happy on February 23, 2022, 11:40:10 PM
ไทยยูเนี่ยนโชว์ผลประกอบการปี 64 แกร่งสุดเป็นประวัติการณ์
ตอกย้ำผลสำเร็จมาจากการวางกลยุทธ์ธุรกิจระยะยาวฝ่าวิกฤตโควิด

-   กำไรสุทธิปี 64 พุ่งทะยานเติบโต  28.3 เปอร์เซ็นต์
-   ยอดขายโต 6.5 เปอร์เซ็นต์ อยู่ที่ 141,048 ล้านบาท
-   ปันผลครึ่งหลังปี 64 อยู่ที่ 0.50 บาทต่อหุ้น รวมปันผลทั้งปี 64 เป็น 0.95 บาทต่อหุ้น



กรุงเทพมหานคร – 23 กุมภาพันธ์ 2565 –บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) รายงานผลประกอบการไตรมาส 4 และตลอดปี 2564  โชว์ผลงานยอดเยี่ยมทั้งรายไตรมาสและผลประกอบการประจำปีที่ดีที่สุดเป็นประวัติการณ์  จากปัจจัยธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งและแช่เย็นที่มีการฟื้นตัวและความต้องการอาหารสัตว์เลี้ยงที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง  ผลงานยอดขายที่ทำลายสถิตินับเป็นผลสำเร็จจากกลยุทธ์ธุรกิจระยะยาวที่บริษัทตั้งไว้ รวมถึงการมีวินัยทางการเงินและความสามารถในการทำกำไรของบริษัทที่ดำเนินมาโดยตลอด

โดยยอดขายในไตรมาส 4 ปี 2564 สูงสุดเป็นประวัติการณ์อยู่ที่ 38,501 ล้านบาท  เพิ่มขึ้น 15.1 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า เนื่องจากธุรกิจอาหารทะเลแช่งแข็งและแช่เย็นที่ฟื้นตัวในสหรัฐอเมริกา ภายหลังมาตรการป้องกันโควิด-19 มีการผ่อนคลายและร้านอาหารและโรงแรมเริ่มทยอยเปิดให้บริการ  นอกจากนี้ยอดขายจากหน่วยธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงและธุรกิจเพิ่มมูลค่ายังเติบโตต่อเนื่อง ทำให้กำไรสุทธิของไทยยูเนี่ยนในไตรมาสสุดท้ายของปีที่ผ่านมาทะยานขึ้นถึง 32.5 เปอร์เซ็นต์ อยู่ที่ 1,930 ล้านบาท แม้จะประสบสภาวะการเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกก็ตาม


ยอดขายธุรกิจอาหารทะเลบรรจุกระป๋องในช่วงสามเดือนสุดท้ายของปีเติบโต 4.9 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าด้วยการปรับขึ้นราคาขายสินค้า ส่วนยอดขายธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งและแช่เย็นเติบโตขึ้น 21 เปอร์เซ็นต์ จากการฟื้นตัวของธุรกิจร้านอาหารและโรงแรม ในขณะที่ยอดขายธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงและสินค้าเพิ่มมูลค่าเติบโตขึ้นถึง 27.2 เปอร์เซ็นต์จากความต้องการสินค้าที่สูงขึ้นมากและฐานลูกค้าที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง


สำหรับผลประกอบการตลอดทั้งปี ไทยยูเนี่ยนสามารถทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมเป็นประวัติการณ์ โดยมีกำไรสุทธิเติบโต 28.3 เปอร์เซ็นต์ อยู่ที่ระดับ 8,013 ล้านบาท  ยอดขายเพิ่มขึ้น 6.5 เปอร์เซ็นต์อยู่ที่ 141,048 ล้านบาท  ส่วนกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น 9.9 เปอร์เซ็นต์อยู่ที่ 25,727 ล้านบาท

ไทยยูเนี่ยนประกาศปันผลงวดการดำเนินงานในครึ่งปีหลังจำนวน 0.50 บาทต่อหุ้น รวมปันผลหุ้นตลอดปีอยู่ที่ 0.95 บาทต่อหุ้น เป็นระดับที่สูงสุดของบริษัทสะท้อนผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง


นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ในปีที่ผ่านมา ไทยยูเนี่ยนทำผลงานได้ดีเยี่ยมเป็นประวัติการณ์ ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดที่เกิดขึ้นทั่วโลก ทั้งในแง่ของรายได้และกำไรสุทธิ จากยอดขายที่เติบโตและความสามารถในการทำกำไร ด้วยกลยุทธ์ธุรกิจระยะยาวของบริษัททำให้ธุรกิจหลักของเราแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ในขณะเดียวกันก็ต่อยอดธุรกิจใหม่ๆ ที่เพิ่มมูลค่า  นอกจากนี้บริษัทยังเน้นในเรื่องของวินัยทางการเงินที่สร้างความสามารถในการทำกำไรและความยั่งยืน ทั้งหมดนี้ทำให้ผลประกอบการของเราในปีที่ผ่านมาดีเยี่ยม  พวกเราทุกคนที่ไทยยูเนี่ยนทุ่มเททำงานหนักเพื่อให้ธุรกิจของบริษัทดำเนินได้อย่างต่อเนื่องในทุกด้าน อีกทั้งยังผลักดันให้เกิดธุรกิจที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น ทั้งหมดนี้ส่งผลให้เราสามารถเพิ่มการจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นและคงอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนอยู่ที่ระดับ 0.99 เท่า”

ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาด นอกจากไทยยูเนี่ยนจะบริหารธุรกิจให้ผ่านวิกฤตไปได้แล้ว ทีมผู้บริหารยังมองถึงการพัฒนาธุรกิจให้มีแข็งแกร่งมากขึ้นกว่าเดิม แม้ว่าจะต้องดำเนินธุรกิจท่ามกลางวิกฤตโควิด แต่ไทยยูเนี่ยนยังมองไปยังอนาคต โดยมีการลงทุนกลยุทธ์ทั้งในยุโรปและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปีที่ผ่านมา ซึ่งจะมีส่วนสำคัญในการเร่งการเติบโตในอนาคต  ไทยยูเนี่ยนยังได้ตั้งบริษัท ไทยยูเนี่ยน ไลฟ์ไซเอนซ์ จำกัด ขึ้นเพื่อเข้ามาดูแลการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ ส่งตรงถึงผู้บริโภค ซึ่งนับเป็นธุรกิจที่มีการเติบโตเร็ว

ในปี 2564 บริษัท ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือยังได้จดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งจะรองรับการเติบโตและขยายธุรกิจผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์น้ำในเอเชีย  ไทยยูเนี่ยนยังให้ความสำคัญกับธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมีการเปลี่ยนชื่อ บริษัท สงขลาแคนนิ่ง จำกัด (มหาชน) หนึ่งในบริษัทในเครือ ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป เป็น บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เพื่อรองรับการพัฒนาและขยายกิจการในธุรกิจสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงและธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ไทยยูเนี่ยนมีแผนจะนำบริษัท ไอ-เทล จดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและเสนอขายหุ้นแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรกในปีนี้



ความยั่งยืนยังคงเป็นหัวใจในการดำเนินธุรกิจของไทยยูเนี่ยน บริษัทได้รับการจัดอันดับในดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์เป็นปีที่ 8 ติดต่อกัน และได้รับการจัดอันดับเป็นที่ 2 ในกลุ่มอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์อาหาร ในปี 2564  ไทยยูเนี่ยนได้แต่งตั้งนายอดัม เบรนนัน เป็นผู้อำนวยการกลุ่มด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน เพื่อเดินหน้างานด้านความยั่งยืนในฐานะผู้นำในเวทีโลกต่อไป

ในปี 2564 ไทยยูเนี่ยนได้เริ่มก้าวสู่ Blue Finance โดยเป็นบริษัทแรกๆ ในประเทศไทยที่เดินหน้าการเงินที่ส่งเสริมความยั่งยืนและตั้งเป้าหมายการทำงานที่สนับสนุนการอนุรักษ์มหาสมุทร และผลสำเร็จตามเป้าหมายจะมีผลต่ออัตราดอกเบี้ยของเครื่องมือการเงินชนิดนั้นๆ ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อหรือหุ้นกู้โดยในปีที่ผ่านมาบริษัทได้รับสินเชื่อและออกหุ้นกู้ที่ส่งเสริมความยั่งยืนรวมทั้งสิ้น 27,000 ล้านบาท โดยไทยยูเนี่ยนได้ตั้งเป้าหมายระยะยาว ให้ 75 เปอร์เซ็นต์ของเงินกู้ยืมระยะยาวของบริษัทเป็น Blue Finance ภายในปี 2568 ซึ่งเพิ่มจาก 50 เปอร์เซ็นต์ ณ สิ้นปี 2564


ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากการแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่ธุรกิจทั่วโลกต้องรับมือ   ไทยยูเนี่ยนยังคงเดินหน้าให้ความสำคัญกับสุขภาพและความปลอดภัยของพนักงานทั่วโลกและดูแลสังคมและชุมชนในพื้นที่ที่บริษัทดำเนินธุรกิจอยู่  “สิ่งที่สำคัญเท่ากับการดำเนินธุรกิจก็คือการดูแลพนักงานของเราทั่วโลก ทั้งเอเชีย แอฟริกา ยุโรปและอเมริกา ให้แข็งแรงและปลอดภัย” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารไทยยูเนี่ยนกรุ๊ป กล่าวเสริม “นอกจากนี้ นับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดขึ้นในช่วงปลายปี 2563 ไทยยูเนี่ยนได้ริเริ่มโครงการไทยยูเนี่ยนแคร์ และได้บริจาคอาหารมากกว่า 4 ล้านชุด ทั้งอาหารสำหรับคนและสัตว์เลี้ยง รวมถึงเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ การช่วยเหลือด้านงบประมาณ ให้กับผู้ที่ประสบความยากลำบากในชุมชนและพื้นที่ต่างๆ ทั่วโลก”

สำหรับปี 2565 ไทยยูเนี่ยนยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจโดยมุ่งเน้นในเรื่องอัตราการทำกำไรที่สูงขึ้นและธุรกิจใหม่ที่เพิ่มมูลค่า เช่น ส่วนประกอบอาหาร อาหารเสริมเพื่อสุขภาพและโปรตีนทางเลือก เพื่อให้สอดรับกับตลาดที่เติบโตเร็วในธุรกิจเหล่านี้

นายธีรพงศ์ กล่าวต่อไปว่า “การเดินหน้าทางธุรกิจของเราสอดรับกับเป้าหมายของไทยยูเนี่ยนที่มุ่งสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้กับผู้คน ควบคู่ไปกับการดูแลทรัพยากรทางทะเลให้อุดมสมบูรณ์ หรือ Healthy Living, Healthy Oceans ที่นอกจากจะตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคแล้ว เรายังมุ่งมั่นที่จะพัฒนาสินค้าเราด้วยนวัตกรรมที่ช่วยให้เราสามารถดูแลสุขภาพและความเป็นอยู่ของผู้คน”​

“ในปี 2565 นี้ แม้ว่าจะยังเป็นปีที่ท้าทายสำหรับทุกคน ทั้งอัตราเงินเฟ้อ การแพร่ระบาด ห่วงโซ่อุปทาน การขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ ไทยยูเนี่ยนจะยังเดินหน้าอย่างเต็มที่เพื่อสร้างผลงานให้ได้ดีเหมือนปีที่ผ่านมา”​นายธีรพงศ์กล่าวทิ้งท้าย


###

เกี่ยวกับ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)

บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เป็นผู้นำด้านอาหารทะเลระดับโลกที่นำผลิตภัณฑ์อาหารทะเลคุณภาพสูง ดีต่อสุขภาพ อร่อย และสร้างสรรค์ มาสู่ลูกค้าทั่วโลกมาเป็นกว่า 45 ปี

ปัจจุบัน ไทยยูเนี่ยนถือได้ว่าเป็นหนึ่งในผู้ผลิตอาหารทะเลชั้นนำของโลกและเป็นหนึ่งในผู้ผลิตปลาทูน่าในบรรจุภัณฑ์ชนิดต่างๆ ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมียอดขายต่อปีเกินกว่า 141,000 ล้านบาท (4,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) และแรงงานทั่วโลกกว่า 44,000 คน ที่ทุ่มเทให้กับการบุกเบิกผลิตภัณฑ์อาหารทะเลที่สร้างสรรค์และยั่งยืน

ไทยยูเนี่ยนเป็นเจ้าของแบรนด์ทั่วโลก ประกอบด้วย แบรนด์ที่เป็นผู้นำตลาดโลกอย่าง Chicken of the Sea, John West, Petit Navire, Parmentier, Mareblu, King Oscar และ Rügen Fisch รวมทั้งแบรนด์ชั้นนำในประเทศไทย ได้แก่ ซีเล็ค ฟิชโชคิวเฟรช โมโนริ OMG MEAT เบลลอตต้า และมาร์โว่ นอกจากนี้ยังมีส่วนประกอบอาหารภายใต้แบรนด์ UniQ™BONE และ UniQ™DHA และผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพแบรนด์ ZEAVITA

จากพันธกิจในการเป็นบริษัทแห่งนวัตกรรมและดำเนินงานด้วยความรับผิดชอบทั่วโลก ไทยยูเนี่ยนภูมิใจที่ได้เป็นหนึ่งในภาคีข้อตกลงโลกแห่งสหประชาชาติ (United Nations Global Compact) และเป็นผู้ร่วมก่อตั้งมูลนิธิเพื่อความยั่งยืนของอาหารทะเลสากล (International Seafood Sustainability Foundation: ISSF) ในปี 2558 ไทยยูเนี่ยนเปิดตัวกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน SeaChange® และดำเนินการในเรื่องดังกล่าวอย่างต่อเนื่องเรื่อยมาโดยตลอด จนส่งผลให้ไทยยูเนียนได้รับการคัดเลือกให้เป็นสมาชิกของดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (Dow Jones Sustainability Indices หรือ DJSI) สำหรับตลาดเกิดใหม่ 8 ปีติดต่อกัน โดยในปี 2564 ได้รับเลือกเป็นบริษัทอันดับ 2 ของกลุ่มอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์อาหาร นอกจากนี้ไทยยูเนี่ยนยังได้รับการคัดเลือกให้ติดอันดับดัชนี FTSE4Good Emerging Index เป็นปีที่ 5 ติดต่อกัน