเองมันยากมากนะ แต่ว่าเอาวะ..เราอยากไปลองอะไรใหม่ๆ เราก็ต้องลองเสี่ยง คือปมเป็นนักแสดงที่ติสท์พอสมควร เรามานั่งคิดว่าถ้าวันหนึ่งเราไม่ได้ท้าท้ายตัวเอง ผมจะไม่มีความสุข ผมเลือกความสุขของผม อย่างน้อยๆ ผมต้องได้ทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ แล้วได้ไปโลดแล่น ไปหาประสบการณ์อีกแบบ
ตอนนี้มีซีรีส์กี่เรื่อง?
ท็อป : ตอนนี้มี 3 เรื่องครับ ละคร 1 เรื่องครับ
ไม่เคยเห็นท็อปออกรายการทอล์ก แต่ทำไมถึงมาออกคุยแซ่บ?
ท็อป : พอเราออกมาเป็นฟรีแลนซ์สักระยะ เราได้ไปร่วมงานกับหลากหลายช่อง หลายรายการ มันทำให้เราเปิดใจมากขึ้น เราไม่กลัวที่จะออกมานั่งและพูดคุยเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเอง เรากล้าที่จะเปิดตัวเองมากขึ้น
คุณเป็นคนติสท์มากจริงไหม?
ท็อป : ใช่ครับ
เห็นว่าติสท์ถึงขั้นบอกว่างานแบบนี้ผมไม่รับ?
ท็อป : ใช่ครับ
สมัยก่อนเลือกรับงานเหรอ?
ท็อป : เลือกพี่
งานแบบไหนเราไม่รับ?
ท็อป : เชื่อไหมเมื่อก่อน ตอนอายุ 23-24 ที่เพิ่งเริ่มมีชื่อเสียงใหม่ๆ ตอนนั้นมีงานไอจีติดต่อมาเยอะมาก ผมบอกผู้จัดการว่าผมไม่รับ เพราะว่านี่มันพื้นที่ส่วนตัวของผม แล้วมีงานไอจีทุกวัน รีวิวทุกอย่าง เราไม่เอาเลยสักงานเดียว มีวันหนึ่งหลายงานด้วย
แล้วความรู้สึกมันเปลี่ยนไปตอนไหน?
ท็อป : เปลี่ยนตอนโควิดครับ ตอนนั้นละครอะไรก็เลือกหมด รู้สึกว่าตัวละครนี้เราเล่นไปแล้ว เราไม่อยากเล่น ถ้าไม่มีอะไรให้เล่น เราก็ไม่อยากเล่น ไม่เอา ไม่รับ
ทำไมอยู่ดีๆ ถึงเลิกติสท์?
ท็อป : โควิดมันสอนเราหลายอย่าง มันไม่มีอะไรแน่นอน วันหนึ่งที่เราเคยถ่ายละครได้ ผมเคยเชื่อนะว่าอาชีพนักแสดงของผมมันสามารถเลี้ยงเราไปจนแก่ 70-80 ก็ยังเล่นได้ แต่วันหนึ่งโควิด กองถ่ายไม่ได้ คนนู้นติด คนนี้ติด ผมก็ติดวันที่เราทำงานไม่ได้เราช็อกเลยนะ ตอนแรกเราให้เต็มที่เลย 6 เดือน เห้ยมันเป็นปี เราก็ต้องบริหารจัดการ ทั้งเรื่องของการวางแผนทั้งอาชีพและการเงินมากขึ้น
สมัยก่อนท็อปเล่นละครไม่เก่งจริงๆ เหรอ?
ท็อป : ไม่เข้าใจเอาอย่างนี้ดีกว่า ยังไม่เข้าใจการแสดง เรียกว่าแข็งเลย ท่อนไม้ยังไง อย่างนั้นเลย
เล่าให้ฟังหน่อยที่เขาต้องเบรกกองแล้วให้ท็อปไปเคลียร์ตัวเอง?
ท็อป : ตอนนั้นน่าจะเป็นละครเรื่องแรกที่ผมเป็นพระเอก มันกดดันมากเลย ไม่มีความมั่นใจในตัวเองเป็นทุนอยู่แล้ว ที่หนักที่สุดคือคนรอบข้าง ทีมงานก็ไม่มั่นใจในตัวเราด้วย คือพูดง่ายๆ ถ้ามีซีนพระเอก นางเอกคู่นี้ ทีมงานส่ายหัวแล้ววันนี้เลิกดึกแน่ พอเราเห็นใจเราก็ฝ่อ วันนั้นเป็นซีนที่ผมต้องแอคชั่นเบาๆ กับนักแสดงรุ่นใหญ่ท่านหนึ่ง วันนั้นน่าจะเกิน25 เทค เฉพาะคัทนะไม่ใช่ทั้งซีน คัทนี้ 3 ชั่วโมงไม่ผ่าน
ผู้กำกับว่าไง?
ท็อป : เขาบอกนี่กูกำกับคนหรือกำกับหุ่นยนต์ ถามว่าเสียใจไหม ก็เสียใจพี่
แต่ละครเรื่องล่าสุดของคุณคือสุดๆ เลย เล่นดีมาก อันนี้มันเป็นแรงผลักดันไหมที่ทำให้เรารู้สึกว่าเราต้องดีขึ้นทุกวัน?
ท็อป : ใช่ครับ ตั้งแต่ตอนนั้นที่ผมตามหาความยอมรับแล้วกันจากคนอื่นๆ มาตลอดเวลา มันเหมือนเราไม่ประสบความสำเร็จสักที เราไม่สามารถทำให้คนเชื่อมั่นในตัวเราได้สักที แม้กระทั่งเราก็ดีขึ้นเรื่อยๆ แล้ว แต่เราก็ยังไม่มั่นใจในตัวเอง จนมีพี่คนหนึ่งที่เป็นผู้ใหญ่ เดินมาบอกผมว่าไม่ต้องพิสูจน์อะไรกับใครแล้ว เพราะวันนี้มึงทำได้แล้ว ไม่ต้องกดดันแล้ว มันเหมือนปลดล็อกอีกขั้นหนึ่งของเราให้เรารีเล็กซ์ขึ้นในการแสดงละคร
หล่อขนาดนี้ เก่งขนาดนี้ ทำไมถึงไม่มีแฟน?
ท็อป : ผมว่ามันเป็นดวงหรือเปล่า ไม่แน่ใจ สมมติไปดูดวงเขาจะบอกเลยว่าเราไม่ดีเรื่องความรัก ไม่ค่อยประสบความสำเร็จทางด้านนี้ ซึ่งจากสิ่งที่มันเกิดขึ้นทั้งหมดมันก็พอจะเข้าใจได้ ปัจจุบันผมก็เลยเฉยๆ แล้วกับเรื่องนี้ แต่ผมว่าแต่ละคนคงมีความโชคดีที่เป็นโชคชะตาไม่เหมือนกัน
จริงไหมที่สมัยก่อนมีความรัก ท็อปโดนบอกเลิกตลอด?
ท็อป : 80% ครับ ผมว่าสาเหตุมันคืออะไรเล็กๆ น้อยๆ นี่แหละที่มันสะสม หรือเป้าหมายไม่ตรงกันเวลาเด็กกับโตขึ้นมันไม่เหมือนกัน ตอนเด็กเราไม่ได้คิดอะไรหรอก คุยเล่น วันหนึ่งทะเลาะกัน ก็เลิกกันไป อันนี้เป็นเรื่องเข้าใจได้ พอมันโตขึ้น ผมเหมือนเก็บประสบการณ์ทุกๆ ความรักมาปรับตัว มาแก้ไขตัวเอง เราจะมองเป็นหลักเลย เราผิดพลาดอะไรถ้าเราย้อนกลับไปได้เราคงไม่ทำอย่างนี้ เก็บตรงนั้นมา แล้วมาพัฒนาตัวเอง จนคิดว่าโอเคแหละวันนี้เราเต็มที่สุดๆเราก็ยังไม่ประสบความสำเร็จทางด้านนี้อยู่ดี ผมก็เฉยๆ ไปเลย ไม่เป็นไรตอนนี้เราใส่ใจกับทุกเรื่อง แต่ความรักเป็นเรื่องสุดท้าย จริงเหรอ?
ท็อป : จริงพี่
ความรักครั้งไหนที่รู้สึกเจ็บสุด?
ท็อป : ผมว่ามันก็เจ็บทุกครั้ง มันเจ็บไม่เหมือนกัน เลเวลความเจ็บมันแตกต่างกัน ส่วนหนึ่งด้วยวัยด้วย ความคิดด้วยผมว่าความรักมันเจ็บหมด
เห็นว่ามีครั้งหนึ่งที่คุณยอมเปลี่ยนตัวเองเพื่อคนคนนี้ แต่ก็ยังเจ็บอยู่ดี?
ท็อป : ใช่ครับ คือต้องอธิบายว่าเขาไม่ได้บังคับให้เราเปลี่ยนนะ แต่เมื่อเรารักคนคนหนึ่งมากๆ เราจะไม่รู้หรอกว่าเราเปลี่ยนไปแค่ไหน มันจะมีแค่ความคิดของผมว่าเราคิดถึงเขาตลอดเวลา ทุกอย่างคือเขาหมด แต่ว่ามันไม่ใช่ไม่ดี แต่เราผ่านมาแล้ว เราเลยรู้ว่าการที่เราจะมีความสุขเป็นคนรักที่แฮปปี้กันได้ มันก็ต้องเป็นตัวเองด้วย ก็มีการปรับบางอย่างเพื่อเขา สิ่งที่มันทำให้ไม่เวิร์กสำหรับผมคือผมสูญเสียความเป็นตัวเองเยอะเกินไปหน่อย ผมไม่ได้ไปโทษใคร ผมโทษตัวผมเองที่ผมไม่รู้ตัว
แล้วครั้งไหนที่อกหัก 6 เดือนกินเหล้าทุกเย็น?
ท็อป : ตอนนั้นเราไม่รู้ตัวว่าเรารักเขา ยังเด็กนิดนึง เที่ยวอยู่ ก็คุยๆ แล้วแฮปปี้ดี ผมว่าผู้ชายบางครั้งเราไม่ได้คิดว่าเรารักเขามาก เราก็อยากคบกับเขาไปเรื่อยๆ แต่พอวันหนึ่งมันเลิกกัน พอไม่มีเขามันค่อยรู้สึกทีหลังว่าเห้ย...นี่เรารักเขามากขนาดนี้เลยเหรอ แล้วไม่รู้จะหาทางออกยังไง พอมีวันหยุด วันว่างก็ไปแฮงค์เอ้าท์กับเพื่อน เผื่อจะดีขึ้น ก็ไปทุกสถานที่ที่เราเคยไปด้วยกัน แทนที่จะดีขึ้น มันหนักกว่าเดิมอีก
แล้วครั้งไหนอกหักแล้วต้องเข้าวัดพึ่งธรรมะ?
ท็อป : พอ 6 เดือนเรารู้แล้วว่าการกินเหล้าสำหรับเรามันไม่ช่วยอะไร ก็ต้องหาวิธีอื่น คือบ้านผมเป็นสายทำบุญอยู่แล้วเราก็ไปหาหลวงตา ไปอะไร ก็เลยลองดู งั้นเราไม่กินเหล้า เราจะเข้าวัด ฟังหลวงตาเทศน์ ลองกลับมาสวดมนต์ นั่งสมาธิ ไปปฎิบัติธรรมดูว่ามันช่วยเราได้มากแค่ไหน ปรากฎว่ามันช่วย จากที่อยู่คนเดียวจะคิดถึง ร้องไห้ มันก็เริ่มร้องไห้น้อยลง ใจมันเลาขึ้น มันเริ่มยอมรับความจริงได้มากขึ้น วันหนึ่งเราฟังหลวงตาเขาบอกว่า จำไว้นะความทุกข์มันมีอยู่อย่างนี้แหละ ช่างมันไว้ในใจ ดูสิเราแบกรับมันไว้ได้ยังไง พอเสร็จปุ๊บดูสิว่าอะไรทำให้เราผ่านมันไปได้ นั่นคือการยอมรับความจริงว่าเราไม่ได้มีกันและกันแล้ว
เป็นไหมทุกวันนี้ยังพึ่งธรรมะอยู่ไหม?
ท็อป : เป็นครับ
ตอนนี้คุณโสดเหรอ?
ท็อป : ครับ โสดมาน่าจะ 2 ปีแล้ว
สเปคยังไง?
ท็อป : สเปคไม่ได้ติดอะไรว่าจะเป็นในวงการหรือนอกวงการ ถ้าสเปคโดยรวมก็ขาว
เวลามีความรักคุณจะไม่ออกมาพูดเลย คุณจะเงียบมาก ไม่ออกมาพูดว่าใครผิด ใครถูก ทำไมถึงเลือกทำวิธีนั้น?
ท็อป : ผมรู้สึกว่าผมเป็นผู้ชาย การที่ออกมาพูดอะไรมันดูไม่ค่อยแมนเท่าไหร่ คุณแม่ผมสอนเสมอว่าสมมติวันหนึ่งผมมีครอบครัว ลูกจำไว้นะเวลาทะเลาะกับแฟนหรือภรรยา หรืออะไรก็แล้วแต่ มันเป็นเรื่องภายในครอบครัว ห้ามเอาไปพูดกับคนอื่น ผมเลยรู้สึกว่าการที่เราเคยคบกัน เคยรู้สึกดีๆ ต่อกัน แล้วเราเป็นผู้ชาย มันจะเป็นอะไรยังไงก็แล้วแต่ ใครจะผิด ใครจะถูกยังไงไม่สนใจ แต่ผมเลือกที่จะไม่พูด เพราะไม่ไม่ชอบการที่เราออกมา คนนี้พูดอย่างหนึ่ง ผมพูดอย่างหนึ่ง มันไม่น่ารักสำหรับความรู้สึกผม แล้วผมเป็นผู้ชาย ผมไม่โอเค
สมมติว่าเลิกกันแล้ว เป็นเพื่อนกับแฟนเก่าได้ไหม?
ท็อป : ก็ได้นะ สำหรับผม ผมธรรมดาเฉยๆ ไม่ได้ซีเรียวอะไร
คุณเห็นผี?
ท็อป : ตอนแรกไม่ค่อยมั่นใจ แต่พอเห็นบ่อยๆ ก็คิดว่าใช่ ครั้งแรกเห็นที่คอนโด ตอนนั้นย้ายเข้ามาใหม่ๆ แล้วไปไหว้ศาล ตอนไหว้เสร็จผมเห็นผู้หญิงใส่สไบ อยู่ชั้นกลางๆ หน่อย มองลงมาตาดุๆ หน่อย คือเราไหว้อยู่หลับตาแล้วเห็นเขาอยู่ตรงหน้าต่างแล้วจ้องมาที่เรา
ตอนบวชก็เจอ?
ท็อป : เจอ น่าจะเป็นคืนที่2 อยู่กุฏิคนเดียว ประมาณตี1 เห็นผู้ชายใส่ชุดขาวแก่ๆ หน่อย แต่อยู่ไกลๆ นะ เดินมาเรื่อยๆแต่ไม่ถึงเราสักทีนะ แล้วหมาหอนแบบดังแบบผิดสังเกต ซึ่งมาจากกุฏิพระเพื่อนที่บวชพร้อมๆ กัน ตอนเช้าเราไปถามว่าท่านๆ เมื่อคืนได้ยินเสียงหมาหอนไหม ผมนอนไม่หลับเลย เขาบอกไม่เห็นมีอะไรเลย ผมหลับสบายเลย เราก็ใจไม่ดีแล้ว แต่ก็ไม่ได้บอกใคร ถามแค่นี้ก็เงียบ
ครั้งที่ไปที่สึนามิล่ะ?
ท็อป : ตอนนั้นไปคอนเสิร์ตแล้วกลับมาดึกแล้ว ตอนแรกก็คุยกันว่าเดี๋ยวอาบน้ำเสร็จจะออกไปแฮงค์เอ้าท์กันนิดหนึ่งตอนนั้นประมาณ 5 ทุ่มครึ่งแล้ว ผมอาบน้ำเสร็จแต่งตัว เปิดทีวี ได้ยินเสียงคนเคาะประตู เราคิดว่าพวกพี่ๆ มาชวนไปแล้ว ก็เลยเปิดประตูไปไม่มีใคร แล้วมันเป็นบังกะโลเก่าๆ ก็ไม่มีใคร เดินออกไปสัก 10 เมตร ไม่มีใครเลย เงียบกริบเลย ใจไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เราก็เลยกลับมาห้องก่อน เปิดไฟหมดทุกดวง นอนดูทีวีต่อ กะจะไม่ออกไปแล้ว กำลังจะหลับก็เคาะอีกที ผมก็ลองอีกที ลุกไปเปิด คราวนี้ไม่มีอีก คราวนี้ผมไม่สนใจอะไรแล้ว ปิดประตู ล็อค เปิดไฟยันห้องน้ำ เอาผ้าห่มมาคลุมแล้ว วันนั้นลมก็แรง เสียงกึกกักๆ เต็มไปหมด แทบไม่ได้นอน
ได้ข่าวว่าใบ้หวยแม่น?
ท็อป : ไม่พี่ ล่าสุดไปถ่ายซีรีส์ แล้วทำผมอยู่ พี่ๆ เขาชอบเล่นหวยกัน เขาก็มาถามว่าพี่ท็อปชอบเลขอะไร ปกติผมไม่เล่น ผมไม่รู้ก็พูดๆ ไปแต่ดันถูกติดตามชมรายการคุยแซ่บShow ทุกวันจันทร์-วันศุกร์ เวลา13.15-14.15 น. ทางช่อง one31 Facebook Page : คุยแซ่บShow รับชมย้อนหลังได้ที่ Youtube Channel : Orange Mama
คลิปสัมภาษณ์ ท็อป จรณ https://youtu.be/BiNPC-tsChc