ปุ๋ยตรามงกุฎสบโอกาสปีทองเตรียมบุกตลาดเต็มพิกัด หลังผ่านการพิสูจน์จากเกษตรกรว่าใช้แล้วได้ผล เชื่อมั่นขึ้นแท่น 1 ใน 3 ผู้นำตลาดปุ๋ย ภายใน 3 ปีแน่นอน
ปุ๋ยตรามงกุฎพร้อมบุกตลาดเต็มสูบ หลังเกษตรกรตอบรับและตลาดปุ๋ยเข้าสู่ช่วง “ขาขึ้น” ยืนยันผลิตปุ๋ยคุณภาพ และมีความพร้อมครบถ้วนทุกด้าน แถมข้อได้เปรียบที่มีโรงงานของตัวเอง ผลิตปุ๋ยปั้นเม็ดและปุ๋ยสูตรต่างๆ ครบถ้วนสำหรับพืชเศรษฐกิจหลัก ตอบสนองทั้งกิจการในกลุ่มและเกษตรกรไทย ให้ได้ใช้ของดีมีคุณภาพโดยเท่าเทียม เผยจะทุ่มงบทำการตลาดครบวงจรและสร้างแบรนด์ด้วยกลยุทธ์ผู้นำ พร้อมให้ความมั่นใจคู่ค้า เชื่อมั่นปุ๋ยตรามงกุฎจะก้าวขึ้นสู่ 1 ใน 3 ผู้นำของตลาดปุ๋ยเมืองไทย ภายในปี 2555 แน่นอน
นายประเสริฐ เมฆวัฒนา กรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มบริษัทพรรณธิอร จำกัด กล่าวว่า เนื่องจากกลุ่มพรรณธิอรทำการเกษตรและเกษตรแปรรูป เพราะฉะนั้นจึงเป็นตรรกอันเหมาะสมที่จะต้องผลิตปุ๋ยขึ้นใช้เอง ดังนั้น จึงจัดตั้งบริษัท เทอราโกร เฟอร์ติไลเซอร์ จำกัด ขึ้นเมื่อปี 2551 เพื่อดำเนินการผลิตปุ๋ยเคมี ภายใต้แบรนด์ “ตรามงกุฎ” โดยมีโรงงานของตัวเอง ที่ อ.นครหลวง จ.อยุธยา มีกำลังการผลิตปุ๋ยปั้นเม็ด ปีละกว่า 250,000 ตัน และสามารถขยายกำลังการผลิตได้สูงสุดถึงปีละ 1,000,000 ตัน บนเนื้อที่ 150 ไร่ อยู่ติดกับท่าเรือขนาดใหญ่ จึงสามารถรองรับการขนถ่ายวัตถุดิบจากต่างประเทศ และจัดส่งผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาดภายนอก นอกจากนี้ยังมีโกดังวัตถุดิบขนาดใหญ่ ทำให้สามารถบริหารต้นทุนการนำเข้าวัตถุดิบได้เป็นอย่างดี
นับเป็นข้อได้เปรียบทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญข้อหนึ่ง
“ปุ๋ยที่เราผลิตนี้ มิใช่เพียงแต่มีคุณภาพดีที่สุด หากยังเป็นปุ๋ยครบสูตรด้วย ภายใต้ Concept ปุ๋ยขยัน ทำงานทุกเม็ด โดยทุกขั้นตอนการผลิตถูกควบคุมโดยระบบคอมพิวเตอร์ จึงทำให้สามารถควบคุมคุณภาพของปุ๋ยทุกเม็ดได้และนอกจากผลิตขึ้นใช้เองแล้ว เรายังมุ่งที่จะเผยแพร่สินค้าคุณภาพของเราออกไปในวงกว้างด้วยความมุ่งมั่นที่จะให้เกษตรกรได้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดเช่นเดียวกับเรา ซึ่งคุณภาพของปุ๋ยตรามงกุฎ ได้รับการพิสูจน์แล้วอย่างกว้างขวางหลังวางตลาดในปีที่ผ่านมา โดยเกษตรที่ใช้แล้วได้ผลดีและเริ่มบอกต่อเพื่อนบ้าน เราจึงจะเดินหน้ามุ่งทำตลาดอย่างเต็มที่ในปีนี้” นายประเสริฐกล่าว
นายประเสริฐยังกล่าวต่อไปอีกว่า ปุ๋ยตรามงกุฎยังมีจุดเด่นในด้านราคาที่ไม่สูงเกินไป เมื่อเทียบกับคู่แข่งรายใหญ่ๆ ในตลาด เนื่องจากต้องการให้เกษตรกรมีโอกาสได้ทดลองใช้สินค้า โดยเฉพาะในช่วงแรกของการเข้าสู่ตลาด แต่ในระยะยาว ราคาสินค้าอาจมีการปรับขึ้น เพื่อให้บริษัทฯ สามารถทำกำไรได้บ้าง อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ จะยึดถือนโยบายที่จะให้เกษตรกรได้ใช้สินค้าคุณภาพในราคายุติธรรมอยู่เสมอ
“ในด้านช่องทางการจัดจำหน่าย เรามีพนักงานขายและส่งเสริมการขาย ทำงานในทุกพื้นที่ของประเทศไทย โดยมีตัวแทนจำหน่ายหลักอยู่ ประมาณ 270 ร้านค้าทั่วประเทศ ซึ่งคาดว่าจะมีผู้ยื่นความประสงค์ขอเป็นตัวแทนจำหน่ายมากขึ้น นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้ก่อตั้งหน่วยงานพัฒนาธุรกิจ ในการขยายตลาด เข้าสู่หน่วยงาน องค์กร หรือ บริษัทฯ ต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ การที่เรามีโรงงานผลิตเอง มีกำลังในการซื้อวัตถุดิบในปริมาณมาก จึงเป็นที่แน่ใจได้ว่า เราจะมีสินค้าจำหน่าย ให้กับร้านค้าตัวแทนตลอดทุกฤดูกาลทั้งปี”
นอกจากนั้น ในปีนี้ บริษัทฯ ยังทุ่มงบประมาณในการทำการตลาด และส่งเสริมการขาย แบบครบวงจร เพื่อสร้างปุ๋ยตรามงกุฎให้เป็นที่รู้จักและเชื่อมั่นของเกษตรกรทั่วประเทศตามเป้าหมาย เมื่อบวกกับทีมบริหารรุ่นใหม่และบุคลากรคุณภาพที่บริษัทฯ มีอยู่ เชื่อว่าปัจจัยต่างๆ ทั้งหมด จะส่งผลให้ปุ๋ยตรามงกุฎจะก้าวขึ้นสู่ 1 ใน 3 ผู้นำของตลาดปุ๋ยเมืองไทย ภายในปี 2555 อย่างแน่นอน
ในส่วนของคู่ค้า บริษัทฯ จะยึดถือหลักที่ว่า ร้านค้าตัวแทนจำหน่าย คือ พี่น้อง ญาติสนิทที่จะร่วมมือร่วมใจ ทำธุรกิจร่วมกันไปจนถึงรุ่นลูก รุ่นหลาน ดังนั้น บริษัทฯ จะใช้ความจริงใจ และความรู้ความสามารถทุกๆ ด้าน เพื่อช่วยพัฒนาธุรกิจให้ร้านค้าสามารถเพิ่มยอดขาย และสร้างผลกำไรได้อย่างต่อเนื่องยาวนาน โดยจะสร้างความมั่นใจให้ว่าปุ๋ยตรามงกุฎจะเป็นแบรนด์ที่ผู้บริโภครู้จักเป็นอย่างดี รวมทั้งจะดูแลเขตการขายมิให้ทับซ้อนกัน
ด้านนายวุฒิพงษ์ หวังสันติธรรม กรรมผู้จัดการบริษัทเทอราโกร เฟอร์ติไลเซอร์ จำกัด กล่าวว่า ปี 2553 นี้นับเป็นโอกาสทองของตลาดปุ๋ย สืบเนื่องจากปีที่แล้วที่เป็น “ขาลง”
สำหรับประเทศไทย อ้างถึงข้อมูลจากกรมวิชาการการเกษตร บอกว่า โดยปกติประเทศไทยมีการใช้ปุ๋ยเคมีสูงถึง 4 ล้านตันต่อปี แต่ในปีที่ผ่านมา เราใช้ปุ๋ยเพียง 3.8 ล้านตันเท่านั้น ซึ่งในตัวเลขนี้ เป็นยูเรียถึง 2.4 ล้านตัน คิดเป็นการใช้ยูเรียมากขึ้นกว่าปี 2551 ถึง 40% การใช้ปุ๋ยที่ลดลงและในสัดส่วนที่ผิดเพี้ยนไปจากเดิมในปีก่อน ส่งผลให้ธาตุอาหารในดินไม่เพียงพอ) นอกจากนี้ จากภาวะราคาปุ๋ยที่ลดลงอย่างต่อเนื่องในปีที่แล้ว ทางผู้ซื้อก็ไม่
ซื้อสินค้าเก็บไว้ ทางผู้ขายก็ไม่สามารถขายสินค้าได้ ดังนั้นในปีนี้ แต่ละประเทศจึงไม่มีปุ๋ยอยู่ในสต๊อคเลย ทำให้ความต้องการปุ๋ยมีมากขึ้นมาก บวกกับเป็นช่วงฤดูกาลของ แต่การผลิตยังมีจำกัด ทำให้ความต้องการปุ๋ยในปีนี้มีมากขึ้นรวมทั้งขาดตลาด ทำให้ราคาปรับขึ้นอย่างเร็ว และแรง ดังนั้น หากมองในแง่ของอุปสงค์อุปทานแล้ว ปีนี้นับได้ว่าเป็นขาขึ้นของตลาดปุ๋ย” นายวุฒิพงษ์กล่าว
นอกจากนี้แล้ว เกษตรกรไทยก็มีปัจจัยที่ทำให้ต้องใช้ปุ๋ยมากขึ้น เนื่องจากความต้องการผลผลิตในแง่ของการส่งออกมีมากกว่าเดิม เพราะประเทศคู่แข่งของเรา เช่น เวียดนาม อินเดีย ฟิลิปปินส์ ล้วนแล้วแต่ประสบปัญหาภัยธรรมชาติ เช่น น้ำท่วม และพายุ เป็นต้น ราคาสินค้าเกษตรก็มีการปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ชาวนา ชาวไร่หันมาปลูกพืชนอกฤดูกาลมากขึ้น สิ่งที่น่าเป็นห่วงก็คือ สภาพความแห้งแล้งในปีนี้ และปัญหาแมลงศัตรูพืช นอกจากนี้ ในฐานะประเทศผู้ผลิตอาหารรายใหญ่ของโลกอย่างประเทศไทย จึงมีความจำเป็นต้องผลิตอาหาร หรือเพิ่มผลผลิตต่อไร่ให้สูงขึ้นเป็นการทดแทน ปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ล้วนแต่เป็นช่องว่างทางการตลาดที่เป็นโอกาสของปุ๋ยตรามงกุฎทั้งสิ้น
“ในประเทศไทย มีผู้ผลิตปุ๋ยปั้นเม็ดอยู่น้อยราย การที่เรามีโรงงานผลิตปุ๋ยปั้นเม็ดเป็นของตัวเองทำให้มีความได้เปรียบเชิงต้นทุนการผลิต และจัดซื้อวัตถุดิบ เป็นที่ยอมรับกันว่า ปุ๋ยปั้นเม็ด ให้ธาตุอาหารครบถ้วนในเม็ดเดียว ต่างกับปุ๋ยผสม (Bulk Blended) ซึ่งเป็นการคลุกเคล้าธาตุอาหารต่างๆ ไม่ใช่เป็นการบด ผสม และ ปั้นเป็นเม็ด การผลิตปุ๋ยผสมจึงไม่มีความซับซ้อน ทำให้ราคาต่ำ แต่ก็มีโอกาสสูง ที่พืชจะไม่ได้ธาตุอาหารครบถ้วน ดังที่เกิดปัญหาปุ๋ยปลอมในปัจจุบัน นอกจากนี้เรายังสามารถผลิตปุ๋ยสูตรต่างๆ ได้อย่างหลากหลาย ครบทุกสูตรสำหรับพืชเศรษฐกิจหลักๆ ทั้งหมดคือข้อได้เปรียบของปุ๋ยตรามงกุฎ”
นายวุฒิพงษ์ หวังสันติธรรม ยังกล่าวต่อไปด้วยว่า บริษัทฯ จะสร้างแบรนด์ด้วยกลยุทธุ์ผู้นำ ก็เพราะถ้าเข้ามาอย่างผู้ตาม ก็คงไม่มีกำลังพอที่จะสามารถมอบสิ่งที่มีคุณค่าให้กับผู้บริโภค ดังนั้นจึงมุ่งมั่นในการพัฒนาคุณภาพและนวัตกรรม ไม่ว่าในด้านการผลิต การบริหารจัดการ และการทำตลาด
“เราต้องการทำปุ๋ยตรามงกุฎให้เป็น consumer product ไม่ใช่ commodity product และต้องการที่จะทำให้เกษตรกรตระหนักถึงการใช้ปุ๋ยเคมีอย่างถูกต้อง เพื่อให้ได้ผลผลิตที่ดี และ มีต้นทุนที่ไม่สูงเกินไปนอกจากนี้ เราจะทำการตลาดอย่างครบวงจร ทั้งการส่งเสริมการขายกับดีลเลอร์ซึ่งเป็นคู่ค้าและเกษตรกรซึ่งเป็นลูกค้าของเรา ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้ปุ๋ยตรามงกุฎ แจ้งเกิดได้อย่างแน่นอน”
นายวุฒิพงษ์ยังกล่าวอีกว่า ปุ๋ยตรามงกุฎจะเติบโตอย่างก้าวกระโดดในปีนี้ โดยจะมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นประมาณ 8-10% แต่อย่างไรก็ตาม เราต้องการการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยเน้นที่การมุ่งมั่นผลิตปุ๋ยคุณภาพให้แก่เกษตรกร และจะใช้งบประมาณในการทำตลาดประมาณ 100 ล้านบาท เพื่อสื่อสารแบรนด์ให้ทุกฝ่ายได้รับทราบ โดยจะมี การโฆษณาในทุกช่องทาง ทั้งทีวี เคเบิ้ลทีวี วิทยุ สิ่งพิมพ์ตลอดทั้งปี นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมการขาย และส่งเสริมการขายทั้ง ในส่วนของดีลเลอร์ ซับดีลเลอร์และผู้บริโภคซึ่งได้แก่เกษตรกร อย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปีเช่นกัน
“ในบริเวณที่เป็นจุดขาย ก็จะมีสื่อต่างๆ เพื่อการสร้าง Brand Awareness ให้แก่ปุ๋ยตรามงกุฎ ขณะเดียวกันก็มีการมอบของสมนาคุณ พร้อมกับทีมขายของเรา ก็จะให้ความรู้ที่ถูกต้องแก่เกษตรกร เช่น การบำรุงดิน การใช้สารเคมีที่พอเหมาะ เพื่อให้ได้ผลผลิตที่ดีด้วยต้นทุนที่ต่ำที่สุด เราจะมีการทำ Above the Line ด้วยภาพยนตร์โฆษณา มีการทำสกู๊ปนำเสนอผลจากการใช้ปุ๋ยตรามงกุฎของเกษตรกร เพื่อเป็นการตอกย้ำความน่าเชื่อถือให้แก่สินค้า จะมีสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ และสื่อวิทยุที่เป็นเครือข่ายของ อสมท.และวิทยุชุมชนกว่า 100 สถานีทั่วประเทศ โดยจะออกอากาศทั้งปีและมีการส่งเสริมการขายให้ผู้ฟังเข้ามามีส่วนร่วมด้วยทั้งปีเช่นกัน” นายวุฒิพงษ์กล่าวในที่สุด