มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 30 พลิกยานยนต์...ฝ่าวิกฤติ
ในภาวะวิกฤติเศรษฐกิจที่ลุกลามทั่วโลก งานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ปฏิเสธการถูกจับตามองไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นศักยภาพแห่งการเป็นเบอร์หนึ่งของงานมอเตอร์โชว์ประเทศไทย หรือการที่อุตสาหกรรมยานยนต์ถือเป็นอุตสาหกรรมหลักที่สามารถชี้อนาคตและพลิกเศรษฐกิจของประเทศ
ด้วยประการฉะนี้ ทุกความเคลื่อนไหวของ ดร.ปราจิน เอี่ยมลำเนาในฐานะประธานจัดงาน จึงเป็นโฟกัสที่ถูกจับตามองด้วยเช่นกัน
“งานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ในปีนี้ นับว่าเป็นปีที่พิเศษที่สุด เนื่องจากปีนี้ถือเป็นการจัดงานครั้งที่ 30 ระหว่างวันที่ 26 มีนาคม-6 เมษายน ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา ภายใต้คอนเซ็ปต์งาน “ยานยนต์ คน รักษ์ธรรมชาติ” (Green Life on Wheels) ที่ยังคงตอบสนองนโยบายพลังงานทดแทนเหมือนเช่นปีที่ผ่านมา รวมทั้งช่วยกันลดปัญหาโลกร้อนจากมลพิษที่รถยนต์ปล่อยออกมาในอากาศ พร้อมกันนี้ยังช่วยผลักดันให้อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยมีการพัฒนาทัดเทียมเท่ากับต่างประเทศ”
ด้านความพร้อมของงานในปีนี้ ดร.ปราจิน กล่าวว่า “ปีนี้...เป็นการจัดงานมอเตอร์โชว์ครอบรอบ 30 ปี อย่าถามว่า...จัดใหญ่มั้ย เพราะผมจัดงานใหญ่ทุกครั้ง ปีนี้บอกตรงๆ ว่าต้องการสวนเศรษฐกิจ อยากชักชวนให้ทุกบริษัทที่เข้าร่วมงาน มาช่วยกันทำวิกฤติให้เป็นโอกาส ผมว่าประเทศไทยยังมีคนอยากซื้อรถอีกเยอะ นอกจากนี้ยังได้ขยายวันเข้าชมจาก 10 วัน เป็น 12 วัน สำหรับบุคคลผู้สนใจทั่วไป และยังคงวัน VIP และวัน PRESS ไว้เช่นเดิม จึงทำให้วันจัดงานในปีนี้มีทั้งหมด 14 วัน เพื่อให้ผู้ร่วมงานมีความคุ้มค่าในการลงทุน และผู้สนใจได้มีโอกาสเข้าร่วมชมงานได้มากยิ่งขึ้น”
สำหรับพื้นที่ในการจัดงานปีนี้ยังยิ่งใหญ่เหมือนกับทุกปีที่ผ่านมา การจัดงานปัจจุบันถือว่าไม่น้อยและไม่มากจนเกินไป ผู้ที่เข้ามาชมงานก็หมุนเวียนเข้า-ออก โดยตลอด ส่วนทางค่ายรถยนต์ยังคงเข้าร่วมภายในงานอย่างเต็มพื้นที่เช่นเดิม แม้ว่าประเทศไทยจะได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจโลก ซึ่งเป็นเรื่องที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ งานทุกอย่างถูกวางไว้ล่วงหน้า เราก็ต้องดำเนินการจัดงานมอเตอร์โชว์ต่อไป ไม่ใช่ว่าเศรษฐกิจไม่ดี แล้วเราจะยกเลิกการจัดงาน ซึ่งไฮไลต์ในปีนี้ก็มีอยู่หลายค่าย ที่ยึดเอาเวทีนี้เป็นการเปิดตัวแนะนำยานยนต์รุ่นใหม่ของโลก อาทิ เมอร์เซเดส-เบนซ์ E-Class คูเป้, BMW X6, BMW series 7, Z4 และเปอโยต์ 407 ใหม่ และบางบริษัทก็นำรถต้นแบบมาให้ชมกัน”
“ด้านรถจักรยานยนต์ ทั้ง 4 บริษัทหลักมากันครบ ฮอนด้า ยามาฮ่า ซูซูกิ และคาวาซากิ โดยจะมีรถมอเตอร์ไซค์ จากประเทศจีน มาร่วมสร้างสีสันด้วย ซึ่งทุกปี รถมอเตอร์ไซค์ ก็จะมีการจัดกิจกรรม เพื่อเป็นการสร้างสีสันให้กับงาน เป็นกิจกรรมทั้งกลางแจ้งและภายในบู๊ธ”
ในส่วนของกิจกรรมภายต่างๆ ภายในงานนั้น ผู้จัดยังคงได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจาก Car Club ไม่ว่าจะเป็นคลาสิกไบค์ ซูเปอร์คาร์ ที่มาเป็นส่วนหนึ่งกับสีสันภายในงาน
นอกจากการเปิดตัวรถรุ่นใหม่ภายในงานแล้ว อีกสิ่งที่ผู้บริโภคจะได้เห็นและได้สัมผัสก็คือ “คอนเซ็ปต์คาร์” รถแนวคิดต่างๆ ที่ทางค่ายรถยนต์ต่างนำเข้ามาอวดโฉมเพื่อให้คนไทยได้สัมผัสอย่างใกล้ชิด โดยไม่ต้องเสียเงินทองเสียเวลาไปหาชมกันถึงต่างประเทศ แม้ว่าจะต้องมีการลงทุนสูงทั้งในเรื่องของการขนส่ง และการดูแลก็ตาม ทั้งนี้ก็เป็นการสร้างความเชื่อมั่นของค่ายรถยนต์ว่า เขาไม่ได้หยุดนิ่งเพียงแค่นี้ แต่ได้เตรียมพัฒนารถของตนเองไปสู่อนาคต ไม่ว่าจะเป็นดีไซน์หรือเทคโนโลยีก็ตาม
ส่วนบัตรเข้าชมงานในปีนี้ มีการปรับเปลี่ยนราคาเล็กน้อย จากราคาจำหน่ายที่ 80 บาท เพิ่มมาเป็นราคา 100 บาท อย่างไรก็ตาม ยังสามารถนำหางบัตรส่งเข้าชิงรางวัลได้เช่นเคย อาทิ รถเก๋ง และรถกระบะ รถจักรยานยนต์ และรางวัลอื่นๆ ได้เหมือนทุกปี ซึ่งในปีนี้เนื่องจากครบรอบ 30 ปีของการจัดงาน เราจึงได้เปิดโอกาสในการจับฉลากให้แก่ผู้โชคดีในปีนี้มากยิ่งขึ้น โดยมีการเพิ่มของรางวัลให้มากขึ้น เพื่อให้ผู้ที่เข้ามาชมงาน ได้มีโอกาสลุ้นรางวัลมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ยังได้ร่วมมือกับทาง AIS จัดกิจกรรมส่ง SMS ลุ้นโชค ฮอนด้า ซิตี้ ใหม่ มูลค่า 549,000 บาท ตั้งแต่วันนี้-15 พฤษภาคม 2552 ยิ่งส่งมาก ยิ่งมีสิทธิ์มาก
ส่วนเรื่องของยอดจองรถและแคมเปญภายในงาน ดร.ปราจิน กล่าวว่า “บริษัทรถยนต์ต้องเปลี่ยนวิธีการนำเสนอให้แตกต่างจากที่ผ่านมา ไม่ใช่คิดแค่แคมเปญ ลด แลก แจก แถม ต้องคิดให้คนซื้อรถรู้สึกว่า ซื้อแล้วคุ้มค่า ซื้อแล้วได้ประโยชน์สูงสุด ประเทศไทยเป็นเมืองเกษตรกรรม รถยนต์ยังเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการดำรงธุรกิจในชีวิตประจำวัน คนไทยยังมีเงินเก็บไว้จับจ่ายใช้สอย เพียงแต่อาจจะระมัดระวังมากขึ้น เลือกซื้อสิ่งที่จำเป็นและยังประโยชน์สูงสุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการประกอบธุรกิจ ผมว่าคนไทยยังมีเงินพอ และกล้าที่จะซื้อ เพราะผมเชื่อว่า ภายในงานมอเตอร์โชว์ในปีนี้ผู้เข้าชมงานจะได้เห็นแคมเปญที่น่าตื่นเต้นจากบรรดาค่ายรถอย่างแน่นอน”
“ผมฝากให้บริษัทรถยนต์เป็นข้อคิด จำนวนผู้เข้าชมงานมีกว่า 1.5 ล้านคน แต่ยอดจองรถยนต์แค่ 1.5 หมื่นคัน คิดเป็น 1 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ลองเอาโจทย์ไปคิดเป็นการบ้าน จะทำอย่างไร? ยอดจองถึงจะสูงถึง 2 เปอร์เซ็นต์ ผมว่า แค่ 2 เปอร์เซ็นต์นี่ กระตุ้นเศรษฐกิจได้ ฉะนั้นผมเชื่อว่า ในปีนี้ยอดจองรถในงานน่าจะมีมากกว่า 1.5 หมื่นคันอย่างแน่นอน”
“สิ่งสำคัญ...ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น อย่าตื่นตระหนก แก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ ผมยังยืนยันว่า การจัดงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ยังเป็นทางออกของการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ และงานฉลองครบรอบ 30 ปี ผมจัดอย่างยิ่งใหญ่แน่นอน คนไทยต้องช่วยๆ กันครับ”
สำคัญที่สุด ภาครัฐต้องจริงใจกับการแก้ปัญหา ไม่ใช่สร้างปัญหา โดยเฉพาะทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้อง กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการคลัง ที่ต้องดูแลเรื่องภาษีทุกเรื่องต้องชัดเจนและรวดเร็ว
ในส่วนบรรยากาศของงานนั้น “ดร.ปราจิน” คงตอกย้ำถึงความยิ่งใหญ่ เพื่อเฉลิมฉลองการจัดงานครบรอบ 30 ปี
“ผมเรียนไว้ตั้งแต่ต้นแล้วว่า ปีนี้เป็นการฉลองการจัดงานครบ 30 ปี ไม่ว่าจะเกิดวิกฤติอย่างไร ผมก็ต้องจัดงานให้ยิ่งใหญ่ เพราะได้เชิญสื่อต่างชาติ ทั้งญี่ปุ่น เอเชีย อาเซียน และอเมริกา ไว้เรียบร้อยแล้ว ผมเชื่อว่าสื่อเหล่านี้จะทำให้เกิดภาพที่ดีกับอุตสาหกรรมยานยนต์ไปทั่วโลก”
อย่างไรก็ตาม “ผมอยากเชื้อเชิญคนไทยที่มีโอกาส ให้เดินทางมาเยี่ยมชมงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 30 ซึ่งผมจัดไว้อย่างยิ่งใหญ่ และมีสิ่งอำนวยความสะดวกครอบครัน ไม่ว่าจะเป็นรถรับส่งปรับอากาศชั้นดี ที่พีกผ่อนระหว่างชมงาน สิ่งสำคัญ...นี่เป็นอีกงาน ที่เป็นหน้าเป็นตาของประเทศไทย เป็นงานหลักของอุตสาหกรรมยานยนต์ ที่จะเป็นส่วนสำคัญกับการพลิกฟื้นเศรษฐกิจของประเทศไทย” ดร.ปราจิน กล่าวทิ้งท้าย
และในโอกาสนี้ ผู้สื่อข่าวจาก มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ยังได้มอบโล่เกียรติยศ ให้กับผู้จัด งานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ เนื่องในโอกาสครบรอบ 30 ปีของการจัดงานอีกด้วย