เต็ดตรา แพ้ค เผยรายงานเชิงลึก “เทรนด์ดิพิเดีย” ประจำปี 2564
ชี้การเปลี่ยนแปลงของเทรนด์ผู้บริโภคในปีนี้
กรุงเทพฯ 30 กรกฎาคม 2564 - เต็ดตรา แพ้ค ผู้นำเสนอโซลูชั่นการแปรรูปอาหารและบรรจุภัณฑ์อาหารชั้นนำของโลก เปิดเผยรายงาน “เทรนด์ดิพิเดีย” ประจำปี 2564 ซึ่งเป็นการศึกษาที่เจาะกลุ่มเป้าหมายของเทรนด์ผู้บริโภค โดยเมื่อมองย้อนไปในปี 2563 “ปีที่แตกต่างไปจากเดิม” เต็ดตรา แพ้ค ได้อธิบายถึงแรงผลักดันสำคัญทั้งหมดที่ส่งผลกระทบต่อความวิตกกังวลหลักของผู้บริโภค และในโลกที่ “ความไม่ปกติ” คือ ความปกติใหม่ หรือ “No Normal” is New Normal สถานการณ์การแพร่ระบาดยังทำให้เทรนด์ที่สำคัญในตลาดถูกจัดวางลำดับใหม่อีกด้วย พฤติกรรมผู้บริโภคและรูปแบบการใช้จ่ายกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มจึงจำเป็นต้องมีความคล่องตัวมากพอที่จะเข้าถึงผู้บริโภคที่มีความรู้ความเข้าใจมากขึ้น ต้องสร้างสรรค์เทคโนโลยีเชิงนวัตกรรมที่มีวิวัฒนาการอย่างต่อเนื่องที่จะสามารถรับมือกับความท้าทายที่แท้จริงได้ นั่นคือ เรื่องของสุขภาพและความปลอดภัยทางอาหาร เทรนด์ในเรื่องใดที่แสดงให้เห็นถึงโอกาสและความท้าทายมากที่สุดในขณะนี้ รายงาน ‘เทรนด์ดิพิเดีย’ ของเต็ดตรา แพ้ค ได้ระบุถึงเทรนด์หลัก 8 เรื่องสำหรับปี 2564 นี้ ได้แก่ สุขภาพคือเรื่องแรก (Health First), การบริโภคอย่างมีความรับผิดชอบ (Responsible Consumption), ความสะดวกสบายภายในบ้าน (Convenience In-Home), ประสบการณ์อาหารอิเล็กทรอนิกส์ (e-Food Experience), การเชื่อมสัมพันธ์ทางสังคม (Social Reconnect), ต้นกำเนิดและแหล่งที่มา (Heritage and Provenance), ความดื่มด่ำที่ตั้งใจ (Intentional indulgence) และ ข้อมูลส่วนบุคคล (Personal Data) เต็ดตรา แพ้ค เน้นย้ำกับ 4 เทรนด์แรกเป็นพิเศษ โดยอันดับหนึ่งคือ สุขภาพคือเรื่องแรก (Health First) ซึ่งมีความชัดเจนมาอย่างต่อเนื่องจากสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 เมื่อสุขภาพร่างกายและจิตใจกำลังกลายเป็นเรื่องสำคัญสำหรับผู้บริโภค ผู้คนจึงต่างมองหาผลิตภัณฑ์ที่มีวิตามินเสริมหรือคุณค่าทางโภชนาการเฉพาะด้านเพื่อบำรุงสุขภาพและความสุขของตนเอง โดยอาหารที่ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันและวิตามินดีกำลังเป็นที่นิยม เช่นเดียวกับอาหารที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพจิตใจ เทรนด์ที่สองคือ การบริโภคอย่างมีความรับผิดชอบ (Responsible Consumption) ที่ระบุถึงความวิตกกังวลเกี่ยวกับโลก ผู้คน และชุมชน เมื่อการใส่ใจต่อสังคมมีความสำคัญมากขึ้นต่อความสำเร็จทางธุรกิจ แบรนด์ต่าง ๆ จึงได้สร้างสรรค์วิธีการใหม่ๆ อย่างต่อเนื่องในเรื่องนี้เพื่อเพิ่มความโปร่งใสของผลิตภัณฑ์ กระบวนการผลิต และผลกระทบทางสังคม โดยผลิตภัณฑ์อาหารได้รับการคาดหวังให้มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์และไม่สร้างขยะ ในขณะที่บรรจุภัณฑ์จะต้องติดฉลากข้อมูลอย่างชัดเจนและเข้าใจได้ง่าย เทรนด์ที่สาม คือ ความสะดวกสบายภายในบ้าน (Convenience In-Home) ที่ระบุถึงความวิตกกังวลเกี่ยวกับโลก ผู้คน และชุมชน เมื่อการใส่ใจต่อสังคมมีความสำคัญมากขึ้นต่อความสำเร็จทางธุรกิจ แบรนด์ต่าง ๆ จึงได้สร้างสรรค์วิธีการใหม่ๆ อย่างต่อเนื่องในเรื่องนี้เพื่อเพิ่มความโปร่งใสของผลิตภัณฑ์ กระบวนการผลิต และผลกระทบทางสังคม โดยผลิตภัณฑ์อาหารได้รับการคาดหวังให้มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์และไม่สร้างขยะ ในขณะที่บรรจุภัณฑ์จะต้องติดฉลากข้อมูลอย่างชัดเจนและเข้าใจได้ง่าย เทรนด์ที่สาม คือ ความสะดวกสบายภายในบ้าน (Convenience In-Home) ซึ่งต้องยอมรับว่าความสะดวกสบายของชีวิตประจำวันภายในบ้าน ทั้งการทำอาหารและความต้องการที่จะบริโภคเมื่อไหร่ก็ได้นั้น กลายเป็นความนิยมมากขึ้นในโลกที่ผู้คนถูกกำหนดให้ทำงานที่บ้านในระยะยาว ผู้บริโภคซื้อหาสินค้าอาหารและเครื่องดื่มและชำระเงินผ่านระบบออนไลน์มากขึ้น ซึ่งเป็นวิธีการแบบอัตโนมัติและไร้การสัมผัส อาหารและเครื่องดื่มสำเร็จรูปและปรุงสำเร็จพร้อมบรรจุภัณฑ์อาหารที่พัฒนาขึ้นสำหรับการจัดเก็บในบ้าน แสดงให้เห็นถึงนวัตกรรมที่ดียิ่งขึ้นในการสนองตอบความต้องการความสะดวกสบายที่มากยิ่งขึ้นด้วย ความนิยมด้านความสะดวกสบายที่เพิ่มมากขึ้นยังมีความเชื่อมโยงอย่างมากกับเทรนด์เรื่อง ประสบการณ์อาหารอิเล็กทรอนิกส์ (e-Food Experience) เมื่อชีวิตเปลี่ยนเข้าสู่ระบบออนไลน์และข้อมูลเสมือนจริงเริ่มกลายเป็นความเป็นจริงรูปแบบใหม่ที่ไม่จำกัดเฉพาะเรื่องของความบันเทิงเท่านั้น แต่ยังรวมถึงอาหารและเครื่องดื่มด้วย ตัวอย่างของเทรนด์เรื่องนี้คือการสแกนเออาร์โค้ด ซึ่งปัจจุบันได้พัฒนาขึ้นเพื่อสร้างสรรค์ประสบการณ์การท่องเที่ยวเชิงอาหาร ที่จะมอบโอกาสในการมีส่วนร่วมกับวัฒนธรรมด้านอาหารเมื่อถูกจำกัดการเดินทางและท่องเที่ยว “เราเชื่อว่าเทรนด์ผู้บริโภคมีความสำคัญอย่างยิ่งในการศึกษาและวิเคราะห์ตลาด โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่วุ่นวายเช่นนี้ เทรนด์คือการแสดงออกถึงความเปลี่ยนแปลงที่จับต้องได้ที่มาจากแรงกระตุ้นของความต้องการและความปรารถนาสิ่งต่างๆ” นายสุภนัฐ รัตนทิพ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท เต็ดตรา แพ้ค (ประเทศไทย) จำกัด กล่าว “เทรนด์ที่เกิดขึ้นในวันนี้อาจเปลี่ยนแปลงหรือพัฒนาขึ้นไปอีกในอนาคต ซึ่งก่อให้เกิดพฤติกรรมผู้บริโภครูปแบบใหม่ในตลอดหลายๆ ปีที่ผ่านมา รายงาน เทรนด์ดิพิเดียของเต็ดตรา แพ้ค จะช่วยให้ธุรกิจสามารถมองเทรนด์ในเรื่องเหล่านี้ในรูปแบบของโอกาสเพื่อการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ สำหรับผู้บริโภคต่อไป” เต็ดตรา แพ้ค นำเสนอรายงานเทรนด์ผู้บริโภค เทรนด์ดิพิเดีย ประจำปี 2564 ฉบับเต็มให้กับลูกค้าของเรา เพื่อให้สามารถเกาะติดเทรนด์ใหม่ ๆ ในปัจจุบันได้อย่างต่อเนื่อง####
เกี่ยวกับเต็ดตรา แพ้คเต็ดตรา แพ้ค คือผู้นำเสนอโซลูชั่นบรรจุภัณฑ์และกระบวนการผลิตอาหารชั้นนำของโลก โดยทำงานร่วมกับลูกค้าและซัพพลายเออร์อย่างใกล้ชิด เพื่อมอบผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัย ทันสมัย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมซึ่งตอบสนองความต้องการของผู้คนนับพันล้านในกว่า 160 ประเทศทั่วโลก ด้วยจำนวนพนักงานมากกว่า 25,000 คนซึ่งมีฐานการดำเนินงานทั่วโลก เราเชื่อในความรับผิดชอบของเราในฐานะผู้นำอุตสาหกรรมและการมอบความยั่งยืนแก่ธุรกิจนี้ ปรัชญาการทำงานของเราคือ ปกป้อง ทุกคุณค่า™ หรือ “PROTECTS WHAT’S GOOD™” ซึ่งสะท้อนถึงวิสัยทัศน์ของเราในการผลิตอาหารที่ปลอดภัยและซื้อหาได้ในทุกที่